พระตถาคตเจ้าทรงตัดขาดแล้วซึ่งทางโลก ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โลกมันจะกระทำเอา มันคือกิเลศ คือกองทุกข์ ใครเข้าไปคลุกเกี่ยว พัวพัน มันจะพันธนาการรัดรึง เสพติดอยู่ในโลกธรรม 8 เป็นความสุข สนุกสนาน สะดวกสบายทางโลก ที่แฝงไปด้วยยาพิษ วนเวียนชีวิตติดอยู่ในวัฏฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบรู้สิ้น เป็นเรื่องของสัตว์โลก
ทางธรรม เป็นเรื่องของผู้ประเสริฐ ตรงข้ามกับทางโลก ทรงพบทางออก ตัดขาดแล้ว ไม่ยินดีแล้ว ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันสร้างอัตตาตัวตน เมื่อเข้าใจ ไม่สร้างอัตตาตัวตน ในไม่นานอัตตาตัวตนก็จะหมดไป (อนัตตา)
ที่เห็นอยู่ล้วนแสวงหาโลกธรรมกันทั้งสิ้น ใครมองเห็นเข้าใจตรงกัน เราจะจับมือและเดินไปด้วยกัน เป็นผู้ร่วมเดินทาง ในวิถีพุทธ วิถีธรรม เหมือนครั้งพุทธกาล ไม่มีวัตถุนิยม เรียบง่าย สันโดษ ลัดสั้นตรง ในสำนักมีแต่ กายใจที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก เป็นตำราให้ศึกษาแสวงหาซึ่งสัจจะ ในโลกุตรธรรมเพื่อความหลุดพ้น เมื่อกายใจปฏิเสธ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความสงบภายในก็จะเกิดขึ้น ไม่มีอะไรมามอมเมา กระตุ้นปลุกเร้าความเป็นสัตว์โลก ให้จิตที่สับสนวุ่นวาย เคลื่อนออกจากกายปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อความสงบมีมากขึ้น ไม่มีอะไรมาคอยรบกวนจิตให้ง่อนแง่นคลอนแคลน ความสุขใดจะเสมอเหมือนความสงบเป็นไม่มี (ความปกติสุข)
(จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพาน อันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก) ถ้าไม่เข้าใจประโยคนี้ ก็ป่วยการที่จะชี้หรือบอกทาง ถ้ายังแปลตรงนี้ไม่ออก ก็จะถูกเขาหลอกไปอีกหลายพระอาจารย์ (ผู้รู้มีมาก ผู้ปฏิบัติมีน้อย ผู้แสดงธรรมมีมากกว่าผู้ที่เข้าถึงหลักธรรมโดยแท้ ตั๊กม๊อ ) เพราะแก่นธรรมต้องปฏิบัติได้รู้ได้ด้วยตนเอง ตนแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร เราไม่อาจเป็นปรปักษ์กับโลกได้ เพราะสัจจะมันตรง มันเป็นอันตรายต่อชีวิต ต่อปัจเจกชน ศาสนาจริงต้องมีอิสระภาพ มิใช่เป็นภาคหนึ่งของการเมืองการปกครอง (ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มักไม่จริง) (ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ ตั๊กม๊อ)
18 ศาสตร์ก็เสียเวลา ปริญญาคือศาสตร์ภายใน กินกามเกียรติ ลาภยศสรรเสริญสุข บุตรบ่วงหนึ่งนั้นเกี่ยวพันคอ ทรัพย์ผูกบาทาคลอหน่วงไว้ ภรรยาสามีเยี่ยงบ่วงปอ รัดรึง มือนา ใครพ้นสามบ่วงได้จึ่งพ้น สงสาร ใครเข้าใจก็เป็นบัวพ้นน้ำ มีดวงตาเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ทรงเข้าใจในกฎ อิทัปปัจจยตา กฎธรรมชาติ ดวงดาวจักรวาล หนึ่งสมอง สองดวงตา ที่กรรมดีชั่วนำพา ดลบันดาลในทุกสรรพสิ่ง คือกงล้อธรรมจักร ที่พิทักษ์ เที่ยงธรรมแน่นอน ผันแปรไปตามเหตุตามปัจจัย หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ช้าหรือเร็ว แรงเหวี่ยงจักรภพจะคูณหารบวกลบ ทำงานของเขาเอง เราไม่มีหน้าที่ใดที่ต้องไปพิพากษา เกิดมามีศรัทธา เชื่อมั่นในพลังแห่งความดี เศษธุลีกิเลสตัวตน นรชนกำจัดมันให้สิ้น จะดีดดิ้นทุรนทุรายให้มันสายไปอยู่ใย รู้ทุกข์ทันสมุทัย เข้าใจในนิโรธ กระโดดสู่พระนิพพาน แตกฉานในอริยสัจสี่ พุทธบุตรคือพุทธบริษัททั้ง 4 ที่จะมาปราบพญามารตนนี้ให้สิ้นไป (อนัตตา)
หนึ่งสมอง สองดวงตา เชื่อมดวงดารา ลิขิตลับจักรวาล?
ทางธรรม เป็นเรื่องของผู้ประเสริฐ ตรงข้ามกับทางโลก ทรงพบทางออก ตัดขาดแล้ว ไม่ยินดีแล้ว ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันสร้างอัตตาตัวตน เมื่อเข้าใจ ไม่สร้างอัตตาตัวตน ในไม่นานอัตตาตัวตนก็จะหมดไป (อนัตตา)
ที่เห็นอยู่ล้วนแสวงหาโลกธรรมกันทั้งสิ้น ใครมองเห็นเข้าใจตรงกัน เราจะจับมือและเดินไปด้วยกัน เป็นผู้ร่วมเดินทาง ในวิถีพุทธ วิถีธรรม เหมือนครั้งพุทธกาล ไม่มีวัตถุนิยม เรียบง่าย สันโดษ ลัดสั้นตรง ในสำนักมีแต่ กายใจที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก เป็นตำราให้ศึกษาแสวงหาซึ่งสัจจะ ในโลกุตรธรรมเพื่อความหลุดพ้น เมื่อกายใจปฏิเสธ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ความสงบภายในก็จะเกิดขึ้น ไม่มีอะไรมามอมเมา กระตุ้นปลุกเร้าความเป็นสัตว์โลก ให้จิตที่สับสนวุ่นวาย เคลื่อนออกจากกายปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา เมื่อความสงบมีมากขึ้น ไม่มีอะไรมาคอยรบกวนจิตให้ง่อนแง่นคลอนแคลน ความสุขใดจะเสมอเหมือนความสงบเป็นไม่มี (ความปกติสุข)
(จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพาน อันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก) ถ้าไม่เข้าใจประโยคนี้ ก็ป่วยการที่จะชี้หรือบอกทาง ถ้ายังแปลตรงนี้ไม่ออก ก็จะถูกเขาหลอกไปอีกหลายพระอาจารย์ (ผู้รู้มีมาก ผู้ปฏิบัติมีน้อย ผู้แสดงธรรมมีมากกว่าผู้ที่เข้าถึงหลักธรรมโดยแท้ ตั๊กม๊อ ) เพราะแก่นธรรมต้องปฏิบัติได้รู้ได้ด้วยตนเอง ตนแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร เราไม่อาจเป็นปรปักษ์กับโลกได้ เพราะสัจจะมันตรง มันเป็นอันตรายต่อชีวิต ต่อปัจเจกชน ศาสนาจริงต้องมีอิสระภาพ มิใช่เป็นภาคหนึ่งของการเมืองการปกครอง (ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มักไม่จริง) (ผู้รู้ไม่พูด ผู้พูดไม่รู้ ตั๊กม๊อ)
18 ศาสตร์ก็เสียเวลา ปริญญาคือศาสตร์ภายใน กินกามเกียรติ ลาภยศสรรเสริญสุข บุตรบ่วงหนึ่งนั้นเกี่ยวพันคอ ทรัพย์ผูกบาทาคลอหน่วงไว้ ภรรยาสามีเยี่ยงบ่วงปอ รัดรึง มือนา ใครพ้นสามบ่วงได้จึ่งพ้น สงสาร ใครเข้าใจก็เป็นบัวพ้นน้ำ มีดวงตาเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ทรงเข้าใจในกฎ อิทัปปัจจยตา กฎธรรมชาติ ดวงดาวจักรวาล หนึ่งสมอง สองดวงตา ที่กรรมดีชั่วนำพา ดลบันดาลในทุกสรรพสิ่ง คือกงล้อธรรมจักร ที่พิทักษ์ เที่ยงธรรมแน่นอน ผันแปรไปตามเหตุตามปัจจัย หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ช้าหรือเร็ว แรงเหวี่ยงจักรภพจะคูณหารบวกลบ ทำงานของเขาเอง เราไม่มีหน้าที่ใดที่ต้องไปพิพากษา เกิดมามีศรัทธา เชื่อมั่นในพลังแห่งความดี เศษธุลีกิเลสตัวตน นรชนกำจัดมันให้สิ้น จะดีดดิ้นทุรนทุรายให้มันสายไปอยู่ใย รู้ทุกข์ทันสมุทัย เข้าใจในนิโรธ กระโดดสู่พระนิพพาน แตกฉานในอริยสัจสี่ พุทธบุตรคือพุทธบริษัททั้ง 4 ที่จะมาปราบพญามารตนนี้ให้สิ้นไป (อนัตตา)