เห็นสมาชิกหลายท่านสนใจเรื่องนิพพาน แล้วก็มีการแสดงความคิดเห็นกันหลายทิศทาง นิพพานจะเป็นอัตตาหรืออนัตตาจะอธิบายยังงัย อันนี้ต้องยอมรับว่า ถ้าพูดตามภาษาของพระพุทธเจ้าที่พระพุทธองค์ชอบตรัสไว้ ก็ต้องว่าด้วยเรื่องฐานะ ไม่ใช่ฐานะ คือถ้าบุคคลนั้นไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าใจสภาวะนิพพานในโลกุตระ เขาก็จะเข้าใจนิพพานในโลกียะ เพราะฐานะเขาได้แค่นั้น เพื่ออธิบายง่ายขึ้นขอให้ท่านทำใจคิดไว้ก่อน “นิพพาน ไม่ใช่อัตตา นิพพาน เป็น อนัตตา ด้วยสภาวะธรรม”
ผมขอยกคำจากท่านปยุตโตในหนังสือพุทธธรรมสักหน้านึงก่อน
>>>>> นิพพานจะเป็นอัตตา จะเป็นตัวเราได้ ก็คือมีความยึดถือ ได้แก่อุปาทาน นี่ก็ขัดกับสภาวธรรมเอง เพราะจะประจักษ์แจ้งนิพพานได้ ต้องหมดสิ้นอุปาทานแล้ว พระอรหันต์จึงไม่มีความสำคัญหมายว่านิพพานของเรา
หลักพระพุทธศาสนาบอกชัดเจนว่าการถือว่ามีว่าเป็นอัตตา เป็นกิเลสที่เรียกว่า “อัตตวาทุปาทาน” หมายถึง การยึดวาทะถ้อยคำที่ส่อแสดงความคิดความเข้าใจว่ามีว่าเป็นอัตตา ขอให้สังเกตว่าประกอบด้วยศัพท์คำว่า “อัตตา+วาทะ+อุปาทาน” เพราะเมื่ออัตตาไม่มีจริง จะไปยึดอัตตาที่ไหน ก็เป็นแต่เพียงการยึดในวาทะว่ามีอัตตาเท่านั้น เป็นคำศัพท์ที่เรียกได้ว่าเคร่งครัด การปฏิบัติเกี่ยวกับนิพพานก็ดี นิพพานก็ดี ไม่ใช่เรื่องของการดับอัตตา เพราะไม่มีอัตตาที่จะต้องไปดับหรือไปทำลาย สิ่งที่จะต้องดับหรือทำลาย คือความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา ทิฏฐิว่ามีอัตตา ถ้ายังยึดว่าอะไรเป็นอัตตา ก็คือยืนยันว่ายังไม่รู้จักนิพพาน <<<<<<
สรุปด้วยพุทธพจน์ว่า “เรามองไม่เห็นความยึดถือวาทะว่ามีว่าเป็นอัตตา อย่างใด ที่เมื่อยึดติดถือมั่นเข้าแล้ว จะไม่ก่อให้เกิด โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส” (อลคัททูปมสูตร)
อันนี้พิจารณาพุทธพจน์ในอลคัททูปมสูตรก่อนว่า นิพพาน ไม่ใช่อัตตา 100%
(ภาพประกอบ ที่นั่งฟังน่าจะเป็นจ้าวลิจฉวี ที่ยืนเถียงพระพุทธองค์
คือสัจจกะนิครนถ์ ที่มายืนเถียงเรื่อง อัตตา )
ผมขอยกพุทธพจน์มาต่อนะครับ
“ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้มองเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์ จักเป็นผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ ย่อมเป็นไปไม่ได้, ข้อที่ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ จักบรรลุโสดาปัตติผล … ฯลฯ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้มองเห็นนิพพานโดยความเป็นสุข จักเป็นผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้, ข้อที่ภิกษุผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ จักบรรลุโสดาปัตติผล … ฯลฯ ก็ย่อมเป็นไปได้” (นิพพานสูตร)
ท่านมองเห็นอะไรใน 2 พระสูตรนี้ไหม ?
1. พระสูตรที่แสดงว่า นิพพาน ไม่ใช่ อัตตา
2. เมื่อมองว่านิพพานเป็นอนัตตา จะมองไปถึงความเปลี่ยนแปลง ความไม่คงที่ มองแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้ามองนิพพานด้วยความเป็นทุกข์แม้การบรรลุธรรมขั้นต้นอย่างโสดาบัน ฐานะนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ครับ
แล้วต้องมองนิพพานแบบไหน ?
1. ต้องมองว่านิพพาน คือ ธรรม คือ ธรรมธาตุที่ไม่มีในโลกธาตุที่เราอยู่นี้ >>> อย่าไปปะปนกับคำว่า ธรรม ทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ธรรม คำนี้ ใช้กับ เวทนาขันธ์ ทุกสิ่งที่ทำให้เกิดเวทนาล้วนไม่เที่ยง เมื่อสิ่งที่ทำให้เกิดแล้วตัวเวทนาก็ไมีเที่ยงเป็นอนัตตา แต่อนัตตานี้ไม่ได้ใช้กับความหมายของ ธรรมธาตุ ที่เป็นโลกุตระ อย่าสับสนเอามาปนกัน ธรรมในโลกุตระ เห็นจะพูดได้แค่ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชา ถ้าอยู่ใต้บังคับบัญชาได้เหมือนที่สัจจกนิครนถ์คิด มีมิจฉาทิฐิคิดแบบนั้นแล้วก็มาเถียงพระพุทธเจ้าน่ะ
มีพระสูตรกล่าวไว้อีก
“นิพพานธาตุอย่างหนึ่ง เป็นทิฏฐธัมมิกะ (มีในปัจจุบัน) ชื่อว่า สอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุอีกอย่างหนึ่ง เป็นสัมปรายิกะ (มีในเบื้องหน้า) เป็นที่ภพทั้งหลายดับไปหมดสิ้น” (ธาตุสูตร)
แล้วก็มีอีกพุทธพจน์ที่กล่าวว่า แม้ภิกษุจำนวนมากมายจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุจะปรากฏว่าพร่องหรือเต็มเพราะเหตุนั้นก็หามิได้ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า ความพร้อมเพรียงกันไม่แสดงตนในภพ หรือ ความพร้อมใจกันไม่เกิด, อีกสำนวนหนึ่งท่านว่า พระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีจำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา นิพพานธาตุ ก็ไม่ปรากฎว่าพร่องลงหรือเพิ่มขึ้น
2. ต้องเห็นนิพพานเป็นสุขด้วยวิปัสนา จะเห็นด้วยเทียบกับความสุขในโลกหรือความสุขที่เกิดจากณานสมาธิไม่ได้ครับ ในณานสมาบัติเองก็ยังเห็นนิพพานไม่ได้ ต้องวิปัสนาจนเข้าถึงสุขในนิโรธอริยสัจให้ได้ก่อน จึงเห็นนิพพานเป็นบรมสุข จากนั้นจึงเอาอารมณ์สุขนี้มาเข้าสมาบัติเป็นนิโรธสมาบัติได้
สุดท้าย ฝากไว้ครับ เป็นคำพูดของท่านปยุตโต
“แม้จะได้ฟังข้อความที่แสดงภาวะของนิพพานมามากแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ปฏิบัติจนเข้าถึงและรู้เห็นด้วยตนเอง ก็พึงเตือนสติกันไว้ว่า ภาพความเข้าใจเกี่ยวกับนิพพานของผู้ศึกษาทุกคน ก็คงมีอาการที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปบ้างเป็นธรรมดา จึง
ไม่ควรเอาแต่คิดสร้างภาพและถกเถียงกันจนเลยเถิดไป ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึง เพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง หรืออาจใช้คำว่านึกไม่เห็น แต่ต้องปฏิบัติให้รู้เอง ในเบื้องต้นเพียงมองให้เห็นหลักใหญ่ๆในภาพรวมให้ถูกต้อง ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิไว้ก่อนเป็นสำคัญ (นิพพานนั้นไม่ใช่ของที่แตะต้องไม่ได้ หรือห้ามมิให้ตริตรึกนึกคิด เพราะการพิจารณาภาวะของนิพพานนั้น ก็เป็นการทำกิจในอริยสัจ ข้อนิโรธ นั่นเอง เพียงแต่ท่านแนะว่าไม่ควรเอาแต่คิดจนเลยเถิด)”
อันนี้ผมขอตั้งเป็นกระทู้สนทนา ให้ท่านที่สนใจธรรมะเกิดความเข้าใจพื้นฐานก่อน ส่วนใครจะเห็นต่างจะมาถกเถียงอะไรกับผมก็เถียงไปครับแต่ผมไม่เถียงด้วยแน่นอน ^^ แต่จะร่วมสนทนา ขยายยความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ขออนุโมทนาครับ
ธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง นิพพานจะเที่ยงยังงัย มาฟังทางนี้
ผมขอยกคำจากท่านปยุตโตในหนังสือพุทธธรรมสักหน้านึงก่อน
>>>>> นิพพานจะเป็นอัตตา จะเป็นตัวเราได้ ก็คือมีความยึดถือ ได้แก่อุปาทาน นี่ก็ขัดกับสภาวธรรมเอง เพราะจะประจักษ์แจ้งนิพพานได้ ต้องหมดสิ้นอุปาทานแล้ว พระอรหันต์จึงไม่มีความสำคัญหมายว่านิพพานของเรา
หลักพระพุทธศาสนาบอกชัดเจนว่าการถือว่ามีว่าเป็นอัตตา เป็นกิเลสที่เรียกว่า “อัตตวาทุปาทาน” หมายถึง การยึดวาทะถ้อยคำที่ส่อแสดงความคิดความเข้าใจว่ามีว่าเป็นอัตตา ขอให้สังเกตว่าประกอบด้วยศัพท์คำว่า “อัตตา+วาทะ+อุปาทาน” เพราะเมื่ออัตตาไม่มีจริง จะไปยึดอัตตาที่ไหน ก็เป็นแต่เพียงการยึดในวาทะว่ามีอัตตาเท่านั้น เป็นคำศัพท์ที่เรียกได้ว่าเคร่งครัด การปฏิบัติเกี่ยวกับนิพพานก็ดี นิพพานก็ดี ไม่ใช่เรื่องของการดับอัตตา เพราะไม่มีอัตตาที่จะต้องไปดับหรือไปทำลาย สิ่งที่จะต้องดับหรือทำลาย คือความยึดมั่นในวาทะว่ามีอัตตา ทิฏฐิว่ามีอัตตา ถ้ายังยึดว่าอะไรเป็นอัตตา ก็คือยืนยันว่ายังไม่รู้จักนิพพาน <<<<<<
สรุปด้วยพุทธพจน์ว่า “เรามองไม่เห็นความยึดถือวาทะว่ามีว่าเป็นอัตตา อย่างใด ที่เมื่อยึดติดถือมั่นเข้าแล้ว จะไม่ก่อให้เกิด โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส” (อลคัททูปมสูตร)
อันนี้พิจารณาพุทธพจน์ในอลคัททูปมสูตรก่อนว่า นิพพาน ไม่ใช่อัตตา 100%
(ภาพประกอบ ที่นั่งฟังน่าจะเป็นจ้าวลิจฉวี ที่ยืนเถียงพระพุทธองค์
คือสัจจกะนิครนถ์ ที่มายืนเถียงเรื่อง อัตตา )
ผมขอยกพุทธพจน์มาต่อนะครับ
“ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้มองเห็นนิพพานโดยความเป็นทุกข์ จักเป็นผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ ย่อมเป็นไปไม่ได้, ข้อที่ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ จักบรรลุโสดาปัตติผล … ฯลฯ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้มองเห็นนิพพานโดยความเป็นสุข จักเป็นผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้, ข้อที่ภิกษุผู้ประกอบด้วยข้อพินิจที่เกื้อแก่การบรรลุสัจจะ จักบรรลุโสดาปัตติผล … ฯลฯ ก็ย่อมเป็นไปได้” (นิพพานสูตร)
ท่านมองเห็นอะไรใน 2 พระสูตรนี้ไหม ?
1. พระสูตรที่แสดงว่า นิพพาน ไม่ใช่ อัตตา
2. เมื่อมองว่านิพพานเป็นอนัตตา จะมองไปถึงความเปลี่ยนแปลง ความไม่คงที่ มองแบบนั้นก็ไม่ถูก ถ้ามองนิพพานด้วยความเป็นทุกข์แม้การบรรลุธรรมขั้นต้นอย่างโสดาบัน ฐานะนี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ครับ
แล้วต้องมองนิพพานแบบไหน ?
1. ต้องมองว่านิพพาน คือ ธรรม คือ ธรรมธาตุที่ไม่มีในโลกธาตุที่เราอยู่นี้ >>> อย่าไปปะปนกับคำว่า ธรรม ทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นอนัตตา ธรรม คำนี้ ใช้กับ เวทนาขันธ์ ทุกสิ่งที่ทำให้เกิดเวทนาล้วนไม่เที่ยง เมื่อสิ่งที่ทำให้เกิดแล้วตัวเวทนาก็ไมีเที่ยงเป็นอนัตตา แต่อนัตตานี้ไม่ได้ใช้กับความหมายของ ธรรมธาตุ ที่เป็นโลกุตระ อย่าสับสนเอามาปนกัน ธรรมในโลกุตระ เห็นจะพูดได้แค่ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชา ถ้าอยู่ใต้บังคับบัญชาได้เหมือนที่สัจจกนิครนถ์คิด มีมิจฉาทิฐิคิดแบบนั้นแล้วก็มาเถียงพระพุทธเจ้าน่ะ
มีพระสูตรกล่าวไว้อีก
“นิพพานธาตุอย่างหนึ่ง เป็นทิฏฐธัมมิกะ (มีในปัจจุบัน) ชื่อว่า สอุปาทิเสส เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุอีกอย่างหนึ่ง เป็นสัมปรายิกะ (มีในเบื้องหน้า) เป็นที่ภพทั้งหลายดับไปหมดสิ้น” (ธาตุสูตร)
แล้วก็มีอีกพุทธพจน์ที่กล่าวว่า แม้ภิกษุจำนวนมากมายจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุจะปรากฏว่าพร่องหรือเต็มเพราะเหตุนั้นก็หามิได้ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า ความพร้อมเพรียงกันไม่แสดงตนในภพ หรือ ความพร้อมใจกันไม่เกิด, อีกสำนวนหนึ่งท่านว่า พระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีจำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา นิพพานธาตุ ก็ไม่ปรากฎว่าพร่องลงหรือเพิ่มขึ้น
2. ต้องเห็นนิพพานเป็นสุขด้วยวิปัสนา จะเห็นด้วยเทียบกับความสุขในโลกหรือความสุขที่เกิดจากณานสมาธิไม่ได้ครับ ในณานสมาบัติเองก็ยังเห็นนิพพานไม่ได้ ต้องวิปัสนาจนเข้าถึงสุขในนิโรธอริยสัจให้ได้ก่อน จึงเห็นนิพพานเป็นบรมสุข จากนั้นจึงเอาอารมณ์สุขนี้มาเข้าสมาบัติเป็นนิโรธสมาบัติได้
สุดท้าย ฝากไว้ครับ เป็นคำพูดของท่านปยุตโต
“แม้จะได้ฟังข้อความที่แสดงภาวะของนิพพานมามากแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้ปฏิบัติจนเข้าถึงและรู้เห็นด้วยตนเอง ก็พึงเตือนสติกันไว้ว่า ภาพความเข้าใจเกี่ยวกับนิพพานของผู้ศึกษาทุกคน ก็คงมีอาการที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปบ้างเป็นธรรมดา จึงไม่ควรเอาแต่คิดสร้างภาพและถกเถียงกันจนเลยเถิดไป ทางที่ดีหรือทางที่ถูก ควรจะลงมือปฏิบัติให้เข้าถึง เพื่อรู้เห็นประจักษ์ชัดกับตนเอง หรืออาจใช้คำว่านึกไม่เห็น แต่ต้องปฏิบัติให้รู้เอง ในเบื้องต้นเพียงมองให้เห็นหลักใหญ่ๆในภาพรวมให้ถูกต้อง ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิไว้ก่อนเป็นสำคัญ (นิพพานนั้นไม่ใช่ของที่แตะต้องไม่ได้ หรือห้ามมิให้ตริตรึกนึกคิด เพราะการพิจารณาภาวะของนิพพานนั้น ก็เป็นการทำกิจในอริยสัจ ข้อนิโรธ นั่นเอง เพียงแต่ท่านแนะว่าไม่ควรเอาแต่คิดจนเลยเถิด)”
อันนี้ผมขอตั้งเป็นกระทู้สนทนา ให้ท่านที่สนใจธรรมะเกิดความเข้าใจพื้นฐานก่อน ส่วนใครจะเห็นต่างจะมาถกเถียงอะไรกับผมก็เถียงไปครับแต่ผมไม่เถียงด้วยแน่นอน ^^ แต่จะร่วมสนทนา ขยายยความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ขออนุโมทนาครับ