นายกฯ อนุมัติงบกลางให้ สธ.1.5 พันล้าน ซื้ออุปกรณ์ยาเวชภัณฑ์จากจีน-ญี่ปุ่น
สธ. 27 มี.ค.- ปลัด สธ.เผยนายกฯ อนุมัติงบกลางให้ สธ. 1,500 ล้านบาท จัดซื้ออุปกรณ์ยาเวชภัณฑ์จากจีนและญี่ปุ่น แบบรัฐต่อรัฐ คาดจัดซื้อยา ฟาวิพิราเวียร์ได้มากถึง 340,000 เม็ด เพียงพอกับผู้ป่วยหนักปอดอักเสบได้ 6,000 คน ส่วนที่เหลือจัดซื้อหน้ากากอนามัย N 95 และชุด PPE อีก อย่างละ 2 ล้านชิ้น พร้อมย้ำปัญหาบุคลากรติดโควิด--19 ขอให้ดูแลตัวเองให้ดี เข้าใจบุคลากรทุกคนเหนื่อยล้า มีทั้งคนติดเชื้อจากผู้ป่วย บางคนติดจากญาติ แต่อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังรับมอบ แอลกอฮอล์คุณภาพจาก ปตท.จำนวน 30,000 ลิตร เพื่อมอบให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.)ไปผลิตยา ว่า วันนี้ (27มี.ค. )พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบกลาง1,500 ล้านบาทให้กับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำไปบริหารจัดการซื้ออุปกรณ์ยาและเวชภัณฑ์ในการควบคุมและแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทางกระทรวงฯ จะได้โอนงบประมาณให้องค์การเภสัชกรรมไปสั่งซื้อกับอุปกรณ์เหล่านี้ จากทั้งจีน และญี่ปุ่น ในแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ ได้ประมาณ 340,000 เม็ด เพียงพอใช้กับประชาชน 6,000 คน โดยจะใช้ในรายผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ปอดอักเสบติดเชื้อรุนแรง ส่วนในรายที่มีอาการไม่รุนแรงก็รักษาตามอาการ
นพ.สุขุม กล่าวว่า ขณะเดียวกันก็จะมีการจัดซื้อหน้ากากอนามัยแบบ N95 และชุด PPE เพิ่มเพื่อใช้สำหรับป้องกัน รวมอย่างละ 2 ล้านชิ้นเพื่อให้เพียงพอในการควบคุมโรค ส่วนการกระจายจะได้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการกระจายและเวชภัณฑ์โควิด-19 เป็นดำเนินการ เก็บสต็อกและกระจาย โดยมีข้อมูลแบบเรียลไทม์ โรงพยาบาลในสังกัด.สธ. ,รพ.สังกัดโรงเรียนแพทย์ , หรือโรงพยาบาลนอกสังกัดแต่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 สามารถเบิกจ่ายได้ ซึ่งหากองค์การเภสัชกรรม ทำการตกลงซื้อเรียบร้อยแล้ว ทางรัฐบาลก็จะนำเครื่องบินไปรับสิ่งของเหล่านี้ด้วยตนเอง
นพ.สุขุม ยังกล่าวว่า ส่วนกรณีการพบบุคลากรทางการแพทย์ป่วยติดเชื้อโควิด -19 นั้น เบื้องต้นจะมีการกระจายหน้ากากอานามัยแบบ surgical mask ให้เพียงพอกับบุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่คนเข็นเปล เจ้าหน้าที่ อสม. เพราะถือว่าปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ทราบว่าบุคลากรทางการแพทย์ เหนื่อยล้าจาการทำงาน ก็ขอให้ดูแลตัวเองด้วย เพราะทุกคนเป็นความหวังของประเทศชาติ แต่หากจำนวนการติดเชื้อของแพทย์ มีตั้งแต่การติด จากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการติดจากบุคคลใกล้ชิด ญาติที่อาจเดินทางมาจากต่างประเทศ
ส่วนรายละเอียดการสอบสวนโรคบุคคลากรทางการแพทย์. 2 คน ที่มี การป่วย ใน จ.ตรัง และสมุทรปราการ แต่ไม่ระบุสาเหตุได้นั้น ต้องขอให้สอบถามกับรองอธิบดีกรมควบคุมโรค และผอ.กองสำนักโรคติดต่อทั่วไป -สำนักข่าวไทย
https://www.mcot.net/viewtna/5e7dafa6e3f8e40af942b0c6
ศบค.เพิ่มด่าน กทม.-ปริมณฑลเป็น 377 จุด-ผุดศูนย์หน้ากากอนามัยแห่งชาติ
วันที่ 27 มี.ค. 2563 เวลา 13:37 น.
โฆษก ศบค. เผย มท.สั่งยกระดับความเข้มข้น กทม.-ชลบุรี-อุบล-ภูเก็ต-สงขลา-3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้าน ผบ.ทสส.สั่งเพิ่มจุดตรวจ กทม.-ปริมณฑลเป็น 377 จุด เตรียมตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ "ศบค." โดยหลังการประชุม นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงมีเนื้อหาสรุปดังนี้
-นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนที่ให้ความร่วมมือในหลายๆเรื่อง เช่น การจัดที่นั่งในรถประจำทางเพื่อลดความเสี่ยงได้อย่างดี รวมถึง ภาพของโรงงานที่ได้จัดที่นั่งรับประทานอาหารเว้นระยะกัน โดยในวันนี้มีผู้ป่วยใหม่ 91 ราย รวมสะสม 1,136 ราย ซึ่งทิศทางผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นแต่ผู้ป่วยที่เป็นรายใหม่มีการลดลง ซึ่งถ้าประชาชนพยายามช่วยกันจะทำให้การควบคุมโรคเกิดขึ้นได้ ซึ่งตัวเลขผู้ป่วยพบ 52 จังหวัด เสียชีวิตรวม 5 ราย โดย1รายในวันนี้เป็นชายอายุ 50 ปี กลับมาจากการปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศมาเลเซีย
-นายกรัฐมนตรีรับทราบสถานการณ์และให้ทางกระทรวงสาธารณสุขนำเสนอ มาตรการ การเตรียมความพร้อมเรื่องจำนวนเตียงผู้ป่วยในขณะนี้ โดย กทม.ปริมณฑล ภาครัฐและเอกชนโรงพยาบาล , โรงเรียนแพทย์และการทหารได้ให้ความร่วมมือ โดยมีการปรับเอาโรงแรมนำมาเป็นโรงพยาบาลเฉพาะกิจ มีการทดลองผู้ป่วยที่มีอาการน้อยเข้าสู่การรักษาและมีการดูแลเพื่อเตรียมความพร้อม โดยเตียงโรงพยาบาลที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปริมาณเพียงพอกับปริมาณคนไข้และมีการเตรียมอุปกรณ์เวชภัณฑ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการเน้นย้ำกับทางรัฐมนตรีและกระทรวงสาธารณสุขตลอดถึงระบบการดูแลการเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวว่าทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นศูนย์กลางจัดซื้อและกระจายอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องมือต่างๆทั่วประเทศเพื่อที่จะให้เกิดความสะดวกกับโรงพยาบาลต่างๆที่รอรับอุปกรณ์อยู่ รวมถึงชุดตรวจและห้องปฏิบัติการในตอนนี้มีความต้องการสูงมาก
-กระทรวงพาณิชย์ เน้นย้ำต่อนายกรัฐมนตรีถึงมาตรการการดูแลสินค้าราคาแพงประเด็นของไข่ไก่ เรื่องของการขายปลีกที่มีราคาสูงมาก ทางปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่า ตอนนี้ได้เข้าไปพูดคุยกับทางผู้ประกอบการสมาคมผู้ประกอบการไก่ไข่มีประมาณ 7 รายใหญ่ โดยยืนยันว่าราคาที่ออกจากฟาร์มไข่ไก่อยู่ที่ราคาฟองละ 2.80 บาท คาดว่าอาจจะมีปัญหาจากผู้ค้าคนกลางที่ทำให้ราคาสูงขึ้น โดยมีการตั้งราคาขายได้ที่ฟองละ 3.30 บาท ซึ่งถ้าใครขายเกินราคากว่านี้ทางกระทรวงพาณิชย์จะมีการเข้าไปดำเนินการจับกุม
-การดูแลหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ ในที่ประชุมได้มีการเสนอให้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ โดยจะมีคณะอนุกรรมการ 2 ชุดขึ้นมาดูแล ชุดแรกควบคุมราคากลาง และอีกชุดจะพิจารณาการส่งออกไปต่างประเทศ
-กระทรวงการต่างประเทศ ได้ห่วงใยคนไทยในอิตาลี และต้องการเดินทางกลับมา อยู่ระหว่างหารือเช่าเหมาลำเครื่องบินที่จะไปรับกลับและมาดูแลที่ไทย โดยประสานกับ สธ. หามาตรการดูแล เพราะเป็นประเทศเสี่ยงติดเชื้อสูง
-กระทรวงกลาโหม โดย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ขอบคุณที่ได้รับความร่วมมืออย่างดี แต่ก็ต้องมีการเพิ่มระดับให้ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้น โดยเพิ่มจุดตรวจใน กทม. และปริมณฑล เป็น 377 จุด ต้องเป็นมาตรการที่เราต้องคุ้นเคยและคุ้นชินเนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉิน มีมาตรการของการตรวจเข้ม คนสัญจรอาจจะขลุกขลักบ้าง และขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ และนายกรัฐมนตรียังห่วงคนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วย
-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เสนอและสรุปว่าสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขที่มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นบางจังหวัด มีประเด็นจะต้องควบคุมดูแลอย่างยิ่ง จึงจะประกาศให้จังหวัดต่อไปนี้มาตรการเข้มข้นขึ้น ได้แก่
กทม.และปริมณฑล ภาคตะวันออกได้ ชลบุรี พัทยา ระยอง ภาคอีสาน ที่อุบลราชธานี ส่วนภาคใต้ เน้นมากเป็นพิเศษ ที่ชายแดนใต้ ได้แก่ สงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และพื้นที่ภูเก็ต ที่จะเน้นเพิ่มเติมขึ้นมาโดยขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดจะดำเนินการปรับใช้
-กระทรวงดีอี เน้นความสำคัญเรื่องข่าวลวง เฟกนิวส์ ของทุกหน่วยราชการร่วมแจ้งรวมไปถึงประชาชนช่วยกันดูและแจ้งกันมาด้วยเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย เน้นย้ำหมายเลขโทรศัพท์ 1111 ด้วย
https://www.posttoday.com/politic/news/618954
ด่วน! กทม.สั่งปิดเพิ่มอีก 9 สถานที่ เบรกงานแต่ง'เจ้าบ่าว-เจ้าสาว'มีผลพรุ่งนี้
วันศุกร์ ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563, 14.59 น.
กทม.ปิดเพิ่ม 9 สถานที่ หนีโควิด-19 เบรก “เจ้าบ่าว-เจ้าสาว”จัดงานแต่งมีผลพรุ่งนี้ พร้อมอนุโลม เปิด 3 สถานที่ แต่“สถานที่รับเลี้ยงเด็ก” ปิด 31 มี.ค.นี้
เมื่อเวลา 14.06 น.วันที่ 27 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพฯ แถลงมาตรการกทม.ในสถานการณ์โควิด-19 ว่า คณะกรรมการโรคติดต่อกทม.พิจารณาให้มีการปิดสถานเพิ่มเติม 5 สถานที่ และอนุโลมให้เปิดบางสถานที่ 3 สถานที่ โดยสถานที่ปิด 1.สนามแข่งขันทั้งคนและสัตว์ เช่น สนามแข่งขันนกพิราบ และนกเขา 2.สนามเด็กเล่นทั้งสวนสาธารณะและในหมู่บ้าน 3. สถานที่แสดงมหรสพและสถานที่มีการละเล่นสาธารณะ เช่น ลานแสดงดนตรีในพื้นที่สาธารณะ 4. พิพิธภัณฑ์ และ 5.ห้องสมุด ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.-30 เม.ย.63
ร.ต.อ.พงศกร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นสถานที่ปิดเพิ่ม คือ 4 สถาน คือ 1.ห้องประชุม หรือห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม หรือสถานที่รับจัดเลี้ยง เช่น บ้านทรงไทย ซึ่งการแต่งงานที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มี.ค.นี้ จะได้รับผลกระทบแต่ขอให้เข้าใจกทม. เพราะหากมีการแพร่ระบาดจากงานแต่งงานพลาดแล้วก็เรียกคืนไม่ได้ 2.ร้านสนุกเกอร์ 3. คลินิกเสริมความงาม สถานเสริมความงาม ที่ประกอบเวชกรรม ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.เป็นต้นไป และ4.สถานที่รับเลี้ยงเด็กของรัฐและเอกชน จะมีผลในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ส่วนพื้นที่อนุโลม เปิดได้ คือ พื้นที่จัดให้รับประทานอาหารในโรงพยาบาล แต่ต้องมีมาตรการเว้นระยะทางสังคม 2.ตลาด หรือตลาดนัด อนุญาตให้ร้านดอกไม้ขายได้ 3.พื้นที่หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจในห้างสรรพสินค้า เช่น ไปรษณีย์ในห้าง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)
https://www.naewna.com/local/482164
จัดเต็มที่ไปเลยค่ะ #ประชาชนจะปลอดภัย #ประเทศไทยจะชนะ
🌍🌍มาลาริน/จัดเต็มอัตราค่ะ...นายกฯอนุมัติงบกลางให้สธ.ซื้อยาเวชภัณฑ์จีน-ญี่ปุ่น ตั้งด่านเพิ่ม กทม.ปิดเพิ่ม เบรกงานแต่ง
สธ. 27 มี.ค.- ปลัด สธ.เผยนายกฯ อนุมัติงบกลางให้ สธ. 1,500 ล้านบาท จัดซื้ออุปกรณ์ยาเวชภัณฑ์จากจีนและญี่ปุ่น แบบรัฐต่อรัฐ คาดจัดซื้อยา ฟาวิพิราเวียร์ได้มากถึง 340,000 เม็ด เพียงพอกับผู้ป่วยหนักปอดอักเสบได้ 6,000 คน ส่วนที่เหลือจัดซื้อหน้ากากอนามัย N 95 และชุด PPE อีก อย่างละ 2 ล้านชิ้น พร้อมย้ำปัญหาบุคลากรติดโควิด--19 ขอให้ดูแลตัวเองให้ดี เข้าใจบุคลากรทุกคนเหนื่อยล้า มีทั้งคนติดเชื้อจากผู้ป่วย บางคนติดจากญาติ แต่อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังรับมอบ แอลกอฮอล์คุณภาพจาก ปตท.จำนวน 30,000 ลิตร เพื่อมอบให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.)ไปผลิตยา ว่า วันนี้ (27มี.ค. )พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบกลาง1,500 ล้านบาทให้กับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นำไปบริหารจัดการซื้ออุปกรณ์ยาและเวชภัณฑ์ในการควบคุมและแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทางกระทรวงฯ จะได้โอนงบประมาณให้องค์การเภสัชกรรมไปสั่งซื้อกับอุปกรณ์เหล่านี้ จากทั้งจีน และญี่ปุ่น ในแบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ ได้ประมาณ 340,000 เม็ด เพียงพอใช้กับประชาชน 6,000 คน โดยจะใช้ในรายผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ปอดอักเสบติดเชื้อรุนแรง ส่วนในรายที่มีอาการไม่รุนแรงก็รักษาตามอาการ
นพ.สุขุม กล่าวว่า ขณะเดียวกันก็จะมีการจัดซื้อหน้ากากอนามัยแบบ N95 และชุด PPE เพิ่มเพื่อใช้สำหรับป้องกัน รวมอย่างละ 2 ล้านชิ้นเพื่อให้เพียงพอในการควบคุมโรค ส่วนการกระจายจะได้มีการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการกระจายและเวชภัณฑ์โควิด-19 เป็นดำเนินการ เก็บสต็อกและกระจาย โดยมีข้อมูลแบบเรียลไทม์ โรงพยาบาลในสังกัด.สธ. ,รพ.สังกัดโรงเรียนแพทย์ , หรือโรงพยาบาลนอกสังกัดแต่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 สามารถเบิกจ่ายได้ ซึ่งหากองค์การเภสัชกรรม ทำการตกลงซื้อเรียบร้อยแล้ว ทางรัฐบาลก็จะนำเครื่องบินไปรับสิ่งของเหล่านี้ด้วยตนเอง
นพ.สุขุม ยังกล่าวว่า ส่วนกรณีการพบบุคลากรทางการแพทย์ป่วยติดเชื้อโควิด -19 นั้น เบื้องต้นจะมีการกระจายหน้ากากอานามัยแบบ surgical mask ให้เพียงพอกับบุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่คนเข็นเปล เจ้าหน้าที่ อสม. เพราะถือว่าปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ทราบว่าบุคลากรทางการแพทย์ เหนื่อยล้าจาการทำงาน ก็ขอให้ดูแลตัวเองด้วย เพราะทุกคนเป็นความหวังของประเทศชาติ แต่หากจำนวนการติดเชื้อของแพทย์ มีตั้งแต่การติด จากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงการติดจากบุคคลใกล้ชิด ญาติที่อาจเดินทางมาจากต่างประเทศ
ส่วนรายละเอียดการสอบสวนโรคบุคคลากรทางการแพทย์. 2 คน ที่มี การป่วย ใน จ.ตรัง และสมุทรปราการ แต่ไม่ระบุสาเหตุได้นั้น ต้องขอให้สอบถามกับรองอธิบดีกรมควบคุมโรค และผอ.กองสำนักโรคติดต่อทั่วไป -สำนักข่าวไทย
https://www.mcot.net/viewtna/5e7dafa6e3f8e40af942b0c6
ศบค.เพิ่มด่าน กทม.-ปริมณฑลเป็น 377 จุด-ผุดศูนย์หน้ากากอนามัยแห่งชาติ
วันที่ 27 มี.ค. 2563 เวลา 13:37 น.
โฆษก ศบค. เผย มท.สั่งยกระดับความเข้มข้น กทม.-ชลบุรี-อุบล-ภูเก็ต-สงขลา-3 จังหวัดชายแดนใต้ ด้าน ผบ.ทสส.สั่งเพิ่มจุดตรวจ กทม.-ปริมณฑลเป็น 377 จุด เตรียมตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ
เมื่อวันที่ 27 มี.ค. 63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ "ศบค." โดยหลังการประชุม นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.แถลงมีเนื้อหาสรุปดังนี้
-นายกรัฐมนตรี ชื่นชมประชาชนที่ให้ความร่วมมือในหลายๆเรื่อง เช่น การจัดที่นั่งในรถประจำทางเพื่อลดความเสี่ยงได้อย่างดี รวมถึง ภาพของโรงงานที่ได้จัดที่นั่งรับประทานอาหารเว้นระยะกัน โดยในวันนี้มีผู้ป่วยใหม่ 91 ราย รวมสะสม 1,136 ราย ซึ่งทิศทางผู้ป่วยสะสมเพิ่มขึ้นแต่ผู้ป่วยที่เป็นรายใหม่มีการลดลง ซึ่งถ้าประชาชนพยายามช่วยกันจะทำให้การควบคุมโรคเกิดขึ้นได้ ซึ่งตัวเลขผู้ป่วยพบ 52 จังหวัด เสียชีวิตรวม 5 ราย โดย1รายในวันนี้เป็นชายอายุ 50 ปี กลับมาจากการปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศมาเลเซีย
-นายกรัฐมนตรีรับทราบสถานการณ์และให้ทางกระทรวงสาธารณสุขนำเสนอ มาตรการ การเตรียมความพร้อมเรื่องจำนวนเตียงผู้ป่วยในขณะนี้ โดย กทม.ปริมณฑล ภาครัฐและเอกชนโรงพยาบาล , โรงเรียนแพทย์และการทหารได้ให้ความร่วมมือ โดยมีการปรับเอาโรงแรมนำมาเป็นโรงพยาบาลเฉพาะกิจ มีการทดลองผู้ป่วยที่มีอาการน้อยเข้าสู่การรักษาและมีการดูแลเพื่อเตรียมความพร้อม โดยเตียงโรงพยาบาลที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปริมาณเพียงพอกับปริมาณคนไข้และมีการเตรียมอุปกรณ์เวชภัณฑ์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการเน้นย้ำกับทางรัฐมนตรีและกระทรวงสาธารณสุขตลอดถึงระบบการดูแลการเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้กล่าวว่าทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นศูนย์กลางจัดซื้อและกระจายอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องมือต่างๆทั่วประเทศเพื่อที่จะให้เกิดความสะดวกกับโรงพยาบาลต่างๆที่รอรับอุปกรณ์อยู่ รวมถึงชุดตรวจและห้องปฏิบัติการในตอนนี้มีความต้องการสูงมาก
-กระทรวงพาณิชย์ เน้นย้ำต่อนายกรัฐมนตรีถึงมาตรการการดูแลสินค้าราคาแพงประเด็นของไข่ไก่ เรื่องของการขายปลีกที่มีราคาสูงมาก ทางปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่า ตอนนี้ได้เข้าไปพูดคุยกับทางผู้ประกอบการสมาคมผู้ประกอบการไก่ไข่มีประมาณ 7 รายใหญ่ โดยยืนยันว่าราคาที่ออกจากฟาร์มไข่ไก่อยู่ที่ราคาฟองละ 2.80 บาท คาดว่าอาจจะมีปัญหาจากผู้ค้าคนกลางที่ทำให้ราคาสูงขึ้น โดยมีการตั้งราคาขายได้ที่ฟองละ 3.30 บาท ซึ่งถ้าใครขายเกินราคากว่านี้ทางกระทรวงพาณิชย์จะมีการเข้าไปดำเนินการจับกุม
-การดูแลหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการ ในที่ประชุมได้มีการเสนอให้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ โดยจะมีคณะอนุกรรมการ 2 ชุดขึ้นมาดูแล ชุดแรกควบคุมราคากลาง และอีกชุดจะพิจารณาการส่งออกไปต่างประเทศ
-กระทรวงการต่างประเทศ ได้ห่วงใยคนไทยในอิตาลี และต้องการเดินทางกลับมา อยู่ระหว่างหารือเช่าเหมาลำเครื่องบินที่จะไปรับกลับและมาดูแลที่ไทย โดยประสานกับ สธ. หามาตรการดูแล เพราะเป็นประเทศเสี่ยงติดเชื้อสูง
-กระทรวงกลาโหม โดย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ขอบคุณที่ได้รับความร่วมมืออย่างดี แต่ก็ต้องมีการเพิ่มระดับให้ประชาชนอยู่บ้านมากขึ้น โดยเพิ่มจุดตรวจใน กทม. และปริมณฑล เป็น 377 จุด ต้องเป็นมาตรการที่เราต้องคุ้นเคยและคุ้นชินเนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉิน มีมาตรการของการตรวจเข้ม คนสัญจรอาจจะขลุกขลักบ้าง และขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ และนายกรัฐมนตรียังห่วงคนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วย
-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เสนอและสรุปว่าสถิติจากกระทรวงสาธารณสุขที่มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นบางจังหวัด มีประเด็นจะต้องควบคุมดูแลอย่างยิ่ง จึงจะประกาศให้จังหวัดต่อไปนี้มาตรการเข้มข้นขึ้น ได้แก่ กทม.และปริมณฑล ภาคตะวันออกได้ ชลบุรี พัทยา ระยอง ภาคอีสาน ที่อุบลราชธานี ส่วนภาคใต้ เน้นมากเป็นพิเศษ ที่ชายแดนใต้ ได้แก่ สงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และพื้นที่ภูเก็ต ที่จะเน้นเพิ่มเติมขึ้นมาโดยขึ้นอยู่กับแต่ละจังหวัดจะดำเนินการปรับใช้
-กระทรวงดีอี เน้นความสำคัญเรื่องข่าวลวง เฟกนิวส์ ของทุกหน่วยราชการร่วมแจ้งรวมไปถึงประชาชนช่วยกันดูและแจ้งกันมาด้วยเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย เน้นย้ำหมายเลขโทรศัพท์ 1111 ด้วย
https://www.posttoday.com/politic/news/618954
ด่วน! กทม.สั่งปิดเพิ่มอีก 9 สถานที่ เบรกงานแต่ง'เจ้าบ่าว-เจ้าสาว'มีผลพรุ่งนี้
วันศุกร์ ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563, 14.59 น.
กทม.ปิดเพิ่ม 9 สถานที่ หนีโควิด-19 เบรก “เจ้าบ่าว-เจ้าสาว”จัดงานแต่งมีผลพรุ่งนี้ พร้อมอนุโลม เปิด 3 สถานที่ แต่“สถานที่รับเลี้ยงเด็ก” ปิด 31 มี.ค.นี้
เมื่อเวลา 14.06 น.วันที่ 27 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพฯ แถลงมาตรการกทม.ในสถานการณ์โควิด-19 ว่า คณะกรรมการโรคติดต่อกทม.พิจารณาให้มีการปิดสถานเพิ่มเติม 5 สถานที่ และอนุโลมให้เปิดบางสถานที่ 3 สถานที่ โดยสถานที่ปิด 1.สนามแข่งขันทั้งคนและสัตว์ เช่น สนามแข่งขันนกพิราบ และนกเขา 2.สนามเด็กเล่นทั้งสวนสาธารณะและในหมู่บ้าน 3. สถานที่แสดงมหรสพและสถานที่มีการละเล่นสาธารณะ เช่น ลานแสดงดนตรีในพื้นที่สาธารณะ 4. พิพิธภัณฑ์ และ 5.ห้องสมุด ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.-30 เม.ย.63
ร.ต.อ.พงศกร กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นสถานที่ปิดเพิ่ม คือ 4 สถาน คือ 1.ห้องประชุม หรือห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม หรือสถานที่รับจัดเลี้ยง เช่น บ้านทรงไทย ซึ่งการแต่งงานที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มี.ค.นี้ จะได้รับผลกระทบแต่ขอให้เข้าใจกทม. เพราะหากมีการแพร่ระบาดจากงานแต่งงานพลาดแล้วก็เรียกคืนไม่ได้ 2.ร้านสนุกเกอร์ 3. คลินิกเสริมความงาม สถานเสริมความงาม ที่ประกอบเวชกรรม ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค.เป็นต้นไป และ4.สถานที่รับเลี้ยงเด็กของรัฐและเอกชน จะมีผลในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ส่วนพื้นที่อนุโลม เปิดได้ คือ พื้นที่จัดให้รับประทานอาหารในโรงพยาบาล แต่ต้องมีมาตรการเว้นระยะทางสังคม 2.ตลาด หรือตลาดนัด อนุญาตให้ร้านดอกไม้ขายได้ 3.พื้นที่หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจในห้างสรรพสินค้า เช่น ไปรษณีย์ในห้าง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)
https://www.naewna.com/local/482164
จัดเต็มที่ไปเลยค่ะ #ประชาชนจะปลอดภัย #ประเทศไทยจะชนะ