คุณจะรู้สึกอย่างไรบ้าง? ถ้าได้อ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยฝ่ายผู้พ่ายแพ้ สำหรับผมมันเป็นความสะเทือนใจเมื่อได้ทราบว่า ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงอีกด้านนั้นถูกเปิดเผยด้วยความเจ็บปวด ถูกบอกกล่าวผ่านความทรงจำอันเลวร้ายที่ประทับลึกอยู่ในรอยแผลเป็น และรอยแค้นในใจที่เกิดจากการถูกโบยตีด้วยแส้เป็นร้อยครั้งพันครั้ง
ผมพอจะจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก มีละครโทรทัศน์ต่างประเทศเรื่องหนึ่งที่ฉายให้คนไทยชม ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นทางช่อง 3 ผมจำภาพในทีวีที่เป็นภาพของคนผิวดำกำลังชูทารกแรกเกิดขึ้นบนฟ้า เด็กน้อยที่ถูกยกตัวนั้นผิวดำสนิทเช่นกัน มีเสียงเรียกชื่อหนึ่งออกมาผมยังจำได้ดี “คุนต้า คินเต้” ตามด้วยเสียงบรรยายที่บอกว่าละครเรื่องนี้ชื่อ “รูทส์ ลูกทาส” ในตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าที่จะได้ชมละครฝรั่งเรื่องนี้ แต่ในวันนี้หลังจากที่ผ่านไปเกือบ 40 ปี เสียงที่ผมจำได้ดีนั้นกลับมาก้องดังในหัวผมอีกครั้ง เมื่อผมได้อ่านนวนิยายอเมริกันเรื่อง “รูทส์” (Roots) สองเล่มที่ผมถืออยู่ในมือขณะนี้
“ Roots คือวรรณกรรมเชิงวิชาการขนาดยาวที่ Alex Haley ลูกหลานทาสนิโกรรุ่นที่ 7 ใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี ในการสืบค้น รวบรวมและวิจัยข้อมูลประวัติศาสตร์ของต้นตระกูลเมื่อ 200 ปีก่อน เพื่อนำมาเรียงร้อยและเรียบเรียงจนกลายเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกเล่มหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1976 งานเขียนชิ้นนี้ของเขาอบอวลไปด้วยสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้นจริงอย่างสลับซับซ้อน และต่อเนื่องพัวพันกับลมหายของบรรพชนทาสนิโกรของเขาที่มีชายหนุ่มจากแอฟริกา คุนต้า คินเต้ เป็นต้นตระกูล ดังนั้นภาพใหญ่ของวรรณกรรมเชิงวิชาการเล่มนี้จึงประกอบด้วย 5 สถานการณ์คือ 1.วิถีแห่งแอฟริกันบริสุทธิ์ 2.การค้าทาส 3.สงครามเรียกร้องอิสรภาพของอเมริกันจากกษัตริย์อังกฤษ 4.สงครามกลางเมืองของอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือที่สนับสนุนการปลดปล่อยทาสกับฝ่ายใต้ที่เรียกร้องให้คงทาสไว้ และ 5.การสร้างชาติพหุวัฒนธรรมสมานฉันท์สหรัฐอเมริกา”
(จากบทนำ , รูทส์ : กระบวนการสร้างชาติพหุวัฒนธรรมสมานฉันท์ โดยสมาน อู่งามสิน , หน้า 8)
จากย่อหน้าข้างบนที่ผมยกมานั้นได้อธิบายเรื่องราวในหนังสือเรื่องนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นถ้าท่านมีใจรักในการอ่านเรื่องที่ยาวขนาด 1,410 หน้าได้ ท่านจะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของหนังสือเรื่องนี้ที่นำเสนอ แต่สำหรับตัวผมยอมรับตามตรงเลยว่าผมใช้เวลาอ่านเรื่องนี้นานมาก ในช่วงหนึ่งประมาณกลางเล่มแรกผมเกือบทิ้งที่จะไม่อ่านแล้ว เพราะความโหดร้ายจากทัณฑ์ทรมานที่ตัวละครหลัก คุนต้า คินเต้ ได้รับนั้น มันส่งผลกระทบมายังจิตใจของผมที่เป็นผู้อ่านอย่างมาก ถ้าท่านใดพอทราบเรื่องการค้าทาสของอเมริกันในยุคก่อนมาแล้ว ท่านก็คงทราบดีถึงความอยุติธรรม และความไร้ซึ่งมนุษยธรรมที่ชาวอเมริกันผิวขาวถือยึดปฏิบัติได้อย่างเอกฉันท์ ยิ่งถ้าท่านใดมีความเที่ยงตรงในจิตใจแล้วด้วย เรื่องราวในที่เกิดขึ้นในเล่มแรกช่วงที่ คุนต้า คินเต้ โดนจับตัวลงเรือไปเป็นทาสนั้น ท่านอาจจะรับไม่ได้เหมือนอย่างที่ผมรู้สึกก็เป็นได้ แต่ถ้าท่านอ่านที่ผมเขียนบรรยายความรู้สึกนี้แล้วท่านอาจจะคิดว่าผมพูดโอเว่อร์เกินไปนั้น ก็ขอให้ท่านลองคิดตามว่าถ้าต้องอ่านช่วงที่ตัวละครหลักได้รับความทรมานยาวนานถึง 300 กว่าหน้านั้น ถ้าอ่านผ่านไปได้ท่านคงเหนื่อยในการเอาในช่วยตัวละครหลักเช่นเดียวกับผมแน่ ๆ
“มีชาวแอฟริกันนับล้านที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นทาส มีผู้คนที่ถูกลักพาตัวเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับคุนต้า คินเต้ แต่มันไม่เพียงแค่นั้น ยังมีผู้คนอีกนับล้านเช่นกันที่ต้องตกใจตื่นจากหลับใหลในยามกลางคืน ส่งเสียงกรีดร้องระงมและวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเมื่อหมู่บ้านของพวกเขาถูกบุกเข้าโจมตี เปลวไฟโหมกระหน่ำไปทั่ว ผู้ที่รอดชีวิตจะถูกจับเอาโซ่คล้องคอชนิดคนต่อคน ให้เดินเรียงแถวยาว ซึ่งบางครั้งก็ยาวเป็นไมล์ มีคนผิวดำที่ล้มตาย หรือไม่ก็ถูกทิ้งให้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอหมดสภาพ เนื่องจากถูกทารุณกรรมไปตลอดทางกว่าจะถึงชายฝั่งทะเล ...”
(จากหน้า 1,393)
รูทส์ Roots ประพันธ์โดย Alex Haley แปลเป็นภาษาไทยอย่างวิจิตรบรรจงโดย เพชร ภาษพิรัช แบ่งเป็น 2 เล่มหนาประมาณเล่มละ 700 หน้า โดยเล่มแรกเป็นเรื่องราวของคุนต้า คินเต้ ที่เป็นตัวละครหลัก ในเล่มพูดถึงวิถีของแอฟริกันในยุค 200 กว่าปีที่แล้วที่ยังมีวิถีชีวิตแบบชนเผ่าดั้งเดิม รวมทั้งพูดถึงความน่ากลัวของพวก “ทูบ๊อบ” ที่หมายถึงคนผิวขาวที่บุกรุกเข้าไปในดินแดนบริสุทธิ์นั้นแล้วจับคนแอฟริกันผิวดำลงเรือส่งมาเป็นทาสที่ทวีปอเมริกา ส่วนเล่มที่สองจะพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแผ่นดินของคนผิวขาว(ทวีปอเมริกา) โดยมีตัวละครหลักเป็นลูกหลานของคุนต้า คินเต้ ที่ถูกจับมา มีตัวละครผิวดำและผิวสีน้ำตาล(พ่อเป็นคนขาว แม่เป็นคนดำที่ถูกข่มขืน) มากมายถึง 6 รุ่นกว่าจะถึงยุคปัจจุบันของ Alex Haley สำหรับเรื่องราวในเล่มที่สองนี้เป็นยุคแรกเริ่มของการสร้างชาติของชาวอเมริกัน ตั้งแต่เรื่องการเรียกร้องอิสรภาพของอเมริกันจากกษัตริย์อังกฤษ มีการพูดถึงสงครามกลางเมืองของอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ที่ทำให้เกิดการเลิกทาสในที่สุด จนกลายมาเป็นการสร้างชาติพหุวัฒนธรรมแบบผสมผสานของสหรัฐอเมริกาที่เราเห็นในทุกวันนี้
สำหรับตัวผมเมื่อได้อ่านเรื่อง รูทส์ Roots แล้วผมเห็นหลากหลายมุมมองมาก คือถ้าจะพูดถึงมุมมองทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นการบันทึกเรื่องราวการค้าทาสที่เกิดขึ้นจริงในอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของโลกที่เราควรจะต้องศึกษา , ถ้าจะพูดถึงมุมมองทางด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องของชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมีการพูดถึงการเคลื่อนย้ายชาติพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกถึง 2 ชาติพันธุ์ (คืออังกฤษมาอเมริกาและแอฟริกันมาอเมริกา) ที่มนุษย์เราสามารถศึกษาและรับรู้ได้ , ถ้ามองในมุมมองทางศาสนา เรื่องนี้เป็นการพูดถึงความเคร่งครัดในการนับถือศาสนา ที่ปรากฏให้เห็นชัดอยู่ถึง 2 ศาสนา คือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ ซึ่งทั้งสองศาสนานี้สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยในเรื่องไม่มีความชัดแย้งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงเลย เป็นประเด็นที่น่าประทับใจมาก , ถ้ามองในมุมมองของการเมืองการปกครอง เรื่องนี้ก็บันทึกถึงวิธีการและระบอบการปกครองของอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลายมาก รวมทั้งพูดถึงการปกครองคนในกลุ่มย่อย ตั้งแต่การปกครองแบบชนชั้นในชนเผ่าต่าง ๆ ของแอฟริกาและการปกครองระหว่างเจ้านายที่เป็นคนผิวขาวกับทาสที่เป็นคนผิวดำด้วย
และถ้าพูดถึงมุมมองทางด้านวรรณกรรมแล้ว น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดที่นักเขียนและนักอ่านควรจะต้องสนใจมากที่สุด เพราะเรื่องนี้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องราวที่เขียนย้อนไปในอดีตเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว ด้วยการประพันธ์ในรูปแบบนวนิยายสมัยใหม่ คือเรื่องนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นนิยายแนวพีเรียดที่ย้อนยุคก็ได้ แต่เป็นการย้อนยุคไปตั้งหลักตั้งแต่สมัยอดีตกาลเพื่อเล่าเรื่องย้อนมาจนถึงปัจจุบัน(ในขณะที่ผู้ประพันธ์กำลังเขียน) มันเป็นการสร้างภาพที่ใหญ่มาก ๆ เป็นการวางโครงเรื่องที่กว้างและมีรายละเอียดมากมาย ด้วยการสร้างภาพความลวงขึ้นเพื่อบรรยายให้เห็นภาพความจริงในอดีต ตัวนักเขียนเองต้องศึกษาและหาข้อมูลเยอะอย่างมหาศาลมากแน่ ๆ กว่าที่จะเขียนเรื่องนี้ได้ นอกจากข้อมูลที่สร้างความสมจริงให้เกิดขึ้นในตัวนวนิยายแล้ว เส้นเรื่องก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ในเรื่องนี้เล่าเรื่องตามลำดับเวลาโดยมีการอิงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ทำให้เรื่อง รูทส์ Roots นี้มีความสมบูรณ์ค่อนข้างมาก จนอาจจะกล่าวได้ว่าสามารถเอาไปใช้อ้างอิงทางวิชาการได้ หรือจะบอกว่าจริง ๆ แล้วเรื่องนี้คือสาระนิยาย หรือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ หรือจะบอกว่าเป็นสารคดีชีวิตก็ได้
เมื่อผมอ่านหนังสือเรื่อง รูทส์ Roots นี้จบแล้ว ผมรับรู้ได้ว่าหนังสือเรื่องนี้ต้องการบอกแก่ผมโดยสรุปเป็นประโยคเดียวว่า
“ขอให้รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน และอะไรคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราในทุกวันนี้”
สำหรับหนังสือ รูทส์ Roots ที่อยู่ในมือผมนี้ เป็นหนังสือปกแข็งสันโค้งอย่างดีจำนวน 2 เล่มที่บรรจุอยู่ในกล่องแข็งที่เรียกว่า Box Set โดยแต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 700 หน้า หนังสือ 2 เล่มรวมกันมีความหนา 1,410 หน้า ราคาขายระบุไว้ที่ Box Set ราคา 1,100 บาท (ไม่มีราคาขายแยกเล่ม) ราคาถูกมาก ๆ สำหรับหนังสือวรรณกรรมระดับโลกที่ทางสำนักพิมพ์ ไทยควอลิตี้บุ๊คส์ (2006) พิมพ์ออกมาจำหน่าย เหมาะสำหรับซื้อหามาอ่านในช่วงที่ท่านต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านเพื่อป้องกันเชื้อโรค โควิด-19 ให้คุนต้า คินเต้ และลูกหลานของเขาพาท่านเดินตามหลังย้อนอดีตกลับไปรับรู้เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น อ่านยาว ๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กว้างไกลขึ้น อีกทั้งตัวบรรจุภัณฑ์ Box Set และภาพหน้าปกหนังสือออกแบบได้อย่างงดงามมาก ควรค่าแก่การประดับไว้ในชั้นหนังสือของท่านเป็นอย่างมาก บอกดัง ๆ เลยว่านักสะสมหนังสือต้องไม่พลาดเช่นกันครับ
ท้ายสุดนี้ผมต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์บุญญรัตน์ บุญญาทิษฐาน ผู้แปลหนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างสูงที่มอบหนังสือ รูทส์ Roots ไว้ให้ผมอ่าน ผมขอขอบพระคุณครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือครับ
[SR] รูทส์ Roots
ผมพอจะจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก มีละครโทรทัศน์ต่างประเทศเรื่องหนึ่งที่ฉายให้คนไทยชม ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นทางช่อง 3 ผมจำภาพในทีวีที่เป็นภาพของคนผิวดำกำลังชูทารกแรกเกิดขึ้นบนฟ้า เด็กน้อยที่ถูกยกตัวนั้นผิวดำสนิทเช่นกัน มีเสียงเรียกชื่อหนึ่งออกมาผมยังจำได้ดี “คุนต้า คินเต้” ตามด้วยเสียงบรรยายที่บอกว่าละครเรื่องนี้ชื่อ “รูทส์ ลูกทาส” ในตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าที่จะได้ชมละครฝรั่งเรื่องนี้ แต่ในวันนี้หลังจากที่ผ่านไปเกือบ 40 ปี เสียงที่ผมจำได้ดีนั้นกลับมาก้องดังในหัวผมอีกครั้ง เมื่อผมได้อ่านนวนิยายอเมริกันเรื่อง “รูทส์” (Roots) สองเล่มที่ผมถืออยู่ในมือขณะนี้
“ Roots คือวรรณกรรมเชิงวิชาการขนาดยาวที่ Alex Haley ลูกหลานทาสนิโกรรุ่นที่ 7 ใช้เวลายาวนานถึง 12 ปี ในการสืบค้น รวบรวมและวิจัยข้อมูลประวัติศาสตร์ของต้นตระกูลเมื่อ 200 ปีก่อน เพื่อนำมาเรียงร้อยและเรียบเรียงจนกลายเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของโลกเล่มหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.1976 งานเขียนชิ้นนี้ของเขาอบอวลไปด้วยสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้นจริงอย่างสลับซับซ้อน และต่อเนื่องพัวพันกับลมหายของบรรพชนทาสนิโกรของเขาที่มีชายหนุ่มจากแอฟริกา คุนต้า คินเต้ เป็นต้นตระกูล ดังนั้นภาพใหญ่ของวรรณกรรมเชิงวิชาการเล่มนี้จึงประกอบด้วย 5 สถานการณ์คือ 1.วิถีแห่งแอฟริกันบริสุทธิ์ 2.การค้าทาส 3.สงครามเรียกร้องอิสรภาพของอเมริกันจากกษัตริย์อังกฤษ 4.สงครามกลางเมืองของอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือที่สนับสนุนการปลดปล่อยทาสกับฝ่ายใต้ที่เรียกร้องให้คงทาสไว้ และ 5.การสร้างชาติพหุวัฒนธรรมสมานฉันท์สหรัฐอเมริกา”
(จากบทนำ , รูทส์ : กระบวนการสร้างชาติพหุวัฒนธรรมสมานฉันท์ โดยสมาน อู่งามสิน , หน้า 8)
จากย่อหน้าข้างบนที่ผมยกมานั้นได้อธิบายเรื่องราวในหนังสือเรื่องนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นถ้าท่านมีใจรักในการอ่านเรื่องที่ยาวขนาด 1,410 หน้าได้ ท่านจะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดของหนังสือเรื่องนี้ที่นำเสนอ แต่สำหรับตัวผมยอมรับตามตรงเลยว่าผมใช้เวลาอ่านเรื่องนี้นานมาก ในช่วงหนึ่งประมาณกลางเล่มแรกผมเกือบทิ้งที่จะไม่อ่านแล้ว เพราะความโหดร้ายจากทัณฑ์ทรมานที่ตัวละครหลัก คุนต้า คินเต้ ได้รับนั้น มันส่งผลกระทบมายังจิตใจของผมที่เป็นผู้อ่านอย่างมาก ถ้าท่านใดพอทราบเรื่องการค้าทาสของอเมริกันในยุคก่อนมาแล้ว ท่านก็คงทราบดีถึงความอยุติธรรม และความไร้ซึ่งมนุษยธรรมที่ชาวอเมริกันผิวขาวถือยึดปฏิบัติได้อย่างเอกฉันท์ ยิ่งถ้าท่านใดมีความเที่ยงตรงในจิตใจแล้วด้วย เรื่องราวในที่เกิดขึ้นในเล่มแรกช่วงที่ คุนต้า คินเต้ โดนจับตัวลงเรือไปเป็นทาสนั้น ท่านอาจจะรับไม่ได้เหมือนอย่างที่ผมรู้สึกก็เป็นได้ แต่ถ้าท่านอ่านที่ผมเขียนบรรยายความรู้สึกนี้แล้วท่านอาจจะคิดว่าผมพูดโอเว่อร์เกินไปนั้น ก็ขอให้ท่านลองคิดตามว่าถ้าต้องอ่านช่วงที่ตัวละครหลักได้รับความทรมานยาวนานถึง 300 กว่าหน้านั้น ถ้าอ่านผ่านไปได้ท่านคงเหนื่อยในการเอาในช่วยตัวละครหลักเช่นเดียวกับผมแน่ ๆ
“มีชาวแอฟริกันนับล้านที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นทาส มีผู้คนที่ถูกลักพาตัวเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เช่นเดียวกับคุนต้า คินเต้ แต่มันไม่เพียงแค่นั้น ยังมีผู้คนอีกนับล้านเช่นกันที่ต้องตกใจตื่นจากหลับใหลในยามกลางคืน ส่งเสียงกรีดร้องระงมและวิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเมื่อหมู่บ้านของพวกเขาถูกบุกเข้าโจมตี เปลวไฟโหมกระหน่ำไปทั่ว ผู้ที่รอดชีวิตจะถูกจับเอาโซ่คล้องคอชนิดคนต่อคน ให้เดินเรียงแถวยาว ซึ่งบางครั้งก็ยาวเป็นไมล์ มีคนผิวดำที่ล้มตาย หรือไม่ก็ถูกทิ้งให้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอหมดสภาพ เนื่องจากถูกทารุณกรรมไปตลอดทางกว่าจะถึงชายฝั่งทะเล ...”
(จากหน้า 1,393)
รูทส์ Roots ประพันธ์โดย Alex Haley แปลเป็นภาษาไทยอย่างวิจิตรบรรจงโดย เพชร ภาษพิรัช แบ่งเป็น 2 เล่มหนาประมาณเล่มละ 700 หน้า โดยเล่มแรกเป็นเรื่องราวของคุนต้า คินเต้ ที่เป็นตัวละครหลัก ในเล่มพูดถึงวิถีของแอฟริกันในยุค 200 กว่าปีที่แล้วที่ยังมีวิถีชีวิตแบบชนเผ่าดั้งเดิม รวมทั้งพูดถึงความน่ากลัวของพวก “ทูบ๊อบ” ที่หมายถึงคนผิวขาวที่บุกรุกเข้าไปในดินแดนบริสุทธิ์นั้นแล้วจับคนแอฟริกันผิวดำลงเรือส่งมาเป็นทาสที่ทวีปอเมริกา ส่วนเล่มที่สองจะพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแผ่นดินของคนผิวขาว(ทวีปอเมริกา) โดยมีตัวละครหลักเป็นลูกหลานของคุนต้า คินเต้ ที่ถูกจับมา มีตัวละครผิวดำและผิวสีน้ำตาล(พ่อเป็นคนขาว แม่เป็นคนดำที่ถูกข่มขืน) มากมายถึง 6 รุ่นกว่าจะถึงยุคปัจจุบันของ Alex Haley สำหรับเรื่องราวในเล่มที่สองนี้เป็นยุคแรกเริ่มของการสร้างชาติของชาวอเมริกัน ตั้งแต่เรื่องการเรียกร้องอิสรภาพของอเมริกันจากกษัตริย์อังกฤษ มีการพูดถึงสงครามกลางเมืองของอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ที่ทำให้เกิดการเลิกทาสในที่สุด จนกลายมาเป็นการสร้างชาติพหุวัฒนธรรมแบบผสมผสานของสหรัฐอเมริกาที่เราเห็นในทุกวันนี้
สำหรับตัวผมเมื่อได้อ่านเรื่อง รูทส์ Roots แล้วผมเห็นหลากหลายมุมมองมาก คือถ้าจะพูดถึงมุมมองทางประวัติศาสตร์ เรื่องนี้เป็นการบันทึกเรื่องราวการค้าทาสที่เกิดขึ้นจริงในอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของโลกที่เราควรจะต้องศึกษา , ถ้าจะพูดถึงมุมมองทางด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องของชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งมีการพูดถึงการเคลื่อนย้ายชาติพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกถึง 2 ชาติพันธุ์ (คืออังกฤษมาอเมริกาและแอฟริกันมาอเมริกา) ที่มนุษย์เราสามารถศึกษาและรับรู้ได้ , ถ้ามองในมุมมองทางศาสนา เรื่องนี้เป็นการพูดถึงความเคร่งครัดในการนับถือศาสนา ที่ปรากฏให้เห็นชัดอยู่ถึง 2 ศาสนา คือศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ ซึ่งทั้งสองศาสนานี้สามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยในเรื่องไม่มีความชัดแย้งที่ก่อให้เกิดความรุนแรงเลย เป็นประเด็นที่น่าประทับใจมาก , ถ้ามองในมุมมองของการเมืองการปกครอง เรื่องนี้ก็บันทึกถึงวิธีการและระบอบการปกครองของอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลายมาก รวมทั้งพูดถึงการปกครองคนในกลุ่มย่อย ตั้งแต่การปกครองแบบชนชั้นในชนเผ่าต่าง ๆ ของแอฟริกาและการปกครองระหว่างเจ้านายที่เป็นคนผิวขาวกับทาสที่เป็นคนผิวดำด้วย
และถ้าพูดถึงมุมมองทางด้านวรรณกรรมแล้ว น่าจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดที่นักเขียนและนักอ่านควรจะต้องสนใจมากที่สุด เพราะเรื่องนี้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องราวที่เขียนย้อนไปในอดีตเมื่อกว่า 200 ปีที่แล้ว ด้วยการประพันธ์ในรูปแบบนวนิยายสมัยใหม่ คือเรื่องนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นนิยายแนวพีเรียดที่ย้อนยุคก็ได้ แต่เป็นการย้อนยุคไปตั้งหลักตั้งแต่สมัยอดีตกาลเพื่อเล่าเรื่องย้อนมาจนถึงปัจจุบัน(ในขณะที่ผู้ประพันธ์กำลังเขียน) มันเป็นการสร้างภาพที่ใหญ่มาก ๆ เป็นการวางโครงเรื่องที่กว้างและมีรายละเอียดมากมาย ด้วยการสร้างภาพความลวงขึ้นเพื่อบรรยายให้เห็นภาพความจริงในอดีต ตัวนักเขียนเองต้องศึกษาและหาข้อมูลเยอะอย่างมหาศาลมากแน่ ๆ กว่าที่จะเขียนเรื่องนี้ได้ นอกจากข้อมูลที่สร้างความสมจริงให้เกิดขึ้นในตัวนวนิยายแล้ว เส้นเรื่องก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ในเรื่องนี้เล่าเรื่องตามลำดับเวลาโดยมีการอิงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ทำให้เรื่อง รูทส์ Roots นี้มีความสมบูรณ์ค่อนข้างมาก จนอาจจะกล่าวได้ว่าสามารถเอาไปใช้อ้างอิงทางวิชาการได้ หรือจะบอกว่าจริง ๆ แล้วเรื่องนี้คือสาระนิยาย หรือนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ หรือจะบอกว่าเป็นสารคดีชีวิตก็ได้
เมื่อผมอ่านหนังสือเรื่อง รูทส์ Roots นี้จบแล้ว ผมรับรู้ได้ว่าหนังสือเรื่องนี้ต้องการบอกแก่ผมโดยสรุปเป็นประโยคเดียวว่า
“ขอให้รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน และอะไรคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเราในทุกวันนี้”
ท้ายสุดนี้ผมต้องขอขอบคุณท่านอาจารย์บุญญรัตน์ บุญญาทิษฐาน ผู้แปลหนังสือเรื่องนี้เป็นอย่างสูงที่มอบหนังสือ รูทส์ Roots ไว้ให้ผมอ่าน ผมขอขอบพระคุณครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้