ทะลุล้านวิว! คลิป 'หญิงหน่อย' กางแผนแนะรัฐบาล สยบโควิดใน 3 สัปดาห์
https://www.matichon.co.th/politics/news_2070833
สืบเนื่องวานนี้ (18 มีนาคม) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ผ่านทาง มติชนสุดสัปดาห์ Exclusive Live “
Endgame COVID-19” หัวข้อ กางแผนสยบไวรัสใน 3 สัปดาห์ จบเร็ว คนไทยปลอดภัย เศรษฐกิจฟื้นไว นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้วิดีโอคลิปความยาวกว่า 51 นาที มีผู้รับชมแล้วกว่า 1.1 ล้านครั้ง อีกทั้งแชร์ต่อไปกว่า 1.9 หมื่นครั้ง
สำหรับเนื้อหาในวิดีโอสัมภาษณ์โดยสรุปคือ
– รัฐบาลต้องยอมรับว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้น มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมากขึ้น โดยประชาชนจะต้องไม่ตระหนก
– หัวใจที่จะทำให้โรคนี้ยุติได้ คือต้องทำงานให้ทันกับสภาวะที่ระบาดมากขึ้น
– ต้องจบการระบาดของโรคให้เร็ว ถ้าจบไม่เร็วเราต้องสูญเสียชีวิตของคนอีกเท่าไร เศรษฐกิจจะพังไปอีกเท่าไร และถ้าเข้าหน้าฝน อาจมีการระบาดอีกครั้ง ซึ่งทั่วโลกมีคำเตือนเรื่องนี้
– กรณีการระบาดภายในประเทศ จะต้องทำให้จบลงให้เร็ว โดยจะต้องค้นพบผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด จึงเสนอให้รัฐบาลเปิดปฏิบัติการค้นหาผู้ติดเชื้อปูพรมทั้งประเทศ โดยใช้เครือข่ายสาธารณสุขที่มีอยู่ทั่วประเทศ
– ปูพรมเอกซเรย์ทั่วประเทศ ภายใน 3 สัปดาห์ จบภายใน 3 สัปดาห์
– การปิดสถานที่ต่างๆ ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่การหยิบคนติดเชื้อออกมา ดังนั้นเมื่อปิดแล้วต้องหยิบผู้ติดเชื้อออกมาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดอีก
– เมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อ รัฐบาลอาจจะเช่าโรงแรมเป็นพื้นที่กักตัวเหมือนในต่างประเทศ แต่จะต้องมีระบบดูแลให้ครบ 14 วัน
– กรณีการรับมือการระบาดจากต่างประเทศ สำหรับชาวต่างชาติที่จะเดินทางมายังประเทศไทย เสนอให้ดำเนินการในระยะเวลา 3 สัปดาห์เช่นกัน ใน 2 ทาง คือ
1. ทำเหมือนกับประเทศอื่น คือ ปิดประเทศไม่ให้ใครเข้าประเทศเรา เพื่อควานหาผู้ติดเชื้อภายใน 3 สัปดาห์หรือ 21 วันให้จบ
2. ใช้วิธีที่เคยใช้ในการรับมือโรคซาร์สและหวัดนกในอดีต ด้วยการประกาศไปที่ประเทศปลายทางว่ากรณีเดินทางเข้าประเทศไทยจะถูกบังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาด จะต้องกักตัว 14 วันทุกคนและต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
– วันนี้เชื้อเข้ามาระบาดในประเทศแล้ว ทำอย่างไรจะควานหาผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด โดยเราตั้งเป้าไว้ 21 วัน คือ 3 สัปดาห์ ต้องจบ จบเร็วคนไทยปลอดภัย จบเร็วเศรษฐกิจฟื้นเร็ว
– รัฐบาลอย่ากลัวการปูพรมทั่วประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ประชาชนจะเข้าใจและสบายใจว่า การพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นนั้นหมายความว่า มีผู้ติดเชื้ออยู่ภายนอกน้อย โอกาสแพร่โรคก็จะน้อยลง
– ขอให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจที่จะมีการตรวจฟรี เพราะใช้งบประมาณไม่มาก
– อย่าปล่อยให้มีการระบาดไปถึงขั้นที่ทุกคนจะต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้าน ไปไหนไม่ได้ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นเราจะไม่มีระบบที่รองรับได้เลย
– ดังนั้น จึงเสนอให้รัฐบาล ทำ 2 อย่าง คือ
1. อย่าให้ผู้ติดเชื้อใหม่เข้ามาในประเทศ
2. เร่งปฏิบัติการควานหาผู้ติดเชื้อในประเทศ แล้วทำให้จบ ให้เร็ว ภายใน 21 วันตรวจเชื้อฟรี ใครมีอาการไข้หวัดให้ไปตรวจทันที เพราะถือว่ามีความเสี่ยงแล้ว
– หากทำได้ภายใน 3 สัปดาห์ หลังสงกรานต์เราจะประคองตัวเลขผู้ติดเชื้อได้เหมือนไต้หวัน
– ขอเรียกร้องให้ผู้นำกล้าตัดสินใจ ทำเรื่องนี้ และทำโดยทันที
https://www.facebook.com/matichonweekly/videos/195712888401372/
'ช่อ' ชี้รัฐบาลมีปัญหาสื่อสารวิกฤตโควิด-19
https://www.matichon.co.th/politics/news_2070827
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม น.ส.
พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยถึงแนวทางการสื่อสารของภาครัฐ และการรับสารของประชาชน ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ในภาวะวิกฤตสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี ในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ได้มีเพียงปัญหาด้านสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ด้านการจัดการในด้านสาธารณสุขคือ การจัดการด้านการสื่อสาร วันนี้อยากจะแสดงความคิดเห็นเล็กน้อย เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในด้านการสื่อสารจากรัฐไปถึงประชาชน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับชีวิตของประชาชนคนไทยในการรักษาตนเองให้รอดจากเชื้อโควิด-19 ซึ่งมีอยู่ 4 ประเด็นในการสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตเช่นนี้
น.ส.
พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ประเด็นแรกการสื่อสารในห้วงวิกฤต ไม่ใช่การสื่อสารตามระบบราชการปกติ แต่ปัจจุบันหากประชาชนจะหาข้อมูลอัพเดทที่เที่ยงตรงแม่นยำเรื่องเชื้อโควิด-19 กลับไม่มีใครนึกออกว่าควรไปดูที่ช่องทางไหน มีทั้งเพจชัวร์ก่อนแชร์ เพจศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากการติดเชื้อโควิด-19 และเว็บไซต์กรมควบคุมโรค แถลงทางการจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงจากนายกรัฐมนตรี คำถามง่ายๆ หากเดินไปถามประชาชนคนไทย ถ้าคุณอยากจะติดตามข่าวสารเชื้อโควิด-19 ได้อย่างเที่ยงตรง ไม่บิดเบือน เป็นข้อมูลที่ดีที่สุด คุณจะไปดูที่ไหน ตนเชื่อว่า ไม่มีใครตอบได้ หรือไม่มีคำตอบที่ตรงกัน นี่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ในห้วงที่เกิดวิกฤตเช่นนี้ แต่ว่าการสื่อสารของภาครัฐในช่วงนี้ ไม่ได้เป็นการสื่อสารในช่วงวิกฤต แต่เป็นการสื่อสารในระบบราชการทั่วๆ ไป เราจึงจะเห็นได้ว่ามีแถลงการณ์จากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อข่าวจากทางไหนกันแน่ ซึ่งบางข้อมูลขัดแย้งกัน อย่างเพจชัวร์ก่อนแชร์ มีข้อมูลที่ดีมาก แต่อินโฟกราฟฟิกเข้าใจยาก ทำให้เข้าไม่ถึงประชาชน
น.ส.
พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลมากที่สุด อย่างกรมควบคุมโรค ประชาชนเข้าถึงน้อยมาก ในขณะที่แถลงการณ์จากนายกฯ ที่เป็นโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอ และยากต่อการทำความเข้าใจ ซึ่งช่องทางหลักของการสื่อสารควรรวมเป็นแหล่งเดียว ออก 2 ช่องทาง คือ ทีวี และออนไลน์ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยังเข้าถึงทีวีมากที่สุด ในขณะที่ออนไลน์มีลักษณะอัพเดทรวดเร็ว ไวต่อสถานการณ์ แถลงการณ์ของกรมควบคุมโรคควรเป็นแถลงออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และมีตัววิ่งทางทีวี ควบคู่กับการอัพเดตออนไลน์ ตัวอย่างเช่น ไต้หวัน ในแต่ละวันมีการออกมาตรการต่างๆ โดยรัฐถึง 4-5 รายการ แต่ก็ไม่ได้สร้างความสับสน เพราะมีการสื่อสารแบบรวมศูนย์โดยศูนย์บัญชาการโควิดที่เดียวอย่างเป็นระบบ
“
เว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนกลับไม่มีใครเข้าไปดู ประชาชนไม่รู้ว่าต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ใดถึงจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด ในขณะเดียวกันแถลงการณ์จากนายกฯ ที่ส่งถึงประชาชนมากกว่า 95% หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับประชาชนมากพอ แต่กลับเป็นข้อมูลที่ไปถึงประชาชนในระดับกว้างที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น การสื่อสารควรจะรวมศูนย์เป็นช่องทางเดียว เป็นการสื่อสารที่เป็นทางการ รวดเร็ว ฉับไว และมีข้อมูลที่ครบถ้วน” น.ส.
พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.
พรรณิการ์กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่ 3 รัฐใช้ศูนย์ต่อต้านเฟกนิวส์ รับมือกับข่าวสารผิด บิดเบือน ข่าวปลอม ในกรณีเชื้อโควิด-19 ซึ่งแน่นอนว่าการจัดการข่าวปลอมเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อป้องกันความตื่นตระหนก และการเผยแพร่ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการรับมือโรคระบาด แต่ปัญหาคือการสื่อสารที่ไปไม่ถึงประชาชน ทำให้เกิดช่องว่าง ประชาชนกระหายข้อมูลที่ฉับไวรวดเร็ว เพราะกำลังกังวลเรื่องโรคระบาด จึงไม่แปลกที่จะเกิดข้อมูลข่าวสารมากมายจากช่องทางไม่เป็นทางการ วิธีการที่ดีที่สุดในการต้านข่าวปลอมในช่วงเวลานี้ จึงเป็นการทำให้ข้อมูลข่าวสารจากรัฐ ไปถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและกว้างขวางที่สุด
“
นี่คือครั้งแรกที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติโรคระบาดที่แพร่กระจายทั้งโลกในยุคโซเชียลมีเดีย ในยุคที่ผู้คนกระหายข้อมูลอย่างมาก เนื่องด้วยความกังวลว่าจะติดโรคระบาด สิ่งที่รัฐจะทำได้เพื่อยุติเฟกนิวส์ หรือทำให้เฟกนิสว์เหลือน้อยที่สุดนั่นก็คือ การให้ข้อมูลที่รวดเร็ว และเที่ยงตรงกับประชาชน ถ้ารัฐย่นระยะช่องว่างระหว่างความต้องการข่าวสารกับความสามารถที่รัฐจะให้ข่าวได้ ยิ่งลดได้มากเท่าไร ยิ่งเหลือพื้นที่สำหรับเฟคกนิวส์น้อยเท่านั้น อย่ามัวแต่ไปไล่ฟ้องคนที่ให้ข่าว ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่เฟกนิวส์ แต่อาจเป็นข่าวที่ไม่เป็นทางการเท่านั้นเอง” น.ส.
พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.
พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ประเด็นสุดท้าย การใช้ open data และเปิดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างฉับไว ทั้งข้อมูล travel log หรือบันทึกการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ของผู้ติดเชื้อ และที่จัดจำหน่ายหน้ากาก เจลล้างมือ ชุดตรวจโรค รวมถึง ข้อมูลจำเป็นทั้งหมดอย่างเป็นระบบ จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เฟส 3 ที่การระบาดของโรคแพร่ไปมากแล้ว ตอนนี้มีความพยายามทั้งจากรัฐ และเอกชน ในการจัดทำข้อมูลเช่นนี้ แต่ปัญหาคือในขณะที่เอกชนทำอินเตอร์เฟซแอพพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์ได้ดี แต่ก็ขาดข้อมูลที่มากพอ ในขณะที่ สธ.มีข้อมูลมากในฐานะรัฐ แต่ไม่มีประสบการณ์ในการจัดการข้อมูลให้ดูง่าย เข้าใจง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป การร่วมมือระหว่างรัฐ และเอกชน เพื่อทำเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น ที่ทั้งข้อมูลครบถ้วน และเข้าใจง่าย เริ่มขึ้นแล้ว แต่ยังล่าช้าไม่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เราควรเร่งให้เกิดเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น รวบรวมข้อมูลที่เข้าใจง่าย และเที่ยงตรงเช่นนี้โดยเร็วที่สุด หากไทยเข้าสู่เฟส 3 จะได้สามารถรับมือสถานการณ์ และสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชนได้
JJNY : 4in1 ล้านวิว!คลิปหญิงหน่อยแนะรบ./ช่อชี้รบ.มีปัญหาสื่อสารวิกฤต/6อดีตปธ.สภาเสนอปิดประเทศ/หมอคาด1ปีติดโควิดทะลุ1ล้าน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2070833
สำหรับเนื้อหาในวิดีโอสัมภาษณ์โดยสรุปคือ
– รัฐบาลต้องยอมรับว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้น มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมากขึ้น โดยประชาชนจะต้องไม่ตระหนก
– หัวใจที่จะทำให้โรคนี้ยุติได้ คือต้องทำงานให้ทันกับสภาวะที่ระบาดมากขึ้น
– ต้องจบการระบาดของโรคให้เร็ว ถ้าจบไม่เร็วเราต้องสูญเสียชีวิตของคนอีกเท่าไร เศรษฐกิจจะพังไปอีกเท่าไร และถ้าเข้าหน้าฝน อาจมีการระบาดอีกครั้ง ซึ่งทั่วโลกมีคำเตือนเรื่องนี้
– กรณีการระบาดภายในประเทศ จะต้องทำให้จบลงให้เร็ว โดยจะต้องค้นพบผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด จึงเสนอให้รัฐบาลเปิดปฏิบัติการค้นหาผู้ติดเชื้อปูพรมทั้งประเทศ โดยใช้เครือข่ายสาธารณสุขที่มีอยู่ทั่วประเทศ
– ปูพรมเอกซเรย์ทั่วประเทศ ภายใน 3 สัปดาห์ จบภายใน 3 สัปดาห์
– การปิดสถานที่ต่างๆ ช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่การหยิบคนติดเชื้อออกมา ดังนั้นเมื่อปิดแล้วต้องหยิบผู้ติดเชื้อออกมาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดอีก
– เมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อ รัฐบาลอาจจะเช่าโรงแรมเป็นพื้นที่กักตัวเหมือนในต่างประเทศ แต่จะต้องมีระบบดูแลให้ครบ 14 วัน
– กรณีการรับมือการระบาดจากต่างประเทศ สำหรับชาวต่างชาติที่จะเดินทางมายังประเทศไทย เสนอให้ดำเนินการในระยะเวลา 3 สัปดาห์เช่นกัน ใน 2 ทาง คือ
1. ทำเหมือนกับประเทศอื่น คือ ปิดประเทศไม่ให้ใครเข้าประเทศเรา เพื่อควานหาผู้ติดเชื้อภายใน 3 สัปดาห์หรือ 21 วันให้จบ
2. ใช้วิธีที่เคยใช้ในการรับมือโรคซาร์สและหวัดนกในอดีต ด้วยการประกาศไปที่ประเทศปลายทางว่ากรณีเดินทางเข้าประเทศไทยจะถูกบังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาด จะต้องกักตัว 14 วันทุกคนและต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
– วันนี้เชื้อเข้ามาระบาดในประเทศแล้ว ทำอย่างไรจะควานหาผู้ติดเชื้อให้เร็วที่สุด โดยเราตั้งเป้าไว้ 21 วัน คือ 3 สัปดาห์ ต้องจบ จบเร็วคนไทยปลอดภัย จบเร็วเศรษฐกิจฟื้นเร็ว
– รัฐบาลอย่ากลัวการปูพรมทั่วประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ประชาชนจะเข้าใจและสบายใจว่า การพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นนั้นหมายความว่า มีผู้ติดเชื้ออยู่ภายนอกน้อย โอกาสแพร่โรคก็จะน้อยลง
– ขอให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจที่จะมีการตรวจฟรี เพราะใช้งบประมาณไม่มาก
– อย่าปล่อยให้มีการระบาดไปถึงขั้นที่ทุกคนจะต้องกักตัวเองอยู่ที่บ้าน ไปไหนไม่ได้ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นเราจะไม่มีระบบที่รองรับได้เลย
– ดังนั้น จึงเสนอให้รัฐบาล ทำ 2 อย่าง คือ
1. อย่าให้ผู้ติดเชื้อใหม่เข้ามาในประเทศ
2. เร่งปฏิบัติการควานหาผู้ติดเชื้อในประเทศ แล้วทำให้จบ ให้เร็ว ภายใน 21 วันตรวจเชื้อฟรี ใครมีอาการไข้หวัดให้ไปตรวจทันที เพราะถือว่ามีความเสี่ยงแล้ว
– หากทำได้ภายใน 3 สัปดาห์ หลังสงกรานต์เราจะประคองตัวเลขผู้ติดเชื้อได้เหมือนไต้หวัน
– ขอเรียกร้องให้ผู้นำกล้าตัดสินใจ ทำเรื่องนี้ และทำโดยทันที
https://www.facebook.com/matichonweekly/videos/195712888401372/
'ช่อ' ชี้รัฐบาลมีปัญหาสื่อสารวิกฤตโควิด-19
https://www.matichon.co.th/politics/news_2070827
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยถึงแนวทางการสื่อสารของภาครัฐ และการรับสารของประชาชน ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ในภาวะวิกฤตสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี ในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ไม่ได้มีเพียงปัญหาด้านสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ด้านการจัดการในด้านสาธารณสุขคือ การจัดการด้านการสื่อสาร วันนี้อยากจะแสดงความคิดเห็นเล็กน้อย เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในด้านการสื่อสารจากรัฐไปถึงประชาชน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับชีวิตของประชาชนคนไทยในการรักษาตนเองให้รอดจากเชื้อโควิด-19 ซึ่งมีอยู่ 4 ประเด็นในการสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตเช่นนี้
น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ประเด็นแรกการสื่อสารในห้วงวิกฤต ไม่ใช่การสื่อสารตามระบบราชการปกติ แต่ปัจจุบันหากประชาชนจะหาข้อมูลอัพเดทที่เที่ยงตรงแม่นยำเรื่องเชื้อโควิด-19 กลับไม่มีใครนึกออกว่าควรไปดูที่ช่องทางไหน มีทั้งเพจชัวร์ก่อนแชร์ เพจศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากการติดเชื้อโควิด-19 และเว็บไซต์กรมควบคุมโรค แถลงทางการจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงจากนายกรัฐมนตรี คำถามง่ายๆ หากเดินไปถามประชาชนคนไทย ถ้าคุณอยากจะติดตามข่าวสารเชื้อโควิด-19 ได้อย่างเที่ยงตรง ไม่บิดเบือน เป็นข้อมูลที่ดีที่สุด คุณจะไปดูที่ไหน ตนเชื่อว่า ไม่มีใครตอบได้ หรือไม่มีคำตอบที่ตรงกัน นี่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ในห้วงที่เกิดวิกฤตเช่นนี้ แต่ว่าการสื่อสารของภาครัฐในช่วงนี้ ไม่ได้เป็นการสื่อสารในช่วงวิกฤต แต่เป็นการสื่อสารในระบบราชการทั่วๆ ไป เราจึงจะเห็นได้ว่ามีแถลงการณ์จากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าจะเชื่อข่าวจากทางไหนกันแน่ ซึ่งบางข้อมูลขัดแย้งกัน อย่างเพจชัวร์ก่อนแชร์ มีข้อมูลที่ดีมาก แต่อินโฟกราฟฟิกเข้าใจยาก ทำให้เข้าไม่ถึงประชาชน
น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลมากที่สุด อย่างกรมควบคุมโรค ประชาชนเข้าถึงน้อยมาก ในขณะที่แถลงการณ์จากนายกฯ ที่เป็นโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอ และยากต่อการทำความเข้าใจ ซึ่งช่องทางหลักของการสื่อสารควรรวมเป็นแหล่งเดียว ออก 2 ช่องทาง คือ ทีวี และออนไลน์ เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยังเข้าถึงทีวีมากที่สุด ในขณะที่ออนไลน์มีลักษณะอัพเดทรวดเร็ว ไวต่อสถานการณ์ แถลงการณ์ของกรมควบคุมโรคควรเป็นแถลงออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และมีตัววิ่งทางทีวี ควบคู่กับการอัพเดตออนไลน์ ตัวอย่างเช่น ไต้หวัน ในแต่ละวันมีการออกมาตรการต่างๆ โดยรัฐถึง 4-5 รายการ แต่ก็ไม่ได้สร้างความสับสน เพราะมีการสื่อสารแบบรวมศูนย์โดยศูนย์บัญชาการโควิดที่เดียวอย่างเป็นระบบ
“เว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนกลับไม่มีใครเข้าไปดู ประชาชนไม่รู้ว่าต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ใดถึงจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุด ในขณะเดียวกันแถลงการณ์จากนายกฯ ที่ส่งถึงประชาชนมากกว่า 95% หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับประชาชนมากพอ แต่กลับเป็นข้อมูลที่ไปถึงประชาชนในระดับกว้างที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น การสื่อสารควรจะรวมศูนย์เป็นช่องทางเดียว เป็นการสื่อสารที่เป็นทางการ รวดเร็ว ฉับไว และมีข้อมูลที่ครบถ้วน” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่ 3 รัฐใช้ศูนย์ต่อต้านเฟกนิวส์ รับมือกับข่าวสารผิด บิดเบือน ข่าวปลอม ในกรณีเชื้อโควิด-19 ซึ่งแน่นอนว่าการจัดการข่าวปลอมเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อป้องกันความตื่นตระหนก และการเผยแพร่ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการรับมือโรคระบาด แต่ปัญหาคือการสื่อสารที่ไปไม่ถึงประชาชน ทำให้เกิดช่องว่าง ประชาชนกระหายข้อมูลที่ฉับไวรวดเร็ว เพราะกำลังกังวลเรื่องโรคระบาด จึงไม่แปลกที่จะเกิดข้อมูลข่าวสารมากมายจากช่องทางไม่เป็นทางการ วิธีการที่ดีที่สุดในการต้านข่าวปลอมในช่วงเวลานี้ จึงเป็นการทำให้ข้อมูลข่าวสารจากรัฐ ไปถึงประชาชนอย่างรวดเร็วและกว้างขวางที่สุด
“นี่คือครั้งแรกที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติโรคระบาดที่แพร่กระจายทั้งโลกในยุคโซเชียลมีเดีย ในยุคที่ผู้คนกระหายข้อมูลอย่างมาก เนื่องด้วยความกังวลว่าจะติดโรคระบาด สิ่งที่รัฐจะทำได้เพื่อยุติเฟกนิวส์ หรือทำให้เฟกนิสว์เหลือน้อยที่สุดนั่นก็คือ การให้ข้อมูลที่รวดเร็ว และเที่ยงตรงกับประชาชน ถ้ารัฐย่นระยะช่องว่างระหว่างความต้องการข่าวสารกับความสามารถที่รัฐจะให้ข่าวได้ ยิ่งลดได้มากเท่าไร ยิ่งเหลือพื้นที่สำหรับเฟคกนิวส์น้อยเท่านั้น อย่ามัวแต่ไปไล่ฟ้องคนที่ให้ข่าว ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่เฟกนิวส์ แต่อาจเป็นข่าวที่ไม่เป็นทางการเท่านั้นเอง” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ประเด็นสุดท้าย การใช้ open data และเปิดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างฉับไว ทั้งข้อมูล travel log หรือบันทึกการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ของผู้ติดเชื้อ และที่จัดจำหน่ายหน้ากาก เจลล้างมือ ชุดตรวจโรค รวมถึง ข้อมูลจำเป็นทั้งหมดอย่างเป็นระบบ จำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เฟส 3 ที่การระบาดของโรคแพร่ไปมากแล้ว ตอนนี้มีความพยายามทั้งจากรัฐ และเอกชน ในการจัดทำข้อมูลเช่นนี้ แต่ปัญหาคือในขณะที่เอกชนทำอินเตอร์เฟซแอพพลิเคชั่น หรือเว็บไซต์ได้ดี แต่ก็ขาดข้อมูลที่มากพอ ในขณะที่ สธ.มีข้อมูลมากในฐานะรัฐ แต่ไม่มีประสบการณ์ในการจัดการข้อมูลให้ดูง่าย เข้าใจง่ายสำหรับประชาชนทั่วไป การร่วมมือระหว่างรัฐ และเอกชน เพื่อทำเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น ที่ทั้งข้อมูลครบถ้วน และเข้าใจง่าย เริ่มขึ้นแล้ว แต่ยังล่าช้าไม่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม เราควรเร่งให้เกิดเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น รวบรวมข้อมูลที่เข้าใจง่าย และเที่ยงตรงเช่นนี้โดยเร็วที่สุด หากไทยเข้าสู่เฟส 3 จะได้สามารถรับมือสถานการณ์ และสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชนได้