เรื่องสั้น "นักเขียนสองเงา"

เรื่อง           นักเขียนสองเงา
เรื่องโดย     นัฐพันธ์
 
ฉันนอนหันข้าง ภายในห้องนอนอันเงียบสงัด บรรยากาศมันชวนให้วังเวงเป็นอย่างยิ่ง อยู่ๆน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลออกมา ความผิดพลาดในชีวิต และเรื่องราวต่างๆที่ประเดประดังเข้ามาภายในจิตใจ จนทำให้ฉันล้มระเน ด้วยความผิดหวังซ้ำซากจากคนที่รัก ผู้ชายคนนั้น คนที่ทำฉันต้องทุกข์ระทมกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ทุกคนเห็นฉันเป็นแค่คนนอกสายตา

                 หลังจากที่พ่อตายเมื่อตอนปี2541 หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้บ้านของฉันดูเงียบเหงาถนัดตา

พี่สาวพี่ชายแยกแต่งงานออกไป  น้องชายไปเรียนต่างจังหวัด ทำให้ทุกอย่างดูเงียบเหงาขึ้นไปอีก ฉันมีแต่แม่เพียงคนเดียวเท่านั้น  สองปีให้หลัง พี่ชายเป็นมะเร็งเสียชีวิต เขาทอดทิ้งลูกสาวเพียงคนเดียวโดยอดีตเมียรักเลิกรากันไปตั้งแต่ลูกสาวได้สองขวบ ตอนนี้ ยัยอี๊ดอายุห้าปีก็ต้องมาเสียพ่อไปอย่างรวดเร็ว ภาระหน้าที่ที่ฉันต้องเอาลูกพี่ชายมาเลี้ยง

                 ฉันอดทนเลี้ยงหลานสาว ที่ใครหลายคนมักบอกว่าฉันเป็นแม่เด็ก เพราะยัยอี๊ดหน้าตาเหมือนฉันราวกับแกะ แต่พูดไปว่าไม่ใช่ หลายคนก็ไม่เชื่อ ปลายปีที่ผ่านมา ยัยอี๊ดเรียนจบปริญญาตรี ด้วยน้ำพักน้ำแรงของฉันที่ส่งเสียเขาให้เติมโต ตอนนี้ยัยอี๊ดบินไปทำงานและมีความฝันที่จะเรียนต่อที่ต่างประเทศ 

                 ทุกอย่างในชีวิต เริ่มกลับมาวังวนเดิมๆอีกครั้ง แม่ของฉันตรวจพบมะเร็งเต้านม จนต้องทำการรักษา จากที่มันอยู่ด้านซ้าย ระยะเวลาเพียงสามเดือน มะเร็งลุกลามทั้งสองข้าง หมอแนะนำให้หยุดมะเร็งร้ายโดยการตัด ฉันต้องทำให้แม่กลับมามีชีวิตแบบเดิม ฉันร้องไห้แม้จะรู้ถึงความเจ็บปวดที่แม่ต้องรักษาโดยการให้คีโม แต่ฉันต้องทำ แม่รักษาอาการมะเร็งอยู่ต่อที่โรงพยาบาลอีกหกเดือน ก่อนที่จะจากไปอย่างสงบ พี่สาวเดินทางมาวันที่แม่จากไปทันพอดี ส่วนน้องชาย ยังคงติดภารกิจราชการไม่ทันมาดูใจแม่

                 ฉันร้องไห้จนพูดจากับใครไม่รู้เรื่อง วันงานศพของแม่ ฉันเอาแต่ร้องไห้อยู่ด้านหน้า ศพของแม่ตั้งสวดห้าวัน ก่อนที่จะถูกเผาลง  ฉันมองภาพแม่เข้าเตาเผาเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยน้ำตานองหน้า

                 บ้าน  หลังนี้ บัดนี้มีเหลือเพียงฉันเพียงคนเดียว ความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ก่อตัวขึ้นช้าๆ และมันก็เกาะกุมจนเกิดเป็นกำแพงก่อทึบอยู่รอบบ้าน ปิดกั้นให้ฉันต้องอยู่เพียงเดียวดายบนโลกใบนี้ ไม่มีแสงสว่างใดเลยแม้แต่น้อยที่จะส่องสว่างมาที่ฉัน ฉันเอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในบ้าน ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับใคร ทุกคนลงความเห็นว่าฉัน เป็นโรคซึมเศร้า

                 ฉันนั่งเขียน นิยายตามเดิม ที่ฉันทำเป็นประจำมากว่ายี่สิบปี ภายหลังออกจากงานมาเป็นนักเขียน พ่อแม่ ไม่ชอบใจที่ฉันลาออกจากธนาคาร เขาว่ามันโก้หรู ดูดีกว่าเป็นนักเขียนไส้แห้งเป็นไหนๆ แต่ฉันไม่ฟังความทัดทานของใคร แม้แต่พ่อก็ตาม ฉันหุนหันพลันแล่นมาเขียนนิยาย กว่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่ง่ายๆใช้เวลากว่าสามปีที่ลงมือเขียนส่ง บางเรื่องก็ได้ลงเป็นตอนๆ บางเรื่องก็ได้ลงถังขยะ
 
คืนหนึ่งที่ฉันต้องนั่งเขียนงานเพื่อรอส่ง บก. ในวันรุ่งขึ้น ฉันได้ยินเสียงเหมือนใครอยู่ในบ้าน ทั้งๆที่มีฉันแต่เพียงคนเดียว  พลันกระดาษที่ฉันนั่งลงมือเขียนก็ปลิวว่อนหมุนเป็นวงกลมและปลิวขึ้นสู่ด้านบน มันช่างน่าอัศจรรย์อะไรเยี่ยงนี้ ฉันยืนนิ่ง ก่อนที่ภาพชายผู้หนึ่งจะก้าวเดินออกมาจากลำแสงของพายุวงกลม ฉันยืนตะลึงกับเรื่องราวที่เห็น ฉับพลัน ร่างของฉันก็ล้มลง พร้อมกับผู้ชายคนนั้นโอบร่างของฉันเอาไว้

                 เราสองคนต่างรู้จักซึ่งกันและกันมาเป็นระยะเวลานาน เขาเป็นตัวละครในนิยายของฉันที่ฉันบรรจงแต่งแต้มเข้าขึ้นมา เขามีชีวิต ฉันไม่ได้คิดไปเอง สิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในภายในจิตใจแล้ว มันยากที่จะอธิบายให้ใครได้ยินจริงๆ

                 ค่ำคืนหนึ่ง ฉันนั่งเขียนงานตามเดิม วันนี้มีพายุลูกใหญ่ ผู้ชายคนนั้นนั่งมองฉันทำงาน ฉันมีความสุขเหลือเกิน ที่เวลานี้มีคนอยู่เคียงข้าง ไม่ได้อ้างว้างเดียวดายหรือโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว 

                 “ฉันขอบคุณคุณมากที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของฉัน”  ฉันพูดเสียงแผ่ว 

                 “ผมต้องขอบคุณคุณมากกว่าที่ทำให้ผมมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา”

                 “ถ้าไม่มีคุณฉันก็คงต้องเดียวดายอ้างว้าง”

                 “ต่อไปนี้ จะไม่มีใครมาพรากเราสองคนอีกแล้ว”  เขาเข้ามากระชับกอดฉันอย่างอบอุ่น เวลานี้ฉันไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว  ฉันมีเขา  มีคนที่รักอยู่เคียงข้าง
 
เสียงอะไรกุกกัก ดังอยู่ด้านนอกบ้าน ผ้าม่านภายในห้องทำงานชั้นล่างปลิวไปตามลม ฉันคงลืมปิดหน้าต่างเมื่อตอนเย็น ปกติแล้ว จะมีแมวของป้าข้างบ้านแอบเข้ามา และทำข้าวของเสียหาย ตอนแรกฉันไม่ทันคิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามา แต่แล้ว เสียงกุกกักนั้นเหมือนคนกำลังแงะอะไรอยู่ด้านนอก  ดีที่ฉันล็อกประตูอย่างแน่นหนา ฉันมองไปที่หน้าต่างหลังม่านคือด้านนอก แสงไฟนั้นทำให้ฉันมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งเดินอยู่ ฉันมองด้วยสายตาตระหนกคิดว่า โจร  เพราะเวลาค่ำเช่นนี้ จะมีใครเข้ามาในบริเวณบ้านคนอื่น  ไวเท่าความคิดที่มี ฉันเดินไปที่โต๊ะทำงาน เปิดลิ้นชัก และหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งขึ้นมามันดำมะเมื่อม  ปืน ฉันสอดกระสุนยัดลงไปก่อนจะยื่นไปที่มุมหนึ่งที่เห็นเงารางๆนั้น  เสียงเหมือนคนเอาอะไรมาแงะที่ประตูด้านหลังครัว ฉันไม่รอช้าเดินตามไป และจ่อไปที่ประตู ประตูถูกมันแงะจนออกอย่างง่ายดาย ก่อนที่จะผลักเข้ามา ฉันลั่นไกปืนพร้อมกับร่างของวายร้ายผู้บุกรุก  ล้มนอนกลิ้งที่พื้น เลือดแดงไหลที่หัว ความแม่นทำให้ลูกกระสุนเจอะที่หน้าผาก ฉันยืนมองร่างของมันอย่างสะใจ ก่อนที่ไม่นาน เสียงไซเรน และตำรวจก็มาถึง

 
“คนไข้ยังไม่ได้สติหรอกครับ เธอยังคงอยู่ในอารมณ์ที่ค้างอยู่ ดีนะครับที่เธอยิงปืนไปโดนแมว ถ้าโดนคนก็คงไม่รอด” เสียงหมอเอ่ยเบาๆ ร่างของหญิงสาวมองเข้าไปในห้อง เห็นร่างของอาของเธอที่นอนลืมตาเหมือนไม่ได้สติ ดวงตาเหม่อมลอย เดี๋ยวร้องเดี๋ยวยิ้ม

                 “ไม่มีทางรักษาเลยหรือคะคุณหมอ” เธอเอ่ยเรียบๆ

                 “คนไข้มีอาการทางจิต ชนิดหนึ่งเรียกว่าจิตหลงผิด (Delusional disorder) ผู้ป่วยจะมีอาการปกติแบบคนทั่วไป แต่ภายใต้จิตใจจะมีความกระวน สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม เกิดภาพหลอนเห็นภาพที่คนอื่นไม่เห็นทำให้ไม่สามารถแยกแยะความจริงกับความลวงได้  หูแว่ว  ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยินโดยปกติแล้วคนที่เป็นโรคชนิดนี้มักมีแรงกดดันทางครอบครัว สังคม และอารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องค่อยๆรักษานะครับ เพราะสิ่งที่ผู้ป่วยได้รับมาคือสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจตลอดหลายสิบปี “

                 “แต่อาอิน ไม่เคยมีอาการนั้นเลยนะคะหมอ”

                 “จากที่ผมพบประวัติคนไข้  คนไข้มีอาการที่เรียกว่าความเครียดสะสมมานาน รู้มั้ยครับว่า เธอเคยโพสเฟสบุค พูดเรื่องราวที่น้อยใจ หมดหวัง สิ้นหวัง ทดท้อ และอิจฉาอาฆาต   อาการเหล่านี้ มันฝังแน่นมาเป็นสิบๆปี มันไม่ได้เพิ่งเกิด”
เธอพยักหน้า

                 “มันจะมีทางรักษามั้ยคะ”

                  “เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่สามทางครับ  หนึ่งคือคนไข้เองจะยอมรับการรักษาหรือไม่  สองครอบครัวจะมีแรงต่อสู้และเดินไปด้วยกันกับคนไข้หรือไม่  สามคือยารักษาโรคที่ดีที่สุดคือคนรอบข้างและสังคมจะยอมรับสิ่งที่ผู้ป่วยเป็นได้หรือไม่”
เธอมองร่างของอา  ที่นอนเหม่อตาลอยออกไป เหมือนมองใครอยู่

            “เรายังมีทางรักษาคนไข้นะครับ อย่างที่หมอบอกครอบครัวและคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญที่จะต่อสู้กับโรคชนิดนี้การฟื้นฟูสภาพจิตใจ ได้แก่ การฝึกการเข้าสังคมการให้คำปรึกษา การทำจิตบำบัด เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตนเองและปัญหาของตนเองมากขึ้น และเรียนรู้ที่จะแยกแยะสิ่งที่เป็นจริง และไม่ใช่ความจริง ครอบครัวบำบัด มีวัตถุประสงค์หลายอย่าง เช่น ช่วยให้ครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับโรคและปัญหาเกี่ยวกับ โรคนี้ช่วยให้ครอบครัวเข้าใจวิถีทางที่จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการลดน้อยลง”

เธอพยักหน้ารับรู้ สองคนเฝ้ามองปฏิกิริยาของคนไข้  เหมือนกำลังคุยกับใครอยู่โดยที่ทั้งสองมองไม่เห็น
ภายในห้องผู้ป่วย  อินตรา เหม่อมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเธอตลอดระยะเวลาช่วงหนึ่ง เขามองหน้าเธอ เธอมองหน้าเขา

            “ฉันไม่สบาย เดี๋ยวฉันก็กลับบ้านได้แล้ว คุณต้องอยู่เฝ้าฉันนะคะ”

            “ผมอยู่ใกล้คุณตลอดอยู่แล้วที่รัก”

            “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่คุณไม่ทิ้งฉันไป เหมือนทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ทุกคนทอดทิ้งฉัน ทั้งพ่อ พี่สาว พี่ชาย น้องชาย หลานที่ฉันรัก แม่  และผู้ชาย  ทุกคนหนีออกไปจากชีวิตของฉันจนหมดสิ้น ทุกคนไม่มีใครรักฉันจริง  มีแต่คุณเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตของฉัน”
 
เสียงของอินดังอยู่ภายในห้อง เธอพูดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่หมอและหลานสาวมองไม่เห็น  น้ำตาไหลลงข้างแก้มของหลานสาวที่เห็นอาตัวเองพูดทุกอย่างออกมา  เธอรู้สึกผิด ที่ในวันที่เธอโดดเดี่ยวจากการขาดเสาหลักไป แต่มือของอายื่นเข้ามาเลี้ยงดูเธอจนเรียนจบ แต่ในวันหนึ่งเธอก็ตีตัวห่างคนที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กไป ทิ้งให้อาอยู่คนเดียว และความเดียวดายนั้นก็สร้างกำแพงขึ้นมา เธอเห็นเงาของอาสาวนั่งอยู่บนเตียง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างสนุกสนาน เธอร้องไห้ออกมา รู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ที่ความอ้างว้างมันสามารถฆ่าชีวิตหนึ่งให้ตายไปจากชีวิตจริงได้

                                                                                                   จบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่