จากสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้พบเจอกับการร่วงลงของดัชนี จนทำให้เกิดการ Circuit Breaker ติดต่อกันถึงสองวันทำการ นักลงทุนหลายท่านคงมีคำถามในใจกันมากมายทั้งเรื่องที่มันขึ้นได้อย่างไร ? ใครเป็นคนทำให้เกิดขึ้น และที่สำคัญมันจบแล้วหรือยัง ? โดยในฐานะที่พวกเราเป็นคนที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลบางอย่างมาโดยตลอด เราจึงอยากนำมาเสนอพร้อมกับแชร์มุมมองอีกมุมที่คิดว่า
มันได้ทำจุดต่ำสุดไว้แล้วในวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลดังนี้
ในทุกรอบที่ตลาดหุ้นจบขาลงใหญ่มักจะจบด้วยการ Panic เสมอ
นักลงทุนที่เข้ามาในตลาดช่วง 10 ปีหลังมานี้ คงมีความคิดคล้ายกับพวกเราที่ทุกครั้งเวลาเห็นตลาดเป็นขาลงมักรอลุ้นให้จบรอบ จนบางคนอาจสบถคำบางคำออกมาว่า “เมื่อไหร่จะ Panic ให้มันจบ ๆ ไปสักที” โดยการ Panic นี้เปรียบเสมือนการล้างหน้าไพ่เริ่มต้นกันใหม่ ซึ่งจากอดีตในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคยเกิดการ Panic ใหญ่ ๆ 2 ครั้ง ดังนี้
รูปแสดงการ Panic ของตลาดหุ้นไทน 2 ครั้งล่าสุดใน 10 ปีที่ผ่านมา (2557 และ 2559)
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2557 และปี 2559 ต่างก็มีเหตุการณ์ที่เหมือนกัน คือ ตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและมีอยู่วันหนึ่งที่ตลาดทุบแรงกว่าวันอื่น ๆ ที่เราเรียกกันว่า “อาการ Panic” จากนั้นก็ลากกลับคืนไปอย่างรวดเร็วในระหว่างวันจนทำให้วันนั้น
กลายเป็นจุดต่ำสุดของรอบ และในช่วงเวลาต่อมาตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเกินกว่า 200 จุดภายในเวลาไม่กี่เดือน นำพาสถานการณ์ปกติกลับคืนมาสู่ตลาดอีกครั้ง โดยปล่อยให้เวลาเป็นตัวเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บให้กับนักลงทุนที่เสียหายและเรื่องราวเหล่านี้ก็จางหายไปไม่ถูกพูดถึงอีกในสังคมการลงทุนอีก
แล้วเรื่องแบบนี้คือเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ ?
พวกท่านจะเชื่อเราไหม ถ้าเราบอกว่า
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด และเราขอยืนยันว่า มันเป็นเงื่อนไข“จำเป็น” ที่ต้องเกิดในทุก ๆ ครั้งที่ตลาดเป็นขาลง เพราะสาเหตุต้นตอมันมาจากการที่ธุรกรรมตัวหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญกับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลัง โดยธุรกรรมตัวนั้นก็คือ
“Block Trade”
พวกเราเป็นคนเริ่มต้นเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกรรม Block Trade และเราได้กล่าววลีหนึ่งไว้ด้วยความมั่นใจว่า
มันจะเป็นธุรกรรมที่เปลี่ยนโฉมของตลาดหุ้นไทยไปตลอดกาล ดังกระทู้
https://ppantip.com/topic/37751186 >> ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
โดยเนื้อหาในกระทู้นั้นได้บอกกับพวกท่านว่า Block Trade จะเป็นธุรกรรมสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไป เพราะมันเป็นการปล่อยให้นักลงทุนสามารถกู้เงินมาซื้อหุ้นได้เป็น 10-20 เท่าของเงินที่มี ทวีคูณกำลังซื้อยิ่งกว่าธุรกรรม Margin ในอดีตที่สามารถกู้เงินได้เพียงแค่ 2 เท่าเท่านั้น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ดังนั้นทุกคนคงพอคิดสภาพออกแล้วใช่ไหมครับ ว่าการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่เกินตัว (Overtrade) ในปริมาณมากขนาดนี้
ถ้าหุ้นตกผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ? โดยวันนี้เราขออาสามาเป็นล่ามในการบอกเล่าเคสประวัติศาสตร์นี้ให้กับทุกท่านได้รับรู้
เริ่มมาจากการสะสม Block Trade
ทุกคนจำได้ไหมครับ ? ว่าพวกเราเคยบอกให้ทุกคนจับตาพฤติกรรมค่าค่าหนึ่งไว้ตลอด ซึ่งเป็นค่าที่คอยส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในอันตราย โดยค่านั้นก็คือ
สถานะคงค้างของสัญญาของ Futures (Open Interest) เพราะนักลงทุนทุกท่านที่ใช้บริการธุรกรรม Block Trade ในการขยายอำนาจซื้อเพื่อเก็บหุ้น พวกเขาจะต้องทิ้ง “หลักฐาน” ตัวหนึ่งไว้เสมอ ซึ่งก็คือ OI ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าหุ้น/Futures แต่ละตัวมีคู่สัญญาคงค้างไว้ในระบบกี่คู่ และนั่นก็คือจำนวนของคนทำ Block Trade เอาไว้ ดังนั้น การสะสม Block Trade ข้อมูลทุกอย่างถูก Public ออกทุกสิ้นวันโดยรายงานที่
https://www.tfex.co.th/tfex/monthlyMarketSummary.html ดังรูป
รูปแสดงสถานะคงค้างของ Futures Product ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
สถานะคงค้างของ Block Trade สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายปีก่อน
จากรูปจะเห็นว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สถานะคงค้างของของธุรกรรม Block Trade มีค่าสูงถึง 3.7 ล้านสัญญาในช่วงเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมี (ในช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยยังอยู่เหนือระดับ 1600 จุด) ซึ่งโดยส่วนใหญ่นักลงทุนจะมีพฤติกรรมในถือฝั่งขา Long เป็นหลัก ดังนั้นจึงแปลความหมายได้ว่า
“มีนักลงทุนให้ความสนใจในการใช้ Block Trade เพื่อขยายอำนาจซื้อในการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากที่สุดในช่วงปลายปีก่อน”
ดังนั้น ลองมาวิเคราะห์สถานการณ์กันนะครับ ว่าระดับ OI กว่า 4 ล้านสัญญานี้มันมีความหมายอย่างไร โดยหากคิดมูลค่าสัญญาโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 20,000 บาท เทียบเท่ากับว่าสถานะคงค้างก้อนนี้มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 80,000 ล้าน (หรืออาจจะมากกว่า) โดยที่นักลงทุนใช้เงินลงทุนเพียง 10% หรือ 8,000 ล้านบาทในการลงวางเงินแปะเอาไว้ เท่ากับว่า ส่วนต่างที่เหลืออีกหลายหมื่นล้านบาทนั้นเป็นเพียง ความต้องการซื้อปลอม ๆ ที่โบรกเกอร์เขาควักเงินของตัวเองไปซื้อหุ้นแทนที่นักลงทุน ซึ่งพร้อมที่ขายออกมาทุกเมื่อเมื่อเงินที่เงิน 10% ของนักลงทุนนั้นสูญหายหมดไป ดังนั้น สภาพตลาดหุ้นคงไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งลูกใหญ่ ที่อัดแก๊สเข้าไปด้วย Demand ปลอม ๆ หลายหมื่นล้านบาท ซึ่งนี่คือโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยตลอดช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา
แล้วสถานการณ์แบบนี้จะคงอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน ?
อันที่จริงมันคงสามารถอยู่ได้ตราบนานเท่านาน เพราะแม้ว่าโครงสร้างฐานของตลาดหุ้นมันจะไม่แข็งแรงหรือบิดเบี้ยวไปอย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนพร้อมใจกันปิดตาหรือทำเป็นมองไม่เห็นลูกโป่งใบนี้มันก็คงสภาพเดิมของมันไปตลอด แต่พวกท่านคิดว่าหากถ้ามีคนที่เดินผ่านมา แล้วจ้องมองไปที่ลูกโป่งใบนี้แล้วเห็นว่าข้างในบรรจุเงินไว้มหาศาล มีหรือที่พวกเขาจะไม่หาอะไรมาทำลายมัน เพื่อกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และเรื่องราวก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ว่ามีคนบางกลุ่มที่เข้าใจเรื่องนี้ดีเหมือนกับพวกเรา แต่พวกเขามี Power ที่มากกว่า และรอคอยวันที่ลูกโป่งใบนี้สุกงอมพองตัวให้มากสุด (พวก Block Trade & Margin ที่เก็บหุ้นตอน Sideway) รอวันที่เปลือกผิวของลูกโป่งบอบบางที่สุด (ราคาหุ้นไม่สมเหตุสมผลกับสภาวะเศรษฐกิจ) จากนั้นรอเพียงแค่ Factor สุดท้าย … ที่จะเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนที่จ้องมองลูกโป่งใบนี้กระหน่ำแทงมันให้แตกยับ นั่นก็คือ “สภาวะตกใจ (panic) ของคนในตลาด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เรื่องที่เราจะเล่าต่อจากนี้ พวกท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้นะครับ โดยที่เรากล้าเล่าออกมาก็เพราะว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นไปแล้วจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใด … ในช่วง 2 ปีที่เราออกบทความไป ได้มีคนหลังไมค์มาคุยกับพวกเราเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่ก็พูดคุยและสอบถามในเรื่องวิธีการเล่น Block Trade ทั่วไป แต่เมื่อปลายปีที่แล้วประมาณเดือนตุลาคม (ช่วงที่เราออกบทความชุดเกี่ยวกับ Block Trade) ได้มีคนกลุ่มนึงติดต่อมาคุยกับเรา โดยคนกลุ่มนี้กลับเลือกเนื้อหาไปที่เรื่องของ “การวิเคราะห์การ Crash ของตลาด” โดยเปิดประเด็นด้วยประโยคง่าย ๆ ว่า “ผมเห็นลูกโป่งเหมือนกับพวกคุณ” จากนั้นบทสนทนากว่า 1 ชม.ที่ผ่านไปนั้นค่อนข้างเข้มข้น และแฝงไปด้วยข้อมูลที่เขามีมากกว่าเรา แต่สรุปโดยรวมแล้วเขามั่นใจมันต้องระเบิดในสักวันในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน โดยพวกเราต่างลงความเห็นตรงกันว่าทุกอย่างมันเอื้อไปหมดแล้ว รอแค่วันเดียว คือ “วันที่ตลาดหุ้นทั่วโลก Crash” (ในตอนนั้นพวกเราคุยกันไว้ที่ Dow Jone ลบ 200-400 จุดติด ๆ กัน โดยนึกไม่ถึงว่ามันจะไประดับวันละ 1000 – 2000 จุดได้)
พวกเราคิดว่าตลาดขาลงรอบนี้มันจบแล้ว <<แชร์ข้อมูลสำคัญที่ทุกท่านจำเป็นต้องเข้าใจ>>
ในทุกรอบที่ตลาดหุ้นจบขาลงใหญ่มักจะจบด้วยการ Panic เสมอ
นักลงทุนที่เข้ามาในตลาดช่วง 10 ปีหลังมานี้ คงมีความคิดคล้ายกับพวกเราที่ทุกครั้งเวลาเห็นตลาดเป็นขาลงมักรอลุ้นให้จบรอบ จนบางคนอาจสบถคำบางคำออกมาว่า “เมื่อไหร่จะ Panic ให้มันจบ ๆ ไปสักที” โดยการ Panic นี้เปรียบเสมือนการล้างหน้าไพ่เริ่มต้นกันใหม่ ซึ่งจากอดีตในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเคยเกิดการ Panic ใหญ่ ๆ 2 ครั้ง ดังนี้
รูปแสดงการ Panic ของตลาดหุ้นไทน 2 ครั้งล่าสุดใน 10 ปีที่ผ่านมา (2557 และ 2559)
ย้อนกลับไปในช่วงปลายปี 2557 และปี 2559 ต่างก็มีเหตุการณ์ที่เหมือนกัน คือ ตลาดปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและมีอยู่วันหนึ่งที่ตลาดทุบแรงกว่าวันอื่น ๆ ที่เราเรียกกันว่า “อาการ Panic” จากนั้นก็ลากกลับคืนไปอย่างรวดเร็วในระหว่างวันจนทำให้วันนั้นกลายเป็นจุดต่ำสุดของรอบ และในช่วงเวลาต่อมาตลาดหุ้นสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเกินกว่า 200 จุดภายในเวลาไม่กี่เดือน นำพาสถานการณ์ปกติกลับคืนมาสู่ตลาดอีกครั้ง โดยปล่อยให้เวลาเป็นตัวเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บให้กับนักลงทุนที่เสียหายและเรื่องราวเหล่านี้ก็จางหายไปไม่ถูกพูดถึงอีกในสังคมการลงทุนอีก
แล้วเรื่องแบบนี้คือเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือ ?
พวกท่านจะเชื่อเราไหม ถ้าเราบอกว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด และเราขอยืนยันว่า มันเป็นเงื่อนไข“จำเป็น” ที่ต้องเกิดในทุก ๆ ครั้งที่ตลาดเป็นขาลง เพราะสาเหตุต้นตอมันมาจากการที่ธุรกรรมตัวหนึ่งที่เข้ามามีบทบาทสำคัญกับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลัง โดยธุรกรรมตัวนั้นก็คือ “Block Trade”
พวกเราเป็นคนเริ่มต้นเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกรรม Block Trade และเราได้กล่าววลีหนึ่งไว้ด้วยความมั่นใจว่า มันจะเป็นธุรกรรมที่เปลี่ยนโฉมของตลาดหุ้นไทยไปตลอดกาล ดังกระทู้
https://ppantip.com/topic/37751186 >> ผมคิดว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปแล้ว (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)
โดยเนื้อหาในกระทู้นั้นได้บอกกับพวกท่านว่า Block Trade จะเป็นธุรกรรมสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไป เพราะมันเป็นการปล่อยให้นักลงทุนสามารถกู้เงินมาซื้อหุ้นได้เป็น 10-20 เท่าของเงินที่มี ทวีคูณกำลังซื้อยิ่งกว่าธุรกรรม Margin ในอดีตที่สามารถกู้เงินได้เพียงแค่ 2 เท่าเท่านั้น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกเขาทำกัน ดังนั้นทุกคนคงพอคิดสภาพออกแล้วใช่ไหมครับ ว่าการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่เกินตัว (Overtrade) ในปริมาณมากขนาดนี้ ถ้าหุ้นตกผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ? โดยวันนี้เราขออาสามาเป็นล่ามในการบอกเล่าเคสประวัติศาสตร์นี้ให้กับทุกท่านได้รับรู้
เริ่มมาจากการสะสม Block Trade
ทุกคนจำได้ไหมครับ ? ว่าพวกเราเคยบอกให้ทุกคนจับตาพฤติกรรมค่าค่าหนึ่งไว้ตลอด ซึ่งเป็นค่าที่คอยส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในอันตราย โดยค่านั้นก็คือ สถานะคงค้างของสัญญาของ Futures (Open Interest) เพราะนักลงทุนทุกท่านที่ใช้บริการธุรกรรม Block Trade ในการขยายอำนาจซื้อเพื่อเก็บหุ้น พวกเขาจะต้องทิ้ง “หลักฐาน” ตัวหนึ่งไว้เสมอ ซึ่งก็คือ OI ที่เป็นตัวบ่งบอกว่าหุ้น/Futures แต่ละตัวมีคู่สัญญาคงค้างไว้ในระบบกี่คู่ และนั่นก็คือจำนวนของคนทำ Block Trade เอาไว้ ดังนั้น การสะสม Block Trade ข้อมูลทุกอย่างถูก Public ออกทุกสิ้นวันโดยรายงานที่ https://www.tfex.co.th/tfex/monthlyMarketSummary.html ดังรูป
รูปแสดงสถานะคงค้างของ Futures Product ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
สถานะคงค้างของ Block Trade สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปลายปีก่อน
จากรูปจะเห็นว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สถานะคงค้างของของธุรกรรม Block Trade มีค่าสูงถึง 3.7 ล้านสัญญาในช่วงเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมี (ในช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยยังอยู่เหนือระดับ 1600 จุด) ซึ่งโดยส่วนใหญ่นักลงทุนจะมีพฤติกรรมในถือฝั่งขา Long เป็นหลัก ดังนั้นจึงแปลความหมายได้ว่า “มีนักลงทุนให้ความสนใจในการใช้ Block Trade เพื่อขยายอำนาจซื้อในการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากที่สุดในช่วงปลายปีก่อน”
ดังนั้น ลองมาวิเคราะห์สถานการณ์กันนะครับ ว่าระดับ OI กว่า 4 ล้านสัญญานี้มันมีความหมายอย่างไร โดยหากคิดมูลค่าสัญญาโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 20,000 บาท เทียบเท่ากับว่าสถานะคงค้างก้อนนี้มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 80,000 ล้าน (หรืออาจจะมากกว่า) โดยที่นักลงทุนใช้เงินลงทุนเพียง 10% หรือ 8,000 ล้านบาทในการลงวางเงินแปะเอาไว้ เท่ากับว่า ส่วนต่างที่เหลืออีกหลายหมื่นล้านบาทนั้นเป็นเพียง ความต้องการซื้อปลอม ๆ ที่โบรกเกอร์เขาควักเงินของตัวเองไปซื้อหุ้นแทนที่นักลงทุน ซึ่งพร้อมที่ขายออกมาทุกเมื่อเมื่อเงินที่เงิน 10% ของนักลงทุนนั้นสูญหายหมดไป ดังนั้น สภาพตลาดหุ้นคงไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งลูกใหญ่ ที่อัดแก๊สเข้าไปด้วย Demand ปลอม ๆ หลายหมื่นล้านบาท ซึ่งนี่คือโครงสร้างของตลาดหุ้นไทยตลอดช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา
แล้วสถานการณ์แบบนี้จะคงอยู่ต่อไปได้นานแค่ไหน ?
อันที่จริงมันคงสามารถอยู่ได้ตราบนานเท่านาน เพราะแม้ว่าโครงสร้างฐานของตลาดหุ้นมันจะไม่แข็งแรงหรือบิดเบี้ยวไปอย่างไรก็ตาม ถ้าทุกคนพร้อมใจกันปิดตาหรือทำเป็นมองไม่เห็นลูกโป่งใบนี้มันก็คงสภาพเดิมของมันไปตลอด แต่พวกท่านคิดว่าหากถ้ามีคนที่เดินผ่านมา แล้วจ้องมองไปที่ลูกโป่งใบนี้แล้วเห็นว่าข้างในบรรจุเงินไว้มหาศาล มีหรือที่พวกเขาจะไม่หาอะไรมาทำลายมัน เพื่อกอบโกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และเรื่องราวก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ว่ามีคนบางกลุ่มที่เข้าใจเรื่องนี้ดีเหมือนกับพวกเรา แต่พวกเขามี Power ที่มากกว่า และรอคอยวันที่ลูกโป่งใบนี้สุกงอมพองตัวให้มากสุด (พวก Block Trade & Margin ที่เก็บหุ้นตอน Sideway) รอวันที่เปลือกผิวของลูกโป่งบอบบางที่สุด (ราคาหุ้นไม่สมเหตุสมผลกับสภาวะเศรษฐกิจ) จากนั้นรอเพียงแค่ Factor สุดท้าย … ที่จะเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนที่จ้องมองลูกโป่งใบนี้กระหน่ำแทงมันให้แตกยับ นั่นก็คือ “สภาวะตกใจ (panic) ของคนในตลาด”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้