***เนื่องจากมีความเห็นแนะนำเรามาว่า สิ่งที่เรานำเสมอนั้นมีโอกาสก่อให้เกิดการ Mislead เราจึงขอเพิ่มเติมข้อมูลให้ทุกอย่างถูกมองอย่างถูกต้องมากที่สุด โดยใช้พื้นที่นี้แก้ไขให้ทุกคนเห็นโดยทั่วกัน ในประเด็นที่มองว่า 3 ล้านสัญญา จะเป็นจุดที่ต้องพิจารณา โดยเทียบเคียงกับ Case ในอดีตที่เกิดขึ้นทั้ง 2 Case เพราะในความจริงแล้ว การมองอยู่ในรูปสัญญานั่นอาจไม่ถูกต้องตามหลักการ เนื่องจาก 3 ล้านสัญญาที่เกิดขึ้นมีการกระจายตัวการ Stock Futures แตกต่างกัน ดังนั้น ขอให้ทุกคนพิจารณาเพิ่มเติมโดยการทำเป็น Value ด้วยนะครับ โดยเรามีข้อมูลมาให้ว่า ในตอนนั้น 3 ล้านสัญญาที่เกิดขึ้น มี Value มีค่าสูงถึง 5 หมื่นล้าน ส่วนปัจจุบัน 3 ล้านสัญญายังมี Value แค่ประมาณ 4 หมื่นล้านเท่านั้น จึงอาจมีน้ำหนักที่เบากว่า พวกเราขออภัยในความไม่รอบคอบตรงจุดด้วยนะครับ ขอบคุณครับ***
สำหรับนักลงทุนท่านใดที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้แล้วมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวไม่น่าเกี่ยวกับตัวเอง เราอยากให้ท่านลองอ่านให้จบ เพราะมั่นใจว่า “มันมีผลกระทบต่อทุกคนอย่างแน่นอน” โดยอาจกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคตอันใกล้ รวมถึง “ตลอดไป” ต่อจากนี้
พวกเราเชื่อว่านักลงทุนหลายคนคงทราบถึงอิทธิฤทธิ์ของ Block Trade กันมาบ้างแล้ว จาก Case ในอดีตที่ผ่าน ๆ มา ว่ามันสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นได้มากแค่ไหน แต่พอเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดเหล่านั้นเริ่มจางหาย ก็ทำให้สังคมลืมเลือนมันไปบ้าง แต่พวกเราในฐานะของคนที่เก็บข้อมูลและคอยทำหน้าที่ Update ให้กับทุกคน จึงเฝ้าจับตามาโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันกำลัง “สุกงอม” และใกล้ได้เวลาเก็บเกี่ยวอีกครั้ง เลยนำมาบอกเล่าผ่านบทความนี้
รูปแสดงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET กับสถานะคงค้างของ Block Trade ในช่วงเดือน ก.ย.63 - มิ.ย.64
OI ของ Block Trade กลับมาแตะ 3 ล้านสัญญาอีกครั้ง (4 หมื่นล้านบาท)
ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
Block Trade เป็น 1 ในเครื่องมือสำคัญที่ช่วย “ทุ่นแรง” ในการทำราคา โดยสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของกราฟทั้งสอง และในอาทิตย์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ทำ New High ใหม่ในรอบปีบริเวณ 1640 จุด สอดคล้องกับยอด Block Trade ที่มีสถานะคงค้าง (Open Interest) สูงสุดใหม่ที่ระดับ 3 ล้านสัญญา หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 40,000 ล้านบาท (รายละเอียดดังรูปด้านล่าง) แล้วตัวเลขนี้มันมีนัยสำคัญยังไง เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบกันจากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
รูปแสดงจำนวนสัญญาและมูลค่าสะสมของ Block Trade ใน Stock Futures แต่ละตัว
สำหรับใครที่ไม่เข้าใจ Block Trade ลองอ่านสรุปได้ใน Spoil
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ธุรกรรม Block Trade เป็น 1 ในการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินให้ตอบโจทย์นักลงทุน(เก็งกำไร) โดยเป็นการที่นักลงทุนสามารถใช้ให้ Broker นำเงินไปซื้อหุ้นตามปริมาณ&ราคาที่ตนเองต้องการ จากนั้นก็อาศัยผลิตภัณฑ์ Stock Futures ถือเพื่อรับรู้กำไร/ขาดทุนแทน แล้วคำถามคือ ทำไมพวกเขาไม่ซื้อหุ้นด้วยตัวเองไปเลย ? คำตอบคือ “การทำแบบนี้มันทำให้พวกเขาซื้อหุ้นได้มากขึ้นเป็น 10 เท่าด้วยเงินเท่าเดิม” เพราะด้วยคุณสมบัติของ Product Futures ที่ใช้เงินลงทุนในลักษณะการวางประกันเพียงแค่ประมาณ 10% ของมูลค่า จึงทำให้จากเดิมนักลงทุนที่มีเงิน 1 ล้านบาท เคยซื้อหุ้นได้ 1 ล้านบาท กลับกลายเป็นการนำเงิน 1 ล้านบาทนั้นมาใช้เป็นเงินวางประกัน Stock Futures และบังคับให้ Broker ไปซื้อหุ้นได้ถึง 10 ล้านบาท ! โดยผลของธุรกรรม Block Trade นี้มันจะไปคล้ายการเล่นหุ้นแบบ Margin (บัญชีกู้ยืม) เพียงแต่ในกรณีของ Block Trade จะรุนแรงกว่าตรงที่ Margin จะยืมเงินโบรกมาซื้อหุ้นได้ประมาณ 2 เท่า แต่ Block Trade นั้นจะยืมได้สูงสุดถึง 10-20 เท่า (ขึ้นอยู่กับเงินวางประกันของ Stock Futures แต่ละตัว) เราจึงขอแสลงเรียกมันว่า “Super Margin”
รูปแสดงตัวเลขสถานะคงค้างของ Block Trade รายเดือนตั้งแต่ มิ.ย. 62 - ต.ค. 63 และรายวันของมิ.ย.61
Block Trade เคยทำจุดสูงสุดที่ 3 ล้านสัญญา 2 ครั้งในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ทุกท่านจำช่วงก่อน Covid-19 ได้ไหมครับ (ปลายปี 62) โดยในตอนนั้นตลาดหุ้นไทยยังเล่นกันอยู่เหนือบริเวณ 1,600 จุด และทุกคนต่างก็เชียร์ว่าตลาดหุ้นไทยจะไป 1,800 จุดได้ (คุ้น ๆ กันไหมครับ) โดยในช่วงนั้นยอดของ Block Trade ก็มีสถานะคงค้างอยู่ที่ 3.2 ล้านสัญญา (กรอบสีแดงในรูปที่ 1) จนกระทั่งพอเกิดวิกฤตโควิด ที่แม้ในตอนนั้นจะยังไม่ระบาดในไทย แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง “มากกว่า” ค่าเฉลี่ยของโลก สร้างความงุนงงให้กับนักลงทุนทั่วทั้งประเทศ ซึ่ง 1 ในสาเหตุสำคัญนี้มันเกิดจาก
“การถล่มทลายของ Block Trade” โดยจะเห็นว่า OI จาก 3.2 ล้านสัญญาในวันนั้น ปรับตัวลดลงมาเหลือเพียงแค่ 1 ล้านสัญญาในอีก 6 เดือนถัดมา (เม.ย.63) โดยหายไปกว่า 2.2 ล้านสัญญาหรือคิดเป็น 70% และหากพิจารณาในอดีต ก็พบว่าเมื่อปี 61 (รูปที่ 2) ก็เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ ที่ Block Trade ระเบิดที่บริเวณ 3.2 ล้านสัญญาหายไปเหลือเพียง 2 ล้านสัญญาในเวลา 1 เดือน รวมถึงรอบอื่น ๆ ในช่วงก่อนหน้า (ถ้าอยากรู้รายละเอียดลองหากระทู้เก่า ๆ ของเราอ่านดูนะครับ)
แล้วทำไม/อะไรถึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ?
หากทุกท่านกำลังเห็นลูกโป่งใบหนึ่งที่บรรจุเงินค่อย ๆ พองตัวขึ้นเรื่อย ๆ พวกท่านจะทำอย่างไรครับ ? และนี้คงเป็นทั้งคำถามและคำตอบไปในตัว โดยปัจจุบันมีเครื่องมือทางการเงินอย่าง TFEX,DW ที่ใช้ในการ “ทำกำไรขาลง” มีหรือที่คนบางกลุ่มจะไม่เฝ้ารอ(จงใจทำ)ให้เกิดเหตุการณ์นี้ เพียงแต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโครงสร้างอาจแข็งแรงเกินกว่าคนเพียงคนเดียวจะสามารถทำให้มันระเบิดออก ดังนั้นพวกเขาจึงก็เฝ้ารอเพียง “จังหวะ” ที่จะเป็น Signal ให้ทุกคนเจาะมันพร้อม ๆ กัน แล้ว Signal นั้นจะเป็นอะไร … สถานการณ์ Covid ? สภาพเศรษฐกิจของประเทศ ? เรามองว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างก็รับรู้+สะท้อนทุกอย่างลงในราคาที่ผ่านมาหมดแล้ว โดยจากความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว ปัจจัยที่เรา Focus และมองว่ามันจะทำให้นักลงทุนตกใจพร้อมกันทั้งตลาดได้ คือ …
การ crash ของตลาดหุ้นต่างประเทศ
จริงอยู่ที่ว่าตลาดหุ้นต่างประเทศบางครั้งมันแทบไม่มีความเกี่ยวข้องทางพื้นฐานของกับตลาดหุ้นไทยเลย อย่างในกรณีที่ตลาดหุ้นสหรัฐ (Dow Jones) ปรับตัวทำ New High อย่างต่อเนื่อง SET ไทยก็ไม่ได้วิ่งขึ้นตาม แต่พวกท่านสังเกตหรือไม่ ? ว่าเมื่อเวลามีการ Panic ครั้งใหญ่ ประเทศไทยมักจะตกใจตามเขาเสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยอมรับว่า ตลาดทุนในปัจจุบันมันมีความเป็น Money game ควบคู่กันไป โดยแม้บางปัจจัยมันอาจจะดู Non sense แต่ถ้าคนบางกลุ่มที่มีอำนาจเงินที่มากกว่า เขาจะใช้เรื่องเหล่านั้นเป็นเหตุผลในการทำ/ทุบราคา สุดท้ายมันก็ให้ผลลัพธ์ไปในทางที่เราไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ ก็เท่านั้นเอง
รูปแสดงผลกระทบแบบ Domino Effect เมื่อธุรกรรม Block Trade เกิดการระเบิด
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากถ้า Block Trade เกิดการระเบิด ?
“ตลาดหุ้นจะ Panic อย่างรวดเร็วในระยะสั้น” โดยเริ่มมาจากนักลงทุนที่เปิด Long Block Trade เอาไว้คนหลัง ๆ จะมีต้นทุนที่สูง ดังนั้น เมื่อราคาตลาดปรับตัวลดลง ย่อมส่งผลให้คนพวกนี้ขาดทุน และต้องอย่าลืมว่าการเล่น Block Trade เป็นการเพิ่มอำนาจซื้อที่เหมือนดาบ 2 คม ที่พร้อมจะหันกลับมาทิ่มแทงตัวเอง เช่น เมื่อหุ้นปรับตัวลดลง 5% ก็จะทำให้นักลงทุนคนนั้นขาดทุนเพิ่มอีก 10 เท่าเป็น 50% ด้วย และตามกฎของตลาด TFEX คือ เมื่อใครเหลือเงินต่ำกว่าเส้นใต้ (70% ของเงินวางประกันที่กำหนด) ก็จะถูกเรียกให้หาเงินมาเติมเข้ามาพอร์ตภายในเวลา 1 วัน และถ้าหากหามาเติมไม่ทันก็จะถูกบังคับปิดสถานะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายนักลงทุนคนั้นก็จะถูกดีดออกจากตลาดไปในที่สุด
หากถ้าผลกระทบมันจบแค่นี้ก็คงดี
แต่มันไม่ใช่เลย เพราะ Effect จากธุรกรรม Block Trade ดันมีมากกว่านั้น พวกท่านยังจำกันได้ใช่ไหม ว่าธุรกรรมนี้ในตอนแรก Broker ต้องไปทำการซื้อหุ้นเก็บไว้ตามมูลค่าที่นักลงทุนสั่ง ดังนั้น เมื่อคนพวกนี้ถูกบังคับปิดสถานะ
โบรกเกอร์ก็จะต้องขนหุ้นทั้งหมดออกไปขายด้วย ซึ่งการขายหุ้นนี้มันก็จะยิ่งไปกดให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง และไปกระทบต่อนักลงทุนคนอื่นที่เริ่มหน้าเขียวกับการทนขาดทุนมาก่อนหน้า จนต้องถูกบังคับปิดสถานะต่อ ๆ ไปกันเป็นทอด ๆ หรือที่เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “Domino Effect” (อย่างในรูป) และนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกครั้งที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงถึงมักเกิดเหตุการณ์ลงลิฟต์ เพราะมันมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในตลาด
Block Trade 3,000,000 สัญญา ชี้ชะตาตลาดหุ้นไทย ❗
สำหรับนักลงทุนท่านใดที่ผ่านมาเห็นกระทู้นี้แล้วมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัวไม่น่าเกี่ยวกับตัวเอง เราอยากให้ท่านลองอ่านให้จบ เพราะมั่นใจว่า “มันมีผลกระทบต่อทุกคนอย่างแน่นอน” โดยอาจกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคตอันใกล้ รวมถึง “ตลอดไป” ต่อจากนี้
พวกเราเชื่อว่านักลงทุนหลายคนคงทราบถึงอิทธิฤทธิ์ของ Block Trade กันมาบ้างแล้ว จาก Case ในอดีตที่ผ่าน ๆ มา ว่ามันสามารถสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นได้มากแค่ไหน แต่พอเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดเหล่านั้นเริ่มจางหาย ก็ทำให้สังคมลืมเลือนมันไปบ้าง แต่พวกเราในฐานะของคนที่เก็บข้อมูลและคอยทำหน้าที่ Update ให้กับทุกคน จึงเฝ้าจับตามาโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่เรารู้สึกว่าเรื่องนี้มันกำลัง “สุกงอม” และใกล้ได้เวลาเก็บเกี่ยวอีกครั้ง เลยนำมาบอกเล่าผ่านบทความนี้
รูปแสดงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET กับสถานะคงค้างของ Block Trade ในช่วงเดือน ก.ย.63 - มิ.ย.64
OI ของ Block Trade กลับมาแตะ 3 ล้านสัญญาอีกครั้ง (4 หมื่นล้านบาท)
ในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Block Trade เป็น 1 ในเครื่องมือสำคัญที่ช่วย “ทุ่นแรง” ในการทำราคา โดยสังเกตได้จากการเคลื่อนไหวที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของกราฟทั้งสอง และในอาทิตย์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ทำ New High ใหม่ในรอบปีบริเวณ 1640 จุด สอดคล้องกับยอด Block Trade ที่มีสถานะคงค้าง (Open Interest) สูงสุดใหม่ที่ระดับ 3 ล้านสัญญา หรือคิดเป็นมูลค่าสูงถึงกว่า 40,000 ล้านบาท (รายละเอียดดังรูปด้านล่าง) แล้วตัวเลขนี้มันมีนัยสำคัญยังไง เราจะพาทุกท่านมาหาคำตอบกันจากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
รูปแสดงจำนวนสัญญาและมูลค่าสะสมของ Block Trade ใน Stock Futures แต่ละตัว
สำหรับใครที่ไม่เข้าใจ Block Trade ลองอ่านสรุปได้ใน Spoil
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รูปแสดงตัวเลขสถานะคงค้างของ Block Trade รายเดือนตั้งแต่ มิ.ย. 62 - ต.ค. 63 และรายวันของมิ.ย.61
Block Trade เคยทำจุดสูงสุดที่ 3 ล้านสัญญา 2 ครั้งในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
ทุกท่านจำช่วงก่อน Covid-19 ได้ไหมครับ (ปลายปี 62) โดยในตอนนั้นตลาดหุ้นไทยยังเล่นกันอยู่เหนือบริเวณ 1,600 จุด และทุกคนต่างก็เชียร์ว่าตลาดหุ้นไทยจะไป 1,800 จุดได้ (คุ้น ๆ กันไหมครับ) โดยในช่วงนั้นยอดของ Block Trade ก็มีสถานะคงค้างอยู่ที่ 3.2 ล้านสัญญา (กรอบสีแดงในรูปที่ 1) จนกระทั่งพอเกิดวิกฤตโควิด ที่แม้ในตอนนั้นจะยังไม่ระบาดในไทย แต่ก็ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง “มากกว่า” ค่าเฉลี่ยของโลก สร้างความงุนงงให้กับนักลงทุนทั่วทั้งประเทศ ซึ่ง 1 ในสาเหตุสำคัญนี้มันเกิดจาก “การถล่มทลายของ Block Trade” โดยจะเห็นว่า OI จาก 3.2 ล้านสัญญาในวันนั้น ปรับตัวลดลงมาเหลือเพียงแค่ 1 ล้านสัญญาในอีก 6 เดือนถัดมา (เม.ย.63) โดยหายไปกว่า 2.2 ล้านสัญญาหรือคิดเป็น 70% และหากพิจารณาในอดีต ก็พบว่าเมื่อปี 61 (รูปที่ 2) ก็เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ ที่ Block Trade ระเบิดที่บริเวณ 3.2 ล้านสัญญาหายไปเหลือเพียง 2 ล้านสัญญาในเวลา 1 เดือน รวมถึงรอบอื่น ๆ ในช่วงก่อนหน้า (ถ้าอยากรู้รายละเอียดลองหากระทู้เก่า ๆ ของเราอ่านดูนะครับ)
แล้วทำไม/อะไรถึงทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ?
หากทุกท่านกำลังเห็นลูกโป่งใบหนึ่งที่บรรจุเงินค่อย ๆ พองตัวขึ้นเรื่อย ๆ พวกท่านจะทำอย่างไรครับ ? และนี้คงเป็นทั้งคำถามและคำตอบไปในตัว โดยปัจจุบันมีเครื่องมือทางการเงินอย่าง TFEX,DW ที่ใช้ในการ “ทำกำไรขาลง” มีหรือที่คนบางกลุ่มจะไม่เฝ้ารอ(จงใจทำ)ให้เกิดเหตุการณ์นี้ เพียงแต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโครงสร้างอาจแข็งแรงเกินกว่าคนเพียงคนเดียวจะสามารถทำให้มันระเบิดออก ดังนั้นพวกเขาจึงก็เฝ้ารอเพียง “จังหวะ” ที่จะเป็น Signal ให้ทุกคนเจาะมันพร้อม ๆ กัน แล้ว Signal นั้นจะเป็นอะไร … สถานการณ์ Covid ? สภาพเศรษฐกิจของประเทศ ? เรามองว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างก็รับรู้+สะท้อนทุกอย่างลงในราคาที่ผ่านมาหมดแล้ว โดยจากความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว ปัจจัยที่เรา Focus และมองว่ามันจะทำให้นักลงทุนตกใจพร้อมกันทั้งตลาดได้ คือ …
การ crash ของตลาดหุ้นต่างประเทศ
จริงอยู่ที่ว่าตลาดหุ้นต่างประเทศบางครั้งมันแทบไม่มีความเกี่ยวข้องทางพื้นฐานของกับตลาดหุ้นไทยเลย อย่างในกรณีที่ตลาดหุ้นสหรัฐ (Dow Jones) ปรับตัวทำ New High อย่างต่อเนื่อง SET ไทยก็ไม่ได้วิ่งขึ้นตาม แต่พวกท่านสังเกตหรือไม่ ? ว่าเมื่อเวลามีการ Panic ครั้งใหญ่ ประเทศไทยมักจะตกใจตามเขาเสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยอมรับว่า ตลาดทุนในปัจจุบันมันมีความเป็น Money game ควบคู่กันไป โดยแม้บางปัจจัยมันอาจจะดู Non sense แต่ถ้าคนบางกลุ่มที่มีอำนาจเงินที่มากกว่า เขาจะใช้เรื่องเหล่านั้นเป็นเหตุผลในการทำ/ทุบราคา สุดท้ายมันก็ให้ผลลัพธ์ไปในทางที่เราไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ ก็เท่านั้นเอง
รูปแสดงผลกระทบแบบ Domino Effect เมื่อธุรกรรม Block Trade เกิดการระเบิด
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากถ้า Block Trade เกิดการระเบิด ?
“ตลาดหุ้นจะ Panic อย่างรวดเร็วในระยะสั้น” โดยเริ่มมาจากนักลงทุนที่เปิด Long Block Trade เอาไว้คนหลัง ๆ จะมีต้นทุนที่สูง ดังนั้น เมื่อราคาตลาดปรับตัวลดลง ย่อมส่งผลให้คนพวกนี้ขาดทุน และต้องอย่าลืมว่าการเล่น Block Trade เป็นการเพิ่มอำนาจซื้อที่เหมือนดาบ 2 คม ที่พร้อมจะหันกลับมาทิ่มแทงตัวเอง เช่น เมื่อหุ้นปรับตัวลดลง 5% ก็จะทำให้นักลงทุนคนนั้นขาดทุนเพิ่มอีก 10 เท่าเป็น 50% ด้วย และตามกฎของตลาด TFEX คือ เมื่อใครเหลือเงินต่ำกว่าเส้นใต้ (70% ของเงินวางประกันที่กำหนด) ก็จะถูกเรียกให้หาเงินมาเติมเข้ามาพอร์ตภายในเวลา 1 วัน และถ้าหากหามาเติมไม่ทันก็จะถูกบังคับปิดสถานะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายนักลงทุนคนั้นก็จะถูกดีดออกจากตลาดไปในที่สุด
หากถ้าผลกระทบมันจบแค่นี้ก็คงดี
แต่มันไม่ใช่เลย เพราะ Effect จากธุรกรรม Block Trade ดันมีมากกว่านั้น พวกท่านยังจำกันได้ใช่ไหม ว่าธุรกรรมนี้ในตอนแรก Broker ต้องไปทำการซื้อหุ้นเก็บไว้ตามมูลค่าที่นักลงทุนสั่ง ดังนั้น เมื่อคนพวกนี้ถูกบังคับปิดสถานะ โบรกเกอร์ก็จะต้องขนหุ้นทั้งหมดออกไปขายด้วย ซึ่งการขายหุ้นนี้มันก็จะยิ่งไปกดให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง และไปกระทบต่อนักลงทุนคนอื่นที่เริ่มหน้าเขียวกับการทนขาดทุนมาก่อนหน้า จนต้องถูกบังคับปิดสถานะต่อ ๆ ไปกันเป็นทอด ๆ หรือที่เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “Domino Effect” (อย่างในรูป) และนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกครั้งที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงถึงมักเกิดเหตุการณ์ลงลิฟต์ เพราะมันมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นในตลาด