สวัสดีค่ะ ตั้งเป็นกระทู้คำถามเพราะยังไม่ได้ยืนยันตัวตนกับพันทิปค่ะ
ปกติเราจะเป็นคนนั่งอ่าน อยู่ดีๆเหตุการณ์นี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ความหลอนที่สิงคโปร์บ้าง ยาวหน่อยนะคะ
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ 13ปีก่อน เรากับเพื่อนอีกคนนึง (สมมติว่าชื่อแพร) คุยกันว่าจะไปเที่ยวสิงคโปร์ช่วงปิดเทอมค่ะ พอดีพวกเรามีเพื่อนทำงานเป็นนักร้องที่คลับที่สิงคโปร์ (สมมมติว่าชื่อลี่) ลี่เลยบอกว่าเดี๋ยวจะลองคุยกับหัวหน้าวงให้ว่าขอให้เพื่อนมาพักด้วยได้มั้ย (วงที่ลี่ไปร้องเพลงด้วยก็เป็นวงคนไทยค่ะ) สรุปหัวหน้าวงอนุญาติเราจึงตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่สิงคโปร์เป็นเวลาสองอาทิตย์
เมื่อเราไปถึงสิงคโปร์ ลี่ก็มารับพวกเราที่สนามบินค่ะ นั่งแท็กซี่ไปที่คอนโดแถวๆเกลั๊ง (จำไม่ได้เป๊ะว่าแถวไหน แต่จำได้ว่าถ้าไปกินข้าวแถวเกลั๊งคืออยู่ไม่ไกลมากจากที่พัก นั่งรถแป๊บเดียว) ขอพูดถึงลักษณะคอนโดก่อนนะคะ คอนโดจะมีสองฝั่ง รูปล่างคล้ายตัว U หันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางระหว่างตึกทั้งสองฝั่งจะเปิดโล่ง (คล้ายๆหอพักที่บ้านเราเนี่ยค่ะ) คอนโดนี้จะมี 4 ห้องนอน พอเปิดประตูเข้ามาจะเจอโซนนั่งเล่นอยู่ตรงกลางห้องเลย มองตรงไปอีกจะมีห้องนอน 2 ห้องซึ่งพวกพี่นักดนตรีจะนอนกันที่ห้องนี้ ถัดมาทางซ้ายจะมี 1 ห้องนอนใหญ่ (ซึ่งเราจำไม่ได้ว่ามีห้องน้ำในตัวมั้ย) ซึ่งเป็นห้องนอนของสองผัวเมียหัวหน้าวง ถัดมาทางซ้ายอีกจะเป็นทางเดินไปห้องครัว.ึ่งอยู่ข้างในสุด ถัดจากห้องครัวออกมาข้างนอกจะเป็นห้องนอนเล็กที่ลี่นอนอยู่ ด้านขวาของทางเดินไปห้องครัวจะเป็นห้องน้ำ
ในห้องที่ลี่นอน จะมีเตียงสองชั้น คือเปิดประตูมาจะเจอเตียงสองชั้นเลย ซึ่งเตียงสองชั้นนี่จะวางติดกำแพงด้านขวา วางอยู่ฝั่งเดียวกับประตูห้อง คือถ้านอนเตียงนี้ปลายเท้าจะชี้ออกไปที่ตรงประตูห้องเลย จากประตูห้องถ้ามองมาทางซ้ายจะมีเตียงเดี่ยวขนาดประมาณสามฟุตวางชิดอยู่ตรงขอบกำแพงด้านซ้าย ซึ่งเตียงนี้ลี่ใช้นอนโดยจะหันเท้าไปทางประตู ห้องนี้จะอยู่ติดกับระเบียงทางเดินด้านนอก มีหน้าต่างหนึ่งบาน ถ้าเปิดหน้าต่างก็จะเห็นระเบียงทางเดิน หน้าต่างมีเหล็กดัดและมีผ้าม่านแบบไม่หนามาก เรากับแพรตกันว่าจะปูที่นอนปิคนิคนอนกันข้างล่างบนพื้นเพราะเตียงสองชั้นเต็มไปด้วยข้าวของและกระเป๋าเดินทางของทั้งสามสาว เราสังเกตุเห็นถ้วยข้าวเล็กๆวางไว้ในหน้องนอน ใกล้ๆเตียงสองชั้น แต่เราก็ยังไม่ได้ถามอะไรลี่นะคะ วันนั้นก็นั้งเม้ามอยคุยกันยาวจนหลับไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรากับแพรก็ออกเที่ยวตอนเช้า ตอนกลางคืนก็ไปเที่ยวผับที่ลี่ร้องเพลงบ้างไปเที่ยวเธคบ้างตามภาษาสาวโสด แต่เข้าบ้านดึกทุกวันค่ะเพราะไม่มีกุญแจอพาร์ตเม้น คือจะกลับเข้าอพาร์ตเม้นพร้อมวงดนตรีเลย มีอยู่วันนึงน่าจะช่วงประมาณตีสองตีสาม จำได้ว่าพวกพี่ๆนักดนตรีกำลังทำกับข้าวกันอยู่ในครัว เราก็ช่วยพวกพี่เค้าทำอยู่ แล้วเราก็เกิดอยากจะเข้าห้องน้ำ เราเดินมาเจอแพรที่หน้าห้องน้ำซึ่งแพรก็กำลังจะเดินมาอาบน้ำ เราเลยบอกว่าขอเราเข้าก่อนเราปวดฉี่ แพรมองหน้าเราแบบงงๆแล้วก็ถามว่า "แกพึ่งออกมาจากห้องน้ำไม่ใช่เหรอ" เราเลยบอกว่าเปล่า ไปช่วยพวกพี่เค้าทำกับข้าวมาพีงจะเดินออกมาจากในครัวเนี่ย แพรยิ่งทำหน้าฉงนเข้าไปอีก นางก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเห็นผู้หญิงผมยาวเดินออกมาจากห้องน้ำไปทางครัวก็คิดว่าเราเป็นเราแน่นอน เราเลยบอกว่าคนอื่นหรือเปล่าเพราะผู้หญิงทุกคนที่นี่ก็ผมยาวกันหมด (ถึงรูปร่างจะต่างกันก็เถอะ) แพรก็ไม่พูดอะไรแล้วก็เดินไปอาบน้ำ
เอาจริงๆเกือบสองอาทิตย์ที่อยู่ที่นี่เราไม่เจออะไรเลย แต่แพรน่าจะเจออะไรแปลกๆเยอะ จำได้เลยว่าสองคืนก่อนกลับไทยแพรเลยตัดสินใจถามลี่ว่าลี่เจออะไรแปลกๆบ้างมั้ย (แล้วมันก็ดันมาคุยกันเรื่องนี้ในอพาร์ตเม้น ตอนอยู่ข้างนอกดันไม่คุย) ลี่เลยเล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้ววงนี้มีนักร้องผู้หญิงสามคนรวมเมียเจ้าของวง ที่นี้นักร้องสองนั้นอ่ะเค้าเจอผีที่อพาร์ตเม้นนี้ ด้วยความที่สองผัวเมียเจ้าของวงเป็นอิสลามเค้าก็หาว่านักร้องสองคนเนี่ยเพ้อเจ้อ นักร้องสองคนนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง กลัวก็กลัวก็เลยเริ่มเอากับข้าวมาเซ่นไหว้ตรงทางเดินประตูอพาร์ตเม้น ทีนี้พี่เจ้าของวงเค้าเห็นเค้าก็ไม่พอใจสั่งให้เอาไปเก็บแล้วห้ามทำอีก นักร้องสองคนก็ไม่ยอมก็ทะเลาะกันใหญ่โตจนนักร้องสองคนอยู่ไม่ได้ขอกลับไทย ลี่ก็เลยมาร้องเพลงแทน แล้วลี่ก็เจออะไรแปลกๆเยอะแต่พอถามว่าเจออะไรมั่งนางก็ไม่ยอมบอก พวกพี่นักดนตรีได้ยินก็เข้ามาแจมว่าบางทีก็ได้ยินเสียงคนเดินโซนนั่งเล่นตอนที่ทุกคนปิดไฟเข้านอนหมดแล้ว คือเดินไปที่หน้าห้องแล้วก็หยุดแล้วก็เดินไปที่หน้าห้องอื่นแล้วก็หยุด วนอยู่แบบนี้ บางทีก็เคยเห็นผู้หญิงผมยาวเดินออกมาจากห้องน้ำซึ่งตรงกับที่แพรเคยเห็น แม้แต่พี่เจ้าของวงก็เคยเจอว่าเหมือนมีผู้หญิงผมยาวมานอนข้างๆ ทีแรกๆนึกว่าเมียแต่พอนอนพลิกตัวกลับมาอีกข้างนึงถึงจะเห็นว่าเมียนอนอยู่ฝั่งนี้ (แล้วอีกฝั่งนึงนี่ใครวะ) แต่พี่เจ้าของวงเค้าไม่อยากแชร์เพราะกลัวว่าน้องๆจะกลัวกัน พอคุยกันเสร็จก็แยกย้ายกันไปเข้านอน ลี่บอกว่าขอนอนเปิดไฟได้มั้ยมันกลัว แต่เรากับแพรบอกว่าปิดไฟเถอะเพราะนอนไม่หลับ
คืนนั้นเลยแหละ ขณะที่เราหลับอยู่ อยู่ดีๆลี่ก็ลุกขึ้นมาร้องกรี๊ดๆๆ ร้องห่มร้องไห้เหมือนคนสติหลุดเป็นบ้าอย่างงั้นเลย เรากับแพรก็สะดุ้ง ด้วยความที่ห้องมันไม่ได้มืดสนิทมากเพราะมีไฟจากทางเดินตรงระเบียงส่องเข้ามา ลี่มันกระโดดจากเตียงลงมากอดแพรข้างล่าง เรามองไปที่ลี่คือเห็นมันนั่งเอามือปิดหน้าแล้วก็ร้องไห้บอก ผีหลอกๆๆ แพรเลยบอกว่าลี่เมิงเป็นอะไร เมิงเปิดไฟสิ (สวิตช์ไฟจะอยู่ฝั่งเดียวกับเตียงลี่ อยู่ข้างประตูตรงปลายเตียง) ลี่บอกกุไม่กล้าไปเปิด กุกลัว ฮือๆๆ เราเลยกระโดดลุกไปเปิดไฟ กล่อมอยู่ตั้งนานกว่าลี่มันจะตั้งสติได้ พอมันตั้งสติได้มันก็บอกว่ามันเห็นผู้หญิงยืนอยู่ในห้อง ผู้หญิงผมยาวยืนมองมันอยู่ มันเห็นเป็นเงาดำๆรูปร่างเป็นผู้หญิงชัดมาก พวกเราก็ปลอบว่าอาจจะตาฝาดหรือเปล่าแต่ปลอบยังไงมันก็ร้องไห้ไม่หยุด เราด้วยความเหนื่อยบวกง่วงนอนมากเลยพูดโพล่งออกไปว่า "โอ๊ย พวกเมิงก็เป็นตุเป็นตะ ผีอะไรไม่มีหรอก กุอยู่มาจนจะกลับแล้วยังไม่เคยเจออะไรเลย ไร้สาระ นอนเหอะกุง่วง ถ้ามีผีจริงมันก็ต้องเจอทุกคนป้ะวะ" และด้วยความปากดีนี่ล่ะมั้งมันทำให้คืนสุดท้ายของเราที่สิงคโปร์เป็นคืนหลอนที่เราจำจนถึงวันนี้
เดี๋ยวมาต่อนะคะ พิมพ์ยาวมากชักเริ่มง่วง
มาต่อแล้วนะคะ ขอโทษทีกว่าจะได้มาตอบ งานยุ่งมากๆ
วันสุดท้ายที่สิงคโปร์ก่อนกลับไทยพวกเราก็อออกเที่ยวกันปกติ กลับเข้ามาพร้อมวงดนตรีเหมือนเดิม เก็บกระเป๋าอะไรเรียบร้อย (ซึ่งกระเป๋าเดินทางก็วางอยู่บนเตียงสองชั้น) กินข้าวกับพวกพี่ๆในวงดนตรีเสร็จก็พากันเข้ามานอน เรารู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก อาจจะเป็นเพราะเที่ยวเต็มที่แล้วนอนดึกทุกวันก็เป็นได้ แต่คืนนั้น ทั้งเรา แพร และลี่ ต่างก็หลับกันเร็วมาก ทันทีที่หัวถึงหมอนคือหลับไปเลย
เรานอไปนานเท่าไรก็ไม่รู้แต่อยู่ดีๆเราก็ตื่น ไม่ได้ตื่นเหมือนแบบตื่นนอนแล้วจ้าแบบนั้นนะ แต่ตื่นเหมือนคนที่นอนอยู่แล้วรู้สึกตัวก็เลยตื่น เราจำได้ว่าเรานอนหันหลังให้เตียงสองชั้น หันหัวไปทางหน้าต่าง แพรนอนอยู่ข้างหน้าเรา ลี่นอนบนเตียงเหมือนเดิม เชื่อมั้ยว่าเรารู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันต่างออกไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรนะ เราลืมตาได้แป๊บนึงก็เลยนอนพลิกตัวหันหน้ากลับมาทางเตียงสองชั้น แล้วเราก็เจอสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง
ภายใต้ห้องนอนที่มืดๆ มันมืดแต่ไม่ได้มืดสนิทมาก อย่างที่บอกว่าแสงไฟจากทางเดินที่ลอดผ้าม่านเข้ามา ทำให้มองเห็นเงาของข้าวของในห้องได้บ้าง แต่สิ่งทีเราเห็นคือเงาดำๆของผู้หญิง ซึ่งดำยิ่งกว่าเงาของข้าวของในห้อง เป็นเงาที่ดำสนิทแต่รูปร่างคือชัดมาก เป็นผู้หญิงผมยาวรูปร่างผอมเพรียว (รูปร่างเหมือนเราเลย ไม่แปลกใจที่แพรจะคิดว่าเห็นเราออกมาจากห้องน้ำ) ลักษณะนั่งก้มหน้ามองพื้นและใส่กระโปรงแน่นอน นั่งขาพาดยาวลงมาบนพื้น เราเห็นชัดขนาดนั้นเลย นั้งอยู่ตรงปลายเตียงชั้นล่างของเตียงสองชั้นตรงที่มีบันไดขึ้นไปด้านบน คือนั่งทับซ้อนกับบันไดขึ้นเตียงชั้นที่สองไปเลย ซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถนั่งทับซ้อนบันไดแบบนั้นได้ ตอนนั้นใจเราเริ่มเต้นแรง เราคิดในใจว่าเงาที่เราเห็นมันเป็นเงาของอะไร ผ้าที่พาดไว้หรือเปล่า คือพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองและเราก็พยายามเพ่งมองเงานั้น แต่เหมือนเค้าอ่านใจเราได้ เพราะทันทีที่เราคิดว่าเป็นเงาของผ้าหรือเปล่า คุณเอ๊ย ที่เค้าบอกว่าขนลุกชูชันทั้งตัวเป็นยังไงเรารู้เลย เงาผู้หญิงคนนั้นจากนั่งมองพื้นอยู่นิ่งๆก็เริ่มขยับ ขยับเหมือนคนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ไม่มีเสียงใดๆนะ พอเราเพ่งมองเค้าก็ยิ่งสะอื้นหนักขึ้น เราจำได้ว่าเราเห็นแม้กระทั่งผมของเค้าอ้ะขยับเพราะเค้าสะอื้นหนักมาก แล้วอยู่ดีๆเค้าก็ลุกขึ้นมา!!! ลุกขึ้นมาแบบ ฟึ่บ!!
โอ๊ยยยยย นั่งสะอึกสะอื้นก็จะตายอยู่แล้ว นี่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมา เรานี่ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของเราบอกเราว่าเมิงพลิกตัวกลับมาเดี๋ยวนี้ เรารีบพลิกตัวกลับมาอีกฝั่งนึง เห็นแพรยังนอนอยู่ท่าเดิมเป๊ะไม่ไหวติง เรานอนหลับตาแต่ในใจเรานี่คือไม่เป็นสุขแล้ว เรากลัวมาก เรารู้สึกได้ว่ามีคนเดินไปมาในห้อง เดินมาตรงปลายเท้าที่เรานอนแล้วหยุด แล้วเดินกลับไปที่เตียงสองชั้น ไปๆมาๆอยู่แบบนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงสองชั้น (เสียงเหมือนเวลามีคนเดินขึ้นไปนอนบนเตียง) เราไม่รู้ว่าเสียงที่เราได้ยินมันนานแค่ไหน แต่มันเหมือนเวลาทุกอย่างในห้องมันหยุด ยกเว้นเรากับเงานั้น ตอนนั้นเรากลัวมากคิดในใจว่าเมื่อไรจะไปสักที อยู่ดีๆบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปอีก มันวืบเหมือนเวลาที่เราเล่นเกมส์แล้ววาปไปอีกที่นึงยังงั้นเลย อยู่ดีๆเราก็เสียวสันหลังวาบ เสียงเดิน เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงสองชั้นหายไป แต่ แต่ เรารู้สึกเหมือนว่ามีคนมานอนข้างหลังเรา (คือเรานอนตะแคงหันหน้าไปทางแพรและหันหลังให้เตียงสองชั้น) และไม่ใช่มานอนแบบมานอนด้วยเฉยๆนะ แต่เรารู้สึกว่าเค้ามานอนใกล้เรามากๆๆๆ คือถ้าพลิกตัวกลับไปนี่คือหน้าชนหน้าแน่นอน คุณเอ้ย ชั่วโมงนั้นอยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก ขยับตัวจะปลุกแพรก็ไม่ได้ ขนหัวขนคอลุกชูชัน เราเริ่มสวดมนต์ในใจ สวดทุกบทเท่าที่จะนึกออก สวดผิดๆถูกๆ สักพักเราได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ หึหึหึ ใกล้ๆหูเราเลย โอ๊ย ชัวร์ขึ้นไปอีกว่านางมานอนอยู่ข้างๆแบบใกล้มากๆ
วินาทีนั้ันเราไม่รู้ว่าจะทำยังไง เราเลยคิดในใจว่าเราขอโทษนะ เราปากไม่ไดีไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ ถ้าเรากลับเมืองไทยแล้วเราจะทำบุญไปให้ แต่ไม่ได้ผลค่ะ เราได้ยินเสียงกุกกักๆดังอยู่ข้างหลังเรา เราเลยคิดว่าหรือเค้าจะไม่เข้าใจภาษาไทยหว่า เราเลยบอกเค้าไปในใจอีกทีคราวนี้เป็นภาษาอังกฤษ พอเราบอกเค้าเสร็จปุ๊บ เราได้ยินเสียงคนดรี๊ดตรงหูเรา กรี๊ดดังมาก แล้วเราก็ดีดตัวเองลุกขึ้นมานั่งค่ะ พอนั่งปุ๊บปลุกเพื่อนค่ะ แหกปากปลุกแพร ปลุกลี่ ให้ลี่เปิดไฟ ทั้งสองคนก็ตกใจ ลี่ถามแกเจอผีหรอ เราไม่ได้ตอบว่าเจอผีเพราะกลัวลี่มันจะกลัวเข้าไปอีก เลยบอกไปว่าฝันร้าย ดูนาฬิกาก็ตีสี่กว่าเกือบตีห้า เลยตัดสินใจไม่นอนต่อเพราะเดี๋ยวต้องไปสนามบินตอนเก้าโมง ใจเรายังเต้นอยู่เลยขนก็ลุกชูชันไม่หาย นี่เองที่เค้าเรียกว่าเจอผีหลอก
พอตอนจะออกไปสนามบิน เรากับแพรก็ร่ำลาพี่ๆในวง ตอนกำลังจะออกจากประตูห้องอพาร์ทเม้นเราหันหลังกลับไปยกมือไหว้พวกพี่ๆอีกครั้งนึง ตอนที่เรากำลังจะหันหน้ากลับมา คือเห็นหางตาแว๊บๆตรงทางซ้ายของห้องนั้งเล่นที่เชื่อมทางเดินไปห้องน้ำและห้องนอนที่ลี่นอน เราเห็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าอยู่ แว๊บเดียวเท่านั้น เรารีบบอกแพรให้เดินออกไปเร็วๆเดี๋ยวจะไปสนามบินไม่ทัน พอเราถึงเมืองไทย อีกวันนึงเราก็รีบไปทำบุญให้เค้าตามที่สัญญาไว้
**ลืมบอกไปว่าถ้วยข้าวเล็กๆที่เราเห็นในห้องนอนลี่ ก็คือถ้วยข้าวที่ลี่แอบเอาเข้ามาเซ่นผีตนนี้แหละค่ะ นางไม่กล้าเอาไปวางไว้ข้างนอกห้องเพราะกลัวหัวหน้าวงจะว่าเอา เลยเอาเข้ามาไว้ให้องนอนแทน
จบแล้วนะคะสำหรับประสบการณ์หลอนที่สิงคโปร์ของเรา จริงๆแล้วพอเราเจอผีผู้หญิงคนนี้ ก็มีเหตุให้เราเจอเรื่องราวแปลกๆอีกสองสามครั้งที่เมืองไทย เจอแม้กระทั่งโดนผีอำในบ้านของตัวเอง แปลกมากๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เราไม่เคยเจออะไรแปลกๆเลย เอาไว้มีเวลาจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ
เมื่อฉันเจอผีที่สิงคโปร์
ปกติเราจะเป็นคนนั่งอ่าน อยู่ดีๆเหตุการณ์นี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ความหลอนที่สิงคโปร์บ้าง ยาวหน่อยนะคะ
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ 13ปีก่อน เรากับเพื่อนอีกคนนึง (สมมติว่าชื่อแพร) คุยกันว่าจะไปเที่ยวสิงคโปร์ช่วงปิดเทอมค่ะ พอดีพวกเรามีเพื่อนทำงานเป็นนักร้องที่คลับที่สิงคโปร์ (สมมมติว่าชื่อลี่) ลี่เลยบอกว่าเดี๋ยวจะลองคุยกับหัวหน้าวงให้ว่าขอให้เพื่อนมาพักด้วยได้มั้ย (วงที่ลี่ไปร้องเพลงด้วยก็เป็นวงคนไทยค่ะ) สรุปหัวหน้าวงอนุญาติเราจึงตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่สิงคโปร์เป็นเวลาสองอาทิตย์
เมื่อเราไปถึงสิงคโปร์ ลี่ก็มารับพวกเราที่สนามบินค่ะ นั่งแท็กซี่ไปที่คอนโดแถวๆเกลั๊ง (จำไม่ได้เป๊ะว่าแถวไหน แต่จำได้ว่าถ้าไปกินข้าวแถวเกลั๊งคืออยู่ไม่ไกลมากจากที่พัก นั่งรถแป๊บเดียว) ขอพูดถึงลักษณะคอนโดก่อนนะคะ คอนโดจะมีสองฝั่ง รูปล่างคล้ายตัว U หันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางระหว่างตึกทั้งสองฝั่งจะเปิดโล่ง (คล้ายๆหอพักที่บ้านเราเนี่ยค่ะ) คอนโดนี้จะมี 4 ห้องนอน พอเปิดประตูเข้ามาจะเจอโซนนั่งเล่นอยู่ตรงกลางห้องเลย มองตรงไปอีกจะมีห้องนอน 2 ห้องซึ่งพวกพี่นักดนตรีจะนอนกันที่ห้องนี้ ถัดมาทางซ้ายจะมี 1 ห้องนอนใหญ่ (ซึ่งเราจำไม่ได้ว่ามีห้องน้ำในตัวมั้ย) ซึ่งเป็นห้องนอนของสองผัวเมียหัวหน้าวง ถัดมาทางซ้ายอีกจะเป็นทางเดินไปห้องครัว.ึ่งอยู่ข้างในสุด ถัดจากห้องครัวออกมาข้างนอกจะเป็นห้องนอนเล็กที่ลี่นอนอยู่ ด้านขวาของทางเดินไปห้องครัวจะเป็นห้องน้ำ
ในห้องที่ลี่นอน จะมีเตียงสองชั้น คือเปิดประตูมาจะเจอเตียงสองชั้นเลย ซึ่งเตียงสองชั้นนี่จะวางติดกำแพงด้านขวา วางอยู่ฝั่งเดียวกับประตูห้อง คือถ้านอนเตียงนี้ปลายเท้าจะชี้ออกไปที่ตรงประตูห้องเลย จากประตูห้องถ้ามองมาทางซ้ายจะมีเตียงเดี่ยวขนาดประมาณสามฟุตวางชิดอยู่ตรงขอบกำแพงด้านซ้าย ซึ่งเตียงนี้ลี่ใช้นอนโดยจะหันเท้าไปทางประตู ห้องนี้จะอยู่ติดกับระเบียงทางเดินด้านนอก มีหน้าต่างหนึ่งบาน ถ้าเปิดหน้าต่างก็จะเห็นระเบียงทางเดิน หน้าต่างมีเหล็กดัดและมีผ้าม่านแบบไม่หนามาก เรากับแพรตกันว่าจะปูที่นอนปิคนิคนอนกันข้างล่างบนพื้นเพราะเตียงสองชั้นเต็มไปด้วยข้าวของและกระเป๋าเดินทางของทั้งสามสาว เราสังเกตุเห็นถ้วยข้าวเล็กๆวางไว้ในหน้องนอน ใกล้ๆเตียงสองชั้น แต่เราก็ยังไม่ได้ถามอะไรลี่นะคะ วันนั้นก็นั้งเม้ามอยคุยกันยาวจนหลับไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรากับแพรก็ออกเที่ยวตอนเช้า ตอนกลางคืนก็ไปเที่ยวผับที่ลี่ร้องเพลงบ้างไปเที่ยวเธคบ้างตามภาษาสาวโสด แต่เข้าบ้านดึกทุกวันค่ะเพราะไม่มีกุญแจอพาร์ตเม้น คือจะกลับเข้าอพาร์ตเม้นพร้อมวงดนตรีเลย มีอยู่วันนึงน่าจะช่วงประมาณตีสองตีสาม จำได้ว่าพวกพี่ๆนักดนตรีกำลังทำกับข้าวกันอยู่ในครัว เราก็ช่วยพวกพี่เค้าทำอยู่ แล้วเราก็เกิดอยากจะเข้าห้องน้ำ เราเดินมาเจอแพรที่หน้าห้องน้ำซึ่งแพรก็กำลังจะเดินมาอาบน้ำ เราเลยบอกว่าขอเราเข้าก่อนเราปวดฉี่ แพรมองหน้าเราแบบงงๆแล้วก็ถามว่า "แกพึ่งออกมาจากห้องน้ำไม่ใช่เหรอ" เราเลยบอกว่าเปล่า ไปช่วยพวกพี่เค้าทำกับข้าวมาพีงจะเดินออกมาจากในครัวเนี่ย แพรยิ่งทำหน้าฉงนเข้าไปอีก นางก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเห็นผู้หญิงผมยาวเดินออกมาจากห้องน้ำไปทางครัวก็คิดว่าเราเป็นเราแน่นอน เราเลยบอกว่าคนอื่นหรือเปล่าเพราะผู้หญิงทุกคนที่นี่ก็ผมยาวกันหมด (ถึงรูปร่างจะต่างกันก็เถอะ) แพรก็ไม่พูดอะไรแล้วก็เดินไปอาบน้ำ
เอาจริงๆเกือบสองอาทิตย์ที่อยู่ที่นี่เราไม่เจออะไรเลย แต่แพรน่าจะเจออะไรแปลกๆเยอะ จำได้เลยว่าสองคืนก่อนกลับไทยแพรเลยตัดสินใจถามลี่ว่าลี่เจออะไรแปลกๆบ้างมั้ย (แล้วมันก็ดันมาคุยกันเรื่องนี้ในอพาร์ตเม้น ตอนอยู่ข้างนอกดันไม่คุย) ลี่เลยเล่าให้ฟังว่าจริงๆแล้ววงนี้มีนักร้องผู้หญิงสามคนรวมเมียเจ้าของวง ที่นี้นักร้องสองนั้นอ่ะเค้าเจอผีที่อพาร์ตเม้นนี้ ด้วยความที่สองผัวเมียเจ้าของวงเป็นอิสลามเค้าก็หาว่านักร้องสองคนเนี่ยเพ้อเจ้อ นักร้องสองคนนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไง กลัวก็กลัวก็เลยเริ่มเอากับข้าวมาเซ่นไหว้ตรงทางเดินประตูอพาร์ตเม้น ทีนี้พี่เจ้าของวงเค้าเห็นเค้าก็ไม่พอใจสั่งให้เอาไปเก็บแล้วห้ามทำอีก นักร้องสองคนก็ไม่ยอมก็ทะเลาะกันใหญ่โตจนนักร้องสองคนอยู่ไม่ได้ขอกลับไทย ลี่ก็เลยมาร้องเพลงแทน แล้วลี่ก็เจออะไรแปลกๆเยอะแต่พอถามว่าเจออะไรมั่งนางก็ไม่ยอมบอก พวกพี่นักดนตรีได้ยินก็เข้ามาแจมว่าบางทีก็ได้ยินเสียงคนเดินโซนนั่งเล่นตอนที่ทุกคนปิดไฟเข้านอนหมดแล้ว คือเดินไปที่หน้าห้องแล้วก็หยุดแล้วก็เดินไปที่หน้าห้องอื่นแล้วก็หยุด วนอยู่แบบนี้ บางทีก็เคยเห็นผู้หญิงผมยาวเดินออกมาจากห้องน้ำซึ่งตรงกับที่แพรเคยเห็น แม้แต่พี่เจ้าของวงก็เคยเจอว่าเหมือนมีผู้หญิงผมยาวมานอนข้างๆ ทีแรกๆนึกว่าเมียแต่พอนอนพลิกตัวกลับมาอีกข้างนึงถึงจะเห็นว่าเมียนอนอยู่ฝั่งนี้ (แล้วอีกฝั่งนึงนี่ใครวะ) แต่พี่เจ้าของวงเค้าไม่อยากแชร์เพราะกลัวว่าน้องๆจะกลัวกัน พอคุยกันเสร็จก็แยกย้ายกันไปเข้านอน ลี่บอกว่าขอนอนเปิดไฟได้มั้ยมันกลัว แต่เรากับแพรบอกว่าปิดไฟเถอะเพราะนอนไม่หลับ
คืนนั้นเลยแหละ ขณะที่เราหลับอยู่ อยู่ดีๆลี่ก็ลุกขึ้นมาร้องกรี๊ดๆๆ ร้องห่มร้องไห้เหมือนคนสติหลุดเป็นบ้าอย่างงั้นเลย เรากับแพรก็สะดุ้ง ด้วยความที่ห้องมันไม่ได้มืดสนิทมากเพราะมีไฟจากทางเดินตรงระเบียงส่องเข้ามา ลี่มันกระโดดจากเตียงลงมากอดแพรข้างล่าง เรามองไปที่ลี่คือเห็นมันนั่งเอามือปิดหน้าแล้วก็ร้องไห้บอก ผีหลอกๆๆ แพรเลยบอกว่าลี่เมิงเป็นอะไร เมิงเปิดไฟสิ (สวิตช์ไฟจะอยู่ฝั่งเดียวกับเตียงลี่ อยู่ข้างประตูตรงปลายเตียง) ลี่บอกกุไม่กล้าไปเปิด กุกลัว ฮือๆๆ เราเลยกระโดดลุกไปเปิดไฟ กล่อมอยู่ตั้งนานกว่าลี่มันจะตั้งสติได้ พอมันตั้งสติได้มันก็บอกว่ามันเห็นผู้หญิงยืนอยู่ในห้อง ผู้หญิงผมยาวยืนมองมันอยู่ มันเห็นเป็นเงาดำๆรูปร่างเป็นผู้หญิงชัดมาก พวกเราก็ปลอบว่าอาจจะตาฝาดหรือเปล่าแต่ปลอบยังไงมันก็ร้องไห้ไม่หยุด เราด้วยความเหนื่อยบวกง่วงนอนมากเลยพูดโพล่งออกไปว่า "โอ๊ย พวกเมิงก็เป็นตุเป็นตะ ผีอะไรไม่มีหรอก กุอยู่มาจนจะกลับแล้วยังไม่เคยเจออะไรเลย ไร้สาระ นอนเหอะกุง่วง ถ้ามีผีจริงมันก็ต้องเจอทุกคนป้ะวะ" และด้วยความปากดีนี่ล่ะมั้งมันทำให้คืนสุดท้ายของเราที่สิงคโปร์เป็นคืนหลอนที่เราจำจนถึงวันนี้
เดี๋ยวมาต่อนะคะ พิมพ์ยาวมากชักเริ่มง่วง
มาต่อแล้วนะคะ ขอโทษทีกว่าจะได้มาตอบ งานยุ่งมากๆ
วันสุดท้ายที่สิงคโปร์ก่อนกลับไทยพวกเราก็อออกเที่ยวกันปกติ กลับเข้ามาพร้อมวงดนตรีเหมือนเดิม เก็บกระเป๋าอะไรเรียบร้อย (ซึ่งกระเป๋าเดินทางก็วางอยู่บนเตียงสองชั้น) กินข้าวกับพวกพี่ๆในวงดนตรีเสร็จก็พากันเข้ามานอน เรารู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก อาจจะเป็นเพราะเที่ยวเต็มที่แล้วนอนดึกทุกวันก็เป็นได้ แต่คืนนั้น ทั้งเรา แพร และลี่ ต่างก็หลับกันเร็วมาก ทันทีที่หัวถึงหมอนคือหลับไปเลย
เรานอไปนานเท่าไรก็ไม่รู้แต่อยู่ดีๆเราก็ตื่น ไม่ได้ตื่นเหมือนแบบตื่นนอนแล้วจ้าแบบนั้นนะ แต่ตื่นเหมือนคนที่นอนอยู่แล้วรู้สึกตัวก็เลยตื่น เราจำได้ว่าเรานอนหันหลังให้เตียงสองชั้น หันหัวไปทางหน้าต่าง แพรนอนอยู่ข้างหน้าเรา ลี่นอนบนเตียงเหมือนเดิม เชื่อมั้ยว่าเรารู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันต่างออกไป แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรนะ เราลืมตาได้แป๊บนึงก็เลยนอนพลิกตัวหันหน้ากลับมาทางเตียงสองชั้น แล้วเราก็เจอสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่เคยมีอยู่จริง
ภายใต้ห้องนอนที่มืดๆ มันมืดแต่ไม่ได้มืดสนิทมาก อย่างที่บอกว่าแสงไฟจากทางเดินที่ลอดผ้าม่านเข้ามา ทำให้มองเห็นเงาของข้าวของในห้องได้บ้าง แต่สิ่งทีเราเห็นคือเงาดำๆของผู้หญิง ซึ่งดำยิ่งกว่าเงาของข้าวของในห้อง เป็นเงาที่ดำสนิทแต่รูปร่างคือชัดมาก เป็นผู้หญิงผมยาวรูปร่างผอมเพรียว (รูปร่างเหมือนเราเลย ไม่แปลกใจที่แพรจะคิดว่าเห็นเราออกมาจากห้องน้ำ) ลักษณะนั่งก้มหน้ามองพื้นและใส่กระโปรงแน่นอน นั่งขาพาดยาวลงมาบนพื้น เราเห็นชัดขนาดนั้นเลย นั้งอยู่ตรงปลายเตียงชั้นล่างของเตียงสองชั้นตรงที่มีบันไดขึ้นไปด้านบน คือนั่งทับซ้อนกับบันไดขึ้นเตียงชั้นที่สองไปเลย ซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถนั่งทับซ้อนบันไดแบบนั้นได้ ตอนนั้นใจเราเริ่มเต้นแรง เราคิดในใจว่าเงาที่เราเห็นมันเป็นเงาของอะไร ผ้าที่พาดไว้หรือเปล่า คือพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองและเราก็พยายามเพ่งมองเงานั้น แต่เหมือนเค้าอ่านใจเราได้ เพราะทันทีที่เราคิดว่าเป็นเงาของผ้าหรือเปล่า คุณเอ๊ย ที่เค้าบอกว่าขนลุกชูชันทั้งตัวเป็นยังไงเรารู้เลย เงาผู้หญิงคนนั้นจากนั่งมองพื้นอยู่นิ่งๆก็เริ่มขยับ ขยับเหมือนคนกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ไม่มีเสียงใดๆนะ พอเราเพ่งมองเค้าก็ยิ่งสะอื้นหนักขึ้น เราจำได้ว่าเราเห็นแม้กระทั่งผมของเค้าอ้ะขยับเพราะเค้าสะอื้นหนักมาก แล้วอยู่ดีๆเค้าก็ลุกขึ้นมา!!! ลุกขึ้นมาแบบ ฟึ่บ!!
โอ๊ยยยยย นั่งสะอึกสะอื้นก็จะตายอยู่แล้ว นี่อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมา เรานี่ใจตกไปอยู่ตาตุ่ม ด้วยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของเราบอกเราว่าเมิงพลิกตัวกลับมาเดี๋ยวนี้ เรารีบพลิกตัวกลับมาอีกฝั่งนึง เห็นแพรยังนอนอยู่ท่าเดิมเป๊ะไม่ไหวติง เรานอนหลับตาแต่ในใจเรานี่คือไม่เป็นสุขแล้ว เรากลัวมาก เรารู้สึกได้ว่ามีคนเดินไปมาในห้อง เดินมาตรงปลายเท้าที่เรานอนแล้วหยุด แล้วเดินกลับไปที่เตียงสองชั้น ไปๆมาๆอยู่แบบนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงสองชั้น (เสียงเหมือนเวลามีคนเดินขึ้นไปนอนบนเตียง) เราไม่รู้ว่าเสียงที่เราได้ยินมันนานแค่ไหน แต่มันเหมือนเวลาทุกอย่างในห้องมันหยุด ยกเว้นเรากับเงานั้น ตอนนั้นเรากลัวมากคิดในใจว่าเมื่อไรจะไปสักที อยู่ดีๆบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนไปอีก มันวืบเหมือนเวลาที่เราเล่นเกมส์แล้ววาปไปอีกที่นึงยังงั้นเลย อยู่ดีๆเราก็เสียวสันหลังวาบ เสียงเดิน เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงสองชั้นหายไป แต่ แต่ เรารู้สึกเหมือนว่ามีคนมานอนข้างหลังเรา (คือเรานอนตะแคงหันหน้าไปทางแพรและหันหลังให้เตียงสองชั้น) และไม่ใช่มานอนแบบมานอนด้วยเฉยๆนะ แต่เรารู้สึกว่าเค้ามานอนใกล้เรามากๆๆๆ คือถ้าพลิกตัวกลับไปนี่คือหน้าชนหน้าแน่นอน คุณเอ้ย ชั่วโมงนั้นอยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก ขยับตัวจะปลุกแพรก็ไม่ได้ ขนหัวขนคอลุกชูชัน เราเริ่มสวดมนต์ในใจ สวดทุกบทเท่าที่จะนึกออก สวดผิดๆถูกๆ สักพักเราได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะ หึหึหึ ใกล้ๆหูเราเลย โอ๊ย ชัวร์ขึ้นไปอีกว่านางมานอนอยู่ข้างๆแบบใกล้มากๆ
วินาทีนั้ันเราไม่รู้ว่าจะทำยังไง เราเลยคิดในใจว่าเราขอโทษนะ เราปากไม่ไดีไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ ถ้าเรากลับเมืองไทยแล้วเราจะทำบุญไปให้ แต่ไม่ได้ผลค่ะ เราได้ยินเสียงกุกกักๆดังอยู่ข้างหลังเรา เราเลยคิดว่าหรือเค้าจะไม่เข้าใจภาษาไทยหว่า เราเลยบอกเค้าไปในใจอีกทีคราวนี้เป็นภาษาอังกฤษ พอเราบอกเค้าเสร็จปุ๊บ เราได้ยินเสียงคนดรี๊ดตรงหูเรา กรี๊ดดังมาก แล้วเราก็ดีดตัวเองลุกขึ้นมานั่งค่ะ พอนั่งปุ๊บปลุกเพื่อนค่ะ แหกปากปลุกแพร ปลุกลี่ ให้ลี่เปิดไฟ ทั้งสองคนก็ตกใจ ลี่ถามแกเจอผีหรอ เราไม่ได้ตอบว่าเจอผีเพราะกลัวลี่มันจะกลัวเข้าไปอีก เลยบอกไปว่าฝันร้าย ดูนาฬิกาก็ตีสี่กว่าเกือบตีห้า เลยตัดสินใจไม่นอนต่อเพราะเดี๋ยวต้องไปสนามบินตอนเก้าโมง ใจเรายังเต้นอยู่เลยขนก็ลุกชูชันไม่หาย นี่เองที่เค้าเรียกว่าเจอผีหลอก
พอตอนจะออกไปสนามบิน เรากับแพรก็ร่ำลาพี่ๆในวง ตอนกำลังจะออกจากประตูห้องอพาร์ทเม้นเราหันหลังกลับไปยกมือไหว้พวกพี่ๆอีกครั้งนึง ตอนที่เรากำลังจะหันหน้ากลับมา คือเห็นหางตาแว๊บๆตรงทางซ้ายของห้องนั้งเล่นที่เชื่อมทางเดินไปห้องน้ำและห้องนอนที่ลี่นอน เราเห็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าอยู่ แว๊บเดียวเท่านั้น เรารีบบอกแพรให้เดินออกไปเร็วๆเดี๋ยวจะไปสนามบินไม่ทัน พอเราถึงเมืองไทย อีกวันนึงเราก็รีบไปทำบุญให้เค้าตามที่สัญญาไว้
**ลืมบอกไปว่าถ้วยข้าวเล็กๆที่เราเห็นในห้องนอนลี่ ก็คือถ้วยข้าวที่ลี่แอบเอาเข้ามาเซ่นผีตนนี้แหละค่ะ นางไม่กล้าเอาไปวางไว้ข้างนอกห้องเพราะกลัวหัวหน้าวงจะว่าเอา เลยเอาเข้ามาไว้ให้องนอนแทน
จบแล้วนะคะสำหรับประสบการณ์หลอนที่สิงคโปร์ของเรา จริงๆแล้วพอเราเจอผีผู้หญิงคนนี้ ก็มีเหตุให้เราเจอเรื่องราวแปลกๆอีกสองสามครั้งที่เมืองไทย เจอแม้กระทั่งโดนผีอำในบ้านของตัวเอง แปลกมากๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เราไม่เคยเจออะไรแปลกๆเลย เอาไว้มีเวลาจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ