ชีวิตช่างภาพเรือสำราญ ภาค2 มหาลัยชีวิตบนผืนมหาสมุทร

สวัสดีครับเพื่อนๆพี่ๆวันนี้อยากจะมาแชร์ Episode 2 ของการทำงานเป็นช่างภาพ Private Session บนเรือสำราญครับ สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านEpisodeแรกสามารถย้อนอ่านได้ตามลิ้งนี้เลยครับ 

https://ppantip.com/topic/38878006

และ https://www.facebook.com/ktaraprasert/

             
                ปล. เพื่ออรรถรสในการอ่านหากมีภาษาระดับสนทนาและไทยคำอังกฤษคำคงไม่ว่ากันนะครับ
 
                เอาละไปลุยกันเลย...ติวดิ๋วๆ (เสียงเตือนข้อความจาก Facebook แจ้งเตือน) เป็นบอสของผมมีนามว่า ไรอัน ไรอันเป็นชาวฟิลิปปินส์เขาทักมาใน Facebook messenger
                ไรอัน : Khain can you return mid july
                ผม : yep mid july is fine
                ไรอัน : ok will advise schedule shortly, you will be incharge...
                ผม : .....oh all right...ยิ้ม

               วินาทีแรกที่รู้ว่าได้รับโอกาสนั้นผมไม่ได้คิดว่าเรานี่มันแน่มากเก่งมากหรืออะไรเลย แค่คิดว่ายังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ “...เอาเว้ยลุย ไปตายเอาดาบหน้าเดียวมันก็พร้อมเอง...” ผมมองว่าเวลามีผู้ใหญ่หรือใครก็ตามให้โอกาสเราไม่ว่าเป็นอาชีพไหนธุรกิจไหน เราอย่าไปตัดโอกาสตัวเองเลยครับ การที่เขาให้โอกาสแปลว่าเขามองเห็นอะไรบางอย่างเพราะฉะนั้นลุยสู้กับมันเทอะไม่มีอะไรเสียหรอก
 
                ผมโดนมอบหมายให้ไปเป็นอินชาร์จที่เรือ Carnival Conquest ซึ่งเป็นเรือที่เคยไปทำเมื่อคอนแทรคที่แล้วช่วงโค้งสุดท้ายซึ่งเป็นเรือที่มีเส้นทางการเดินเรือดีหลากหลายและสวยครับแต่ทว่า เขาก็มีรีเควสพิเศษมาว่าแต่ก่อนยูไปเรือนั้นยูต้องไปcoverอีกเรือก่อน พอดีว่าอินชาร์จเรือนั้นเขามีเหตุให้ไปขึ้นเรือช้า และเรือนั้นนามว่า Carnival Ecstasy เป็นเรือไซด์ไม่ใหญ่มากและเป็นเรือที่เขาเรียกกันว่า Cruise 5 5 4 นั่นหมายถึงการเดินเรือจะมีรอบแบบ 5 วัน สองรอบแล้วสลับ 4 วัน กลับมาวนลูป ซึ่งสำหรับ Dreams Studio ตำแหน่งนั้นเจอเรือครูสสั้นแบบนี้มันเหนื่อยครับ เพราะต้องถ่ายแต่งภาพแล้วขายเลยเวลาพักน้อย บวกกับ port สถานที่เที่ยวค่อนข้างน้อยไม่มีพอร์ดที่สวยเท่าไหร่ ถึงจะรู้แบบนั้นแต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายมากครับ

           
Cr picture:ivan frigillana tianzon

                ผมยังรู้สึกตื่นเต้นเสมอครับทุกครั้งที่ได้เก็บกระเป๋าเดินทางไปไหนสักที่ แม้ว่าจะไปทำงานก็เทอะ...ผมค่อยๆหยิบมาม่าที่ซื้อตุนมาจัดใส่กระเป๋าด้วยประสบการณ์จากคอนแทรคที่แล้ว ตามประสาคนติดรสชาติมาม่านี่ตัวช่วยสำคัญละครับจัดเต็มไปเลยกระเป๋านึง55...ตอนที่พ่อแม่น้องผมไปส่งที่สนามบินฟิลลิ่งมันเหมือนครั้งแรกที่ผมไปเลยครับเห้อ ใจหายเหมือนกันจะต้องห่างพ่อแม่น้องรวมถึงเพื่อนๆอีกแล้ว แต่เอาเทอะเพื่ออนาคตคิดซะว่าไปเรียนแล้วจู่ก็มีคนเอาเงินก้อนให้

                พอไปถึงป๊าป…ก่อนเราเข้าเรือเราจะเดินสวนกับ crew member ที่เขาหมดคอนแทรคกำลังจะกลับบ้านครับ เราลากกระเป๋าเข้าเรือเพื่อไปทำงานพวกเขาลากกระเป๋าออกจากเรือหน้าโปรยด้วยรอยยิ้ม ส่วนผมโปรยด้วยยิ้มแห่งความอิจฉา555 ละสายตาจากกลุ่มนั้นผมก็ลากกระเป๋าเข้าเรือเจอกับช่างภาพที่นั่นเขาก็ทักทาย 
 
                Team member: Hey you’re Dreams Studio guy?
                Khanin : Oh yeah nice to meet you mannnn (พลางยกกระเป๋าเข้าเครื่องแสกน)
 
                สำหรับงานการเป็นช่างภาพบนเรือสิ่งแรกที่พึงต้องทำก็คือเดินดูสถานที่ศึกษา Location ของเรือซะก่อนเพื่อเวลาเริ่มถ่ายลูกค้าจริงเราจะได้ดู Professional ครับเพราะเราจะไป เออ อ่า... what’s next ไม่ได้เลยมันเสีย value ทันที     “อุตสาหกรรม”การถ่ายภาพบนเรือนั้น ใช่แล้วครับผมใช้คำว่าอุตสาหกรรมเพราะว่าด้วยเวลาและ nature ของลูกค้าที่นี่ต้องอย่าลืมว่าเขามาสนุก การถ่ายภาพมันเป็นเศษเสี้ยวของกิจกรรมบนเรือครับเพราะฉะนั้นเราต้องถ่ายเร็วและออกมาดีด้วยเพราะเราขายเขาแพง ทำยังไงก็ได้ให้ตอนลูกค้าดูภาพแล้วบอกว่า Oh I didn’t expected that going to came out so great.... 
 
         
                 Dreams Studio นั้นเวลาถ่าย Wedding คุณต้องถ่าย Video และ ภาพนิ่งในคนๆเดียวต้องทำได้สองอย่าง...อ่านไม่ผิดครับเรื่องจริง เพราะฉะนั้นทุกช็อตทุกซีนแถบจะต้องมีไว้ในหัวหมดแล้วว่าจะขยับไปตรงไหน ช็อตไหนต้องไปยืนตรงไหน ตอนไหนถ่ายวีดีโอ ตอนไหนต้องถ่ายภาพนิ่ง ราคาแพ็คเกตของเวดดิ้งที่นีเริ่มที่ 500$ ไปจนถึง 4000$ หรือมากกว่านั้นอันนี้แล้วแต่แขกมีกำลังจ่ายแค่ไหนและช่างภาพขายเก่งแค่ไหนด้วย เอาจริงๆผมอยากจะแปะรูปตัวอย่างงานให้ชมกันแต่ว่ามันเป็นลิขสิทธ์ทางบริษัทนะครับเดียวงานจะเข้าเอา
 
                 ผมโชคดีมากที่ได้เจอกับทีมที่ดีรวมไปถึงหัวหน้าและพอดิบพอดีที่เจอกับพี่น้องคนไทยด้วยกันน้องตุ้มและพี่ทักกี้ น้องตุ้มนี่ก็เป็นช่างภาพที่ตามหลังผมมาติดๆเหมือนกันครับ บังเอิญมากที่ได้มาเจอกันในคอนแทรคที่ 2 น้องช่วยผมเดินดูสถานที่เพราะเรือคลาสนี้ผมไม่เคยไปมาก่อน ผนวกกับผมรู้สึกประหม่ามากครับ เพราะสำหรับคอนแทรคนี้การเป็นอินชาร์จนอกจากการถ่ายภาพแต่งภาพและขายแล้ว ต้องทำพวก report เอกสาร ส่ง Email ในองกรค์นั่นนี่ด้วยซึ่งผมเองไม่ค่อย Grammar Skill & Writing Skill เลย ส่วนพี่ทักกี้แกก็ช่วยเก็บภาพเท่ๆนี้ให้ผมละครับ55
               
น้องตุ้มถัดจากผมและพี่ทักกี้คนถัดจากน้องตุ้มครับ

             
 
                 การส่งเมลที่นี่ถือเป็นเรื่องจริงจังครับทุกอย่างทำผ่านเมลแรกๆผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ จนกระทั่งมีเหตุการณ์ที่ผมต้องกระทบกระทั่งกับฝ่าย Printshop นิดหน่อย เพราะผมจำเป็นต้องใช้ใบนัดลูกค้าซึ่งทางเขาจะเป็นคนปริ้นให้ด้วยกระดาษพิเศษ แต่บังเอิญว่ามันขาดไปแค่ 10 ใบโดยประมาณครั้นจะปริ้นใส่กระดาษปกติก็กลัวดูไม่โปร บังเอิ๊ญผมก็เดินผ่านเขาพอดีตอนนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าๆ ปกติแล้วเราจะเลิกงานกันราวๆ 4-5ทุ่มครับ ผมก็ถามเขาว่าช่วยปริ้นให้หน่อยได้ไหม 10 ใบเท่านั้นเขาปฏิเสธมาอย่างเด็ดว่า
                 
                                                                                    “You’ve to send email...”
                   
                  ผมใช้กำปั้นผมหวดเข้าไปที่เบ้าตาเต็มแรงครับ...นั่นคือสิ่งที่ผมคิดครับจังหวะภาพตัดกลับมาแบบหนัง GDH เห็นผมยืนเป็นไอแว่นกระพริบตาปลิบๆ ผมบอกเขาว่าผมสามารถไปส่งอีเมลตอนนี้ได้เลยช่วยปริ้นหน่อยแต่เขาบอกว่ามันสายไปหน่อยวันหลังให้หัดทำงานวางแผนล่วงหน้า(พร้อมยิ้มแบบเหนือๆเหมือนแบบน้องรุ่นไหนระวังด้วยอย่าให้เพ่ต้องสอน) มันเหมือนโดนคนใส่สนับมือชกเข้าที่หน้า แต่...จะทำไงได้ก็ถูกของเขา

                  เหตุการณ์ในครั้งนั้นมันเหมือนจุดไฟให้ลุกโชนกับการเขียนอีเมลจริงๆละครับ ก็อาศัยครูพักลักจำเอาจากเมลอื่นๆที่เขาส่งกันเข้ามาเอา Good morning, Dear team, Hi Team, ผนวกกับที่เคยทำงานกับอินชาร์จคนก่อนๆ จังหวะภาพมันแฟลชแบ็คกับไปเวลาเขาพิมพ์ขอความช่วยเหลือใคร เขาก็จะใช้คำว่า Need Assist, i kindly… หลังจากนั้นเอะอะผม kindly รัวๆเลย555 จับนู่นผสมนี่เป็นเวอชั่นเรา ผิดบ้างถูกบ้างผสมๆไป โดน Manager บ่นบ้างคอมเพลนบ้าง...
 
                   เดียวผมรีบมาต่อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่