ชีวิตช่างภาพเรือสำราญอัพเดทร้อนๆจากบนเรือ ใครสนใจอยากลองทำงานต่างประเทศมาอ่านสนุกๆกันครับ

สวัสดีครับ เพื่อนๆพี่ๆทุกท่านก่อนหน้านี้เคยมีพี่ๆที่มาแชร์เรื่อง การทำงานเป็นช่างภาพเรือสำราญ


วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ล่าสุดในเวอชั่นร์ตัวผมเองให้ฟังกันครับ ในมุมของคนที่ยังทำงานอยู่ ตอนนี้พอดีกลับมาพักร้อนครับเลยอยากมาแชร์เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจและอาจจะเป็นตัวเลือกให้หลายๆคนที่กำลังมองหางานใหม่

ไปเริ่มกันเลย...

ย้อนไปช่วงกลางปี 2018 ราวๆเดือน มีนาคม ในขณะที่กำลังนั่งทำงานตัดต่อวีดีโอเอย โพสขายของให้ลูกค้าออนไลน์ พากย์เสียง(ผมเป็นฟรีแล้นซ์ครับ) แม่ผมก็มาเคาะประตูแล้วก็เล่าให้ฟังว่า เนี่ยเขาไปดูทีวีมาแล้วเจอว่ามีงานที่เรียกว่า “ช่างภาพเรือสำราญ” ตอนผมได้ยินครั้งแรกก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนะครับก็ยังนั่งทำงานอะไรของเราไป

ผ่านไปสักสัปดาห์นึงช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมมีงานฟรีแล้นซ์เข้ามาเยอะมาก ทำงานหนักมากครับยิ่งใครเป็นตัดต่อจะรู้ว่าเวลาต้องตัดงานรัวๆโหมันหนักจริง ตอนระหว่างเลนเดอร์งาน(รองานมันโหลดเสร็จ) ผมก็เลยแวะเสิชกูเกิ้ลหาข้อมูลเกี่ยวกับช่างภาพเรือสำราญ ปึปปัป ปรากฎณ์ก็ไปเจอบทความและคลิปเล่าความสำเร็จต่างๆ ผมเสิชทั้งของคนไทยและของชาวต่างชาตินะครับเพราะต้องการทราบข้อมูลจากหลายๆมุม ถ้าในมุมคนไทยจะบอกว่าหนัก ได้เที่ยว พอจะเก็บเงินได้ ส่วนในมุมฝรั่งโดยเฉพาะชาติอเมริกาเขาจะบอกว่า งานหนัก ได้เที่ยว ส่วนเรืองเงินอาจจะไม่ได้หรูหรามากเพราะโดยค่าเงินเขามันต่างจากเราด้วย...อะ โอเคได้ข้อสรุปตัวแปรสำคัญที่น่าสนใจคือ 1.ได้ฝึกภาษา 2.ได้ประสบการณ์ 3.ได้เที่ยว 4.ผลพลอยได้เป็นเรื่องของเงินเก็บ

เมื่อได้ข้อสรุปแล้วผมเดินหน้าหาข้อมูลครับส่าต้องทำอย่างไรบ้างสรุปสั้นๆตรงนี้เลยคือเราจะต้องไปสอบกับบริษัทเอเย่นในไทยเจ้านึง เขาจะให้เราสอบภาษาอังกฤษพื้นฐานและข้อสอบseaman เป็นข้อสอบลภาษาอังกฤษที่ใช้บนเรือนะครับ ถ้าเราผ่านตรงนี้ไปได้เราจะได้สัมภาษณ์เรื่องการถ่ายภาพของเราว่ามีประสบการณ์ยังไงบ้าง และทางเอเย่นจะเช็คพอร์ดงานเราเบื้องต้นด้วย ถ้าหากเขามองว่าโอเคคุณคือ the face คุณก็ด้ายยยยไปต่อ...

ผมผ่านการสัมภาษณ์ไปได้แบบม้วนเดียวจบโชคดีมากอาจเป็นเพราะบุญเก่าจากการดูซีรี่ฝรั่งบ่อยๆ บวกกับสิ่งที่ผมอ่านไปเตรียมตัวไป มันออกพอดีนะครับผมเองไม่ได้เก่งอะไรมากแต่ก็ต้องทำการบ้านเยอะพอสมควร เพราะต้องสารภาพตรงๆว่าผมไม่ได้เป็นช่างภาพมืออาชีพมาก่อนนะครับ เพราะปกติผมเป็น Creative director ทำพวกรายการทีวี เป็นช่างภาพวีดีโอ เป็นตัดต่อ และนักพากย์เสียง คือคนที่เป็นตากล้องภาพนิ่งจะรู้เลยว่ามันต่างจากการเป็นช่างภาพวีดีโอมาก เอาตรงๆเลยคือผมเริ่มจากศูนย์เหมือนหลายๆท่าน(ใครสนใจไว้หลังไมค์มาคุยกัน)

เอาละครับทีนี้พอเราผ่านขั้นตอนการคัดกรองจากเอเย่นในไทยแล้ว มาถึงProcessที่เราต้องสัมภาษณ์อีกรอบนึงกับ seniorของทางอเมริกาเลย ผมนี่ตื่นเต้นมากเหงื่อออกมือครับระหว่างนั่งสัมภาษณ์กับเขา ผมได้สัมภาษณ์กับฝรั่งชื่อว่า มาริค เป็นรุ่นใหญ่คนนึงของที่นั่น เขาก็ถามผมว่าเคยทำงานอะไรมาก่อน แล้วก็ถามความรู้ด้านการใช้กล้องต่างๆ...ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีครับหลักๆแล้วเขาจะดูว่าเราพูดภาษาสื่อสารได้ไหม แกรมม่าคุณไม่ต้องดีเลิศอะไรครับแค่ต้องรู้เรื่อง สรุปแล้วผมก็รอดตัวผ่านไปได้เอาจริงๆเขาแอบบอกผมตั้งแต่ตอนสัมภาษณ์เสร็จเลยว่า ยูผ่านดีใจด้วยแล้วเจอกัน...โมเม้นท์ตอนนั้นมันแบบว่า เชดดดด สะใจโว้ยยย555

เกริ่นมาซะนาน...ป่ะขึ้นเรือสักทีเหอะ

ได้ตั๋วเดินทางเสร็จสรรพปึปปับก็ตื่นเต้นมากเลยจะได้โกอินเตอร์กับเขาแล้วเว้ย จัดกระเป๋าเอาอาหารไทยไปนิดๆหน่อยๆคิดว่าเราคงปรับตัวได้เราไม่ใช่พวกเรื่องมากเท่าไหร่กินง่ายอยู่ง่าย ส่วนเรื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหนังเพลงและโปรแกรมที่ผิดกฎหมายทางเอเย่นก็กำชับไว้ว่าถ้าจะ play safeก็ให้ล้างออกให้หมด สรุปถือโน้ตบุคไปแบบเหมือนที่ทับกระดาษอันใหญ่ๆเพราะยิ้มไม่มีโปรแกรมHaไรเลย555

พอไปถึงที่นั่นก่อนที่เราจะได้ไปทำงานที่เรือเขาจะให้เราไปลงที่ประเทศเม็กซิโกก่อนเพื่อไป college ครับ(ผมเป็นรุ่นรองสุดท้ายที่ได้ไปเพราะปัจจุบันเขาให้มี collage บนเรือครับ) ในรอบที่ผมไปรอบนั้นเรามีคนไทยที่ผ่านการคัดเลือกมาถึง 5 คนครับทำให้ batch นั้นเราเป็นประชากรส่วนมากใน collegeนั้น

นี่คือภาพบรรยากาศตอนเราอยู่ที่ college ครับ

เทรนเนอขของพวกเราตอนนั้นเธอชื่อว่า จูเลีย เธอเป็นคนตลกมีอารมณ์ขันแต่ว่าในขณะเดียวกันเวลาทำงานก็จะซีเรียสมาก พวกเราเรียนการถ่ายภาพตั้งแต่พื้นฐานใช้แฟลชยังไง ใช้กล้องยังไง โพสท่าแขกยังไงให้ได้หลายๆท่าในเวลาจำกัด(ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษครับ) เรียนตอนเช้าตกดึกพวกเราก็เล่นน้ำในสระกินดื่มกัน ช่วงเวลานี้เรียกได้ว่ามันคือ “สวรรค์”

 

เดียวมาต่อนะครับผมยังมทีต่อ...to be continued
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่