คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าคุณไม่มีลูกไม่มีเมีย ผมคงแนะนำให้บวชได้ตามใจปราถนา แต่คุณมีลูกมีเมียแล้วคิดจะไปบวช นี้ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนว่าแท้จริงแล้ว
เราคิดทิ้งภาระหรือเปล่า ลูกเมีย จะเป็นยังงัยต่อไปละ คุณได้หาเงินไว้ให้เค้าเพียงพอแล้วหรือ และลูกจะไม่ขาดความอบอุ่นหรือ และถ้า
คุณทิ้งครอบครัวแล้ว อีกหน่อยบวชไปแล้วก็อาจจะไม่ทำหน้าที่ของพระภิกษุที่ดีก็ได้ เพราะการทิ้งภาระนี้ไม่ใช่การสละแต่อย่างใด แต่
เป็นการตามใจกิเลสซะมากกว่า เมื่อทิ้งได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็ทิ้งอีก นี้จิตใจจะขาดความมั่นคงไปก็ได้ ลองคิดดูให้ดีๆ...
การปฎิบัติธรรม หรือการบรรลุธรรม ชั้นพระโสดาบัน ฆาราวาสก็บรรลุธรรมได้ ลองศึกษาดูก่อน เราลองใช้ชีวิตไปแล้วลอง ปฎิบัติตนเอง
คือหมั่นฟังธรรม ทำบุญ ทำทานด้วยความสละออก รักษาศิล5 และสวดมนต์ เจริญสติสัมปชัญญะ หมั่นสำรวม กาย วาจา ใจ ให้สุจริตใน
ชีวิตประจำวัน เจริญอินทรีย์สังวรณ์ อสุภสัญญา อนิจจสัญญา นี้ทดลองปฎิบัติตนเองตามทาง มรรค8 ให้อยู่บนทางสายกลางให้ได้ก่อน
แล้วจะเข้าถึง ความสงบกายใจ หรือ เกิดสัมมาสมาธิหรือเกิดฌาน...ตรงนี้แหละที่ว่าเกิดบุญ คือได้สัมมาสมาธิ(ฌานขั้นต่างๆ) แต่เมื่อได้
สัมมาสมาธิแล้ว ก็เดินวิปัสสนาต่อ นี้ก็จะได้บุญสูงสุดคือรู้แจ้งกายใจและปล่อยวางกายใจได้ในที่สุด หรือ นิพพาน...นี้แหละทำไมการได้
สัมมาสมาธิหรือฌาน ถึงมีอานิสงค์สูง เพราะใกล้กับการได้มรรคผลนิพพานแล้วนั่นเอง...
ฉะนั้น ถ้าท่านยังมีภาระอยู่ ผมแนะนำว่า ควรทำหน้าที่ตนเองให้ดีให้สมบูรณ์ก่อน ดูแลครอบครัวให้ดีๆ แล้วก็ปฎิบัติธรรมไปด้วย ทำชีวิต
ครอบครัวให้มีความสุข การปฎิบัติธรรมในชีวิตเราเป็นการฝึก เจริญสติภาวนา เพื่อเรียนรู้กายใจ ฉะนั้นเป็นฆาราวาส ก็ปฎิบัตได้ และผัสสะ
ต่างๆที่มากระทบ ก็เป็นการฝึกฝนสติตนเองให้เท่าทันกิเลสในใจ นี้จึงไม่ต่องไปแสวงหาความสงบใดๆ แต่เราเพียงฝึกเจริญสติภาวนา เพื่อ
ให้จิตเราเกิดศิล และเท่าทันผัสสะและเวทนาต่างๆที่เกิดที่ใจ เสมอๆ นี้ก็เป็นการฝึกฝนกายใจเราให้เท่าทันกิเลสต่างๆที่เข้ามาสู่ใจเรา เพื่อ
ให้นิวรณ์ต่างๆสงบระงับ ทำให้จิตตั้งมั่นหรือเกิดสัมมาสมาธิได้ในที่สุดนี้แหละความสงบจากกิเลส...แล้ววันนึง ถ้าเราหมดภาระทางครอบครัว
แล้ว เราคิดจะบวชถึงตอนนั้นเราก็มีฐานจากการปฎิบัติธรรมที่ดี ก็สามารถบวชแล้วต่อยอดได้เลย หรืออาจจะอยู่ปฎิบัติธรรมในเพศฆาราวาส
อยู่กับครอบครัวก็ได้เช่นกัน เพียงแบ่งเวลาให้เป็นก็สามารถปฎิบัติธรรมได้ทุกที่ทุกเวลา...
เราคิดทิ้งภาระหรือเปล่า ลูกเมีย จะเป็นยังงัยต่อไปละ คุณได้หาเงินไว้ให้เค้าเพียงพอแล้วหรือ และลูกจะไม่ขาดความอบอุ่นหรือ และถ้า
คุณทิ้งครอบครัวแล้ว อีกหน่อยบวชไปแล้วก็อาจจะไม่ทำหน้าที่ของพระภิกษุที่ดีก็ได้ เพราะการทิ้งภาระนี้ไม่ใช่การสละแต่อย่างใด แต่
เป็นการตามใจกิเลสซะมากกว่า เมื่อทิ้งได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็ทิ้งอีก นี้จิตใจจะขาดความมั่นคงไปก็ได้ ลองคิดดูให้ดีๆ...
การปฎิบัติธรรม หรือการบรรลุธรรม ชั้นพระโสดาบัน ฆาราวาสก็บรรลุธรรมได้ ลองศึกษาดูก่อน เราลองใช้ชีวิตไปแล้วลอง ปฎิบัติตนเอง
คือหมั่นฟังธรรม ทำบุญ ทำทานด้วยความสละออก รักษาศิล5 และสวดมนต์ เจริญสติสัมปชัญญะ หมั่นสำรวม กาย วาจา ใจ ให้สุจริตใน
ชีวิตประจำวัน เจริญอินทรีย์สังวรณ์ อสุภสัญญา อนิจจสัญญา นี้ทดลองปฎิบัติตนเองตามทาง มรรค8 ให้อยู่บนทางสายกลางให้ได้ก่อน
แล้วจะเข้าถึง ความสงบกายใจ หรือ เกิดสัมมาสมาธิหรือเกิดฌาน...ตรงนี้แหละที่ว่าเกิดบุญ คือได้สัมมาสมาธิ(ฌานขั้นต่างๆ) แต่เมื่อได้
สัมมาสมาธิแล้ว ก็เดินวิปัสสนาต่อ นี้ก็จะได้บุญสูงสุดคือรู้แจ้งกายใจและปล่อยวางกายใจได้ในที่สุด หรือ นิพพาน...นี้แหละทำไมการได้
สัมมาสมาธิหรือฌาน ถึงมีอานิสงค์สูง เพราะใกล้กับการได้มรรคผลนิพพานแล้วนั่นเอง...
ฉะนั้น ถ้าท่านยังมีภาระอยู่ ผมแนะนำว่า ควรทำหน้าที่ตนเองให้ดีให้สมบูรณ์ก่อน ดูแลครอบครัวให้ดีๆ แล้วก็ปฎิบัติธรรมไปด้วย ทำชีวิต
ครอบครัวให้มีความสุข การปฎิบัติธรรมในชีวิตเราเป็นการฝึก เจริญสติภาวนา เพื่อเรียนรู้กายใจ ฉะนั้นเป็นฆาราวาส ก็ปฎิบัตได้ และผัสสะ
ต่างๆที่มากระทบ ก็เป็นการฝึกฝนสติตนเองให้เท่าทันกิเลสในใจ นี้จึงไม่ต่องไปแสวงหาความสงบใดๆ แต่เราเพียงฝึกเจริญสติภาวนา เพื่อ
ให้จิตเราเกิดศิล และเท่าทันผัสสะและเวทนาต่างๆที่เกิดที่ใจ เสมอๆ นี้ก็เป็นการฝึกฝนกายใจเราให้เท่าทันกิเลสต่างๆที่เข้ามาสู่ใจเรา เพื่อ
ให้นิวรณ์ต่างๆสงบระงับ ทำให้จิตตั้งมั่นหรือเกิดสัมมาสมาธิได้ในที่สุดนี้แหละความสงบจากกิเลส...แล้ววันนึง ถ้าเราหมดภาระทางครอบครัว
แล้ว เราคิดจะบวชถึงตอนนั้นเราก็มีฐานจากการปฎิบัติธรรมที่ดี ก็สามารถบวชแล้วต่อยอดได้เลย หรืออาจจะอยู่ปฎิบัติธรรมในเพศฆาราวาส
อยู่กับครอบครัวก็ได้เช่นกัน เพียงแบ่งเวลาให้เป็นก็สามารถปฎิบัติธรรมได้ทุกที่ทุกเวลา...
แสดงความคิดเห็น
ข้าพเจ้าจะสละทางโลก แล้วมาศึกษาทางธรรมดีไหม
ซึ่งในสังคมจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมตามที่ข้าพเจ้าประสงค์ได้
ซึ่งจะมีอุปสรรคอยู่เสมอ
ข้าพเจ้าเคยได้สัมผัสกับการมีความเย็นสบายที่แท้จริง คือ การไม่คิดอะไร
ไม่มีปัญหาใดๆให้คิด
ตื่นมาอาบน้ำ แปรงฟัน นั่งอยู่ใต้ต้นไม้
มองนก ฟังเสียงนก ฟังเสียงลม
หรือ ว่างจากการนั่งก็ลุกขึ้นมากวาดใบไม้ใต้ต้นไม้ ใช้ชีวิตช้าๆทีละอย่างไม่มีเรื่องให้คิด มันสบายมาก
ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองคิดว่า มันเป็นความสุขอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้พบมา ยิ่งกว่าการมีทรัพย์สินหรือครอบครองทรัพย์สินใดๆ มากกว่าไปเดินเที่ยวห้าง ซื้อรองเท้า เที่ยวต่างประเทศ ฯลฯ
ข้าพเจ้าจึงมีคำถามว่า
ข้าพเจ้าจะบวช หรือข้าพเจ้าจะทำงานในสังคมต่อไป
ซึ่งหากเลือกทำงานในสังคมต่อ มันจะเป็นความรู้สึกครึ่งๆกลางๆ อยากจะตามหาความสงบนิ่ง
แต่หากข้าพเจ้าเลือกที่จะบวช ครอบครัวลูกเมียของข้าพเจ้าจะอยู่ได้หรือไม่
แล้วมันจะขัดกับคำว่า ถือศีล227ข้อ 100ปี ก็ไม่ได้บุญเท่ากับการทำจิตให้ว่างเพียง 1 ครั้งไหมครับ
เพราะข้าพเจ้าพยายามนึกคิดอยู่เสมอว่าจะไม่บวช เพราะอาศัยจิตใจให้ว่างในชีวิตประจำวันให้มากๆ ก็ได้บุญมหาศาล มากกว่าการบวชเป็นพระเสียอีก แต่ในชีวิตจริง สังคมจริง ไม่สามารถทำได้เลย
ประกอบกับอีกเรื่องหนึ่ง คือ ข้าพเจ้าเคยศึกษา และพบคำกล่าวที่ว่า จะเป็นให้สุดในทางโลก กับทางธรรมพร้อมกันให้สุด เป็นไม่ได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดั่งคำว่า" ชีวิตคนเหมือนขึ้นสะพาน ต้องข้ามโค้งไปอีกทางจะถึงโลกุตระภูมิถ้าไม่สละโลกีย์ สละอดีต จะไม่มีวันถึงนิพพาน"
ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจได้อย่างหนักแน่นว่าต้องการที่จะบวชเป็นพระมากขึ้น
จึงต้องการสอบถามผู้ใช้บัญชีพันทิป ประกอบการตัดสินใจครับ