ต้องขอเล่าก่อนว่าเจ้าของกระทู้ปัจจุบันอายุ 34ปีค่ะ อดีตเคยทำงานแบงก์ที่ประเทศไทย ปัจจุบันแต่งงาน ย้ายมาอยู่กับสามีหมอเชื้อชาติเนปาล สัญชาติอังกฤษที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ย้ายมาอังกฤษแรกๆเมื่อปี2018 เราก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ป่วยหนัก โคม่า ใส่ทิวป์ช่วยหายใจอยู่ไอซียู แต่ก็รอดออกมาได้ ใช้ชีวิตอยู่กับยามะเร็ง(xalkori)ที่ต้องทานทุกวัน จนต้นปี 2019 ระหว่างกลับเมืองไทยไปเยี่ยมครอบครัว เกิดเส้นเลือดในสมองบวม (คุณหมอคาดว่ายามะเร็งเป็นต้นเหตุ) ต้องเข้ารับการผ่าตัดสมองที่ประเทศไทยกระทันหัน การผ่าตัดทำให้เราฟื้นขึ้นมาเป็นอัมพาตครึ่งซีก ซีกซ้ายไม่รู้สึกอะไรเลย เราใช้เวลาประมาณ1ปีในการกายภาพ ปัจจุบันพอเดินแบบไม่ใช้ไม้เท้าได้แล้วแต่จะถนัดกว่าถ้ามีอะไรให้เกาะ มือซ้ายจากที่บังคับไม่ได้เลย ปัจจุบันก็พอใช้ได้บ้างประมาณ 20-30% แต่ก็ยังอ่อนแรง บังคับทิศทางไม่ค่อยได้ หันซ้ายขวาเงยหน้าไม่ได้เพราะจะเวียนหัวทันที ต้องหันทั้งตัวเหมือนหุ่นยนต์ ทำให้ปัจจุบันเราไม่ได้ทำงานอะไร มีธุรกิจทุเรียนทอดเล็กๆที่ทำขายแก้เหงาเท่านั้น
เราฝ่าฟันทุกสิ่งใช้ชีวิตมาอย่างเข้มแข็งเพราะคนรอบข้างให้กำลังใจและสนับสนุนมาเสมอ เราไม่เคยเสียใจน้อยใจในโชคชะตาอะไรทั้งสิ้น เรายังเดินทางท่องเที่ยวและกลับไทยทุกปีเพื่อไปหาคุณแม่ เราใช้บริการของการบินไทยเท่านั้นตั้งแต่ป่วยเป็นมะเร็ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ปรกติอาจไม่สบายและต้องการความช่วยเหลือ ลูกเรือไทยน่าจะให้การช่วยเหลือได้ดีกว่าในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงการบินตรงเป็นทางเลือกที่สะดวกที่สุดสำหรับคนป่วย เดินไม่คล่อง และมือซ้ายพัง
จนกระทั่งวันนี้มาถึง เราตัดสินใจบินกลับอังกฤษ หลังจากเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆที่เมืองไทย เราเดินทางคนเดียวเพราะไม่มีใครว่างบินไปส่ง แน่นอนเราใช้บริการสายการบิน Thai Airways สายการบินแห่งชาติที่เราไว้ใจเช่นเดิม เที่ยวบินที่ TG910 BKK-LHR ออกเดินทางเวลา00.15 เช้าวันที่ 20/02/2020 เราใช้บริการ Wheelchair โดยแจ้งตรงเค้าท์เตอร์เช็คอิน ก่อนจะมีรถเข็นมารับ พนักงานจะแปะสติ๊กเกอร์สีม่วงตรงหน้าอกว่า MAAS ( Meet and Assist Service) เพื่อบอกให้รู้ว่าผู้โดยสารคนนี้ต้องการความช่วยเหลือ
พนักงานเข็นรถเข็นเรามาถึงหน้าเครื่องพร้อมๆกับมนุษย์ wheelchairท่านอื่นๆ ประมาณ 4-5คน เราได้ขึ้นเครื่องก่อนที่ผู้โดยสารปกติอื่นๆจะได้ขึ้นเครื่อง รถเข็นส่งเราได้แค่หน้าประตูเครื่อง เราต้องลากกระเป๋าเดินขึ้นเครื่องไปที่นั่งด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เรามีแค่เป้ที่มียา และกระเป๋าลากที่มีเพียงโน้ตบุ๊คและกล้องถ่ายรูป เราเดินไปถึงที่นั่ง 67K ซึ่งอยู่ท้ายๆของเครื่อง เราขอความช่วยเหลือจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
เรา : ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยยกกระเป๋าเก็บด้านบนให้หน่อยได้ไม๊คะ
พี่สจ๊วต : ช่วยกันนะครับ (เสียงดุเล็กน้อย)
เรา : ค่ะ (พร้อมใช้มือขวาที่ใช้งานได้ช่วยพี่เค้ายกกระเป๋าลาก โดยพยายามไม่ขยับคอเพราะเดี๋ยวอาการเวียนหัวจะมาเยี่ยม)
พี่สจ๊วต : ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ (เสียงดุกว่าเดิม)
เรา : พอดีเพิ่งผ่าสมองมาค่ะ (ตอบไปด้วยเสียงสั่น เพราะจะร้องแล้วจ้าาาา)
หลังจากนั้นพี่สจ๊วตก็ยกให้เรียบร้อยถามด้วยว่าจะเอาอะไรอีกไม๊ในกระเป๋า แต่ก็ไม่ได้ขอโทษนะ ที่สำคัญหลังจากเครื่องลงจอด เราก็ต้องลากกระเป๋าลงมาเอง เค้าหรือพนักงานต้อนรับคนอื่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร แม้เราจะรอให้ผู้โดยสารคนอื่นออกไปก่อนจนหมดเครื่องแล้วก็ตาม
คือเราเข้าใจพี่เค้านะ เค้าน่าจะคิดว่าเราเป็นพวกผู้โดยสารที่คิดว่าพนักงานต้อนรับมีหน้าที่ยกกระเป๋า เลยจะสอนเราว่านางไม่ได้มีหน้าที่นั้น แต่เค้าน่าจะลืมดูป้ายที่แปะบนอกเสื้อ หรือลืมคิดว่าทำไมเรามาขึ้นเครื่องได้ไวกว่าคนอื่น เพราะเราใช้อภิสิทธิ์ความเป็นเด็กอ้วนหรอ ถามว่าที่เราโพสต์เราอยากให้พี่เค้าโดนลงโทษหรอ คือเปล่านะ เราว่าพี่เค้าไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนั้น ถ้าเค้ารู้ว่าเราป่วยเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่คำพูดของพี่สจ๊วตทำให้เราจุก มันเหมือนตอกย้ำว่าเราพิการแล้ว เราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราก็ไม่เคยรู้ว่ามันจะทำให้เราเสียใจอะไรได้ขนาดนี้ เรากินอาหารไม่ลง เลยปฏิเสธอาหารที่เสริฟโดยบอกพี่แอร์ว่าอิ่มแล้ว เราน้ำตาซึม จนผู้โดยสารชาวอังกฤษข้างๆหันมาถามว่า Are you ok? เราก็คิดนะเรื่องแค่นี้ทำไมเราไม่โอเควะ เราได้ยินเสียงพี่สจ๊วต พูดว่า "ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ" "ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ" "ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ" วนลูปในหัวเป็นพันๆครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกของเราที่ขึ้นเครื่องแล้วนอนไม่หลับเลย ตลอด 12 ชม เราพยายามหลับแล้วโดยใช้ผ้าปิดตาแบบอุ่น ที่ใช้ได้ผลมาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ หลับตาแต่ในหัวก็วนลูปไป น้ำตาไหล คิดถึงชีวิตตอนปกติดี
ถามว่าเรื่องนี้ใครผิด ?
คนแรก เราเอง - เราเองที่ไม่พูดให้ชัดเจนตอนขอความช่วยเหลือ ถ้าต้องเดินทางคนเดียวอีกเราสัญญาเราจะพูดเลยว่า "ช่วยยกกระเป๋าให้ทีค่ะ ผ่าสมองมามือซ้ายพังค่ะ" แม้คำพูดนั้นจะตอกย้ำความพิการเราเอง ก็ดีกว่าถูกตอกย้ำโดยคนอื่น
เราผิดเองที่ดื้อดึงว่าจะเดินทางคนเดียวและมั่นใจเกินไป ต่อไปจะพยายามไม่เดินทางคนเดียว เจียมเนื้อเจียมตัวให้มากขึ้นว่าเราไม่ใช่คนปกติอีกต่อไปแล้ว
คนที่สอง พี่สจ๊วต - พี่สจ๊วตควรมีไหวพริบที่ดีกว่านี้และจากอายุพี่สจ๊วตก็น่าจะมีประสบการณ์ดีว่า ผู้โดยสารที่ได้ขึ้นมาก่อนเป็นผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือ และก็น่าจะเห็นป้ายMaaS ที่ถูกแปะไว้บนหน้าอกซ้าย คิดว่าเป็นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจแปะให้คนที่แอบชอบที่โรงเรียนวันวาเลนไทน์รึไง
สุดท้าย สายการบิน - การบินไทย ควรรับเรื่องนี้ไปพิจารณาจริงจัง การฝึกอบรมพนักงานบกพร่องรึเปล่าหรือระบบคุณไม่พร้อมสำหรับพนักงาน การที่ผู้โดยสารแจ้งว่าขอรถเข็นคนพิการ หรือต้องการความช่วยเหลือที่เค้าท์เตอร์ ข้อมูลนี้ควรต้องถูกส่งไปถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องให้ได้รับรู้ด้วยรึเปล่า ว่าผู้โดยสารเลขที่นั่ง นี้ๆ ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ Thai airways เป็นองค์กรที่มี service เป็นสินค้าหลัก เหตุการณ์แบบนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นมากๆ
เราเสียความรู้สึก และยังนอนไม่หลับจนถึงตอนนี้ ถ้าพรุ่งนี้ยังได้ยินเสียงพี่สจ๊วตอยู่อีก คิดว่าคงต้องจองคิวไปพบจิตแพทย์ เชื่อเราเถอะว่าไม่มีใครอยากได้ Piority และชี้นิ้วสั่งคนอื่นจนอยากเป็นคนพิการหรอก แต่เราเลือกไม่ได้จริงๆ คิดว่าเราไม่คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรอ เราขึ้นเครื่องบินน่าจะเกือบๆร้อยเที่ยวในชีวิตเราไม่เคยให้ใครช่วยอะไรเลย จนกลายเป็นแบบนี้
สามีบอกว่าสมน้ำหน้าที่ไม่นั่ง business class อย่างที่นางบอก นางชอบหาว่าเรางก เอาจริงๆ เราก็งกแหละ แต่ถามว่าบิน business จะแก้ปัญหานี้ได้จริงหรอ ถ้าเรื่องนี้เกิดตอนเราซื้อตั๋วหลักแสน แทนที่จะเป็นหลักหมื่น คงเศร้ากว่านี้อีก 8เท่า แล้วมันผิดหรอที่เราไม่มีงานทำไม่อยากใช้เงินสามีไปนั่ง Business เอาจริงๆถ้าจะบิน business เราว่าซื้อตั๋วไปกลับแบบธรรมดาให้ใครบินมาส่งน่าจะดีกว่า
ฝากถึงทุกๆคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพและกายภาพ เราต้องไม่ประมาทเวลาจะเดินทาง อย่ามั่นใจหรือไว้ใจว่าใครจะมาช่วยหรือดีกับเราตลอด ทางที่ดีหาคนที่รู้จักบินไปเป็นเพื่อนดีที่สุด อย่าดื้อและมั่นหน้ามั่นโหนกแบบเรา
ฝากถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องทุกคน ขอบคุณในทุกความช่วยเหลือที่เราเคยได้รับ เราเชื่อว่ามีพวกคุณจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้โดยสาร เราขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ และอยากบอกว่า เราไม่ได้เหมารวมว่าทุกคนจะเป็นแบบนี้
เราไม่ทราบชื่อพี่สจ๊วตค่ะ แต่มีภาพถ่าย และเชื่อว่าพี่รู้ตัว ไม่ต้องแก้ตัวค่ะ เพราะเราเข้าใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่พี่ทำ คือการ Bully ที่พี่ไม่ได้ตั้งใจ
ps ยืมแอคเค้าท์น้องสาวค่ะ เราอยู่อังกฤษถ้าจะใช้ได้เลยต้องยืนยันตัวตนทาง sms เลยสมัครให้น้องสาวซะเลย
โดนสจ๊วตการบินไทย bully ความพิการ ขณะขึ้นเครื่อง
เราฝ่าฟันทุกสิ่งใช้ชีวิตมาอย่างเข้มแข็งเพราะคนรอบข้างให้กำลังใจและสนับสนุนมาเสมอ เราไม่เคยเสียใจน้อยใจในโชคชะตาอะไรทั้งสิ้น เรายังเดินทางท่องเที่ยวและกลับไทยทุกปีเพื่อไปหาคุณแม่ เราใช้บริการของการบินไทยเท่านั้นตั้งแต่ป่วยเป็นมะเร็ง เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ปรกติอาจไม่สบายและต้องการความช่วยเหลือ ลูกเรือไทยน่าจะให้การช่วยเหลือได้ดีกว่าในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงการบินตรงเป็นทางเลือกที่สะดวกที่สุดสำหรับคนป่วย เดินไม่คล่อง และมือซ้ายพัง
จนกระทั่งวันนี้มาถึง เราตัดสินใจบินกลับอังกฤษ หลังจากเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆที่เมืองไทย เราเดินทางคนเดียวเพราะไม่มีใครว่างบินไปส่ง แน่นอนเราใช้บริการสายการบิน Thai Airways สายการบินแห่งชาติที่เราไว้ใจเช่นเดิม เที่ยวบินที่ TG910 BKK-LHR ออกเดินทางเวลา00.15 เช้าวันที่ 20/02/2020 เราใช้บริการ Wheelchair โดยแจ้งตรงเค้าท์เตอร์เช็คอิน ก่อนจะมีรถเข็นมารับ พนักงานจะแปะสติ๊กเกอร์สีม่วงตรงหน้าอกว่า MAAS ( Meet and Assist Service) เพื่อบอกให้รู้ว่าผู้โดยสารคนนี้ต้องการความช่วยเหลือ
พนักงานเข็นรถเข็นเรามาถึงหน้าเครื่องพร้อมๆกับมนุษย์ wheelchairท่านอื่นๆ ประมาณ 4-5คน เราได้ขึ้นเครื่องก่อนที่ผู้โดยสารปกติอื่นๆจะได้ขึ้นเครื่อง รถเข็นส่งเราได้แค่หน้าประตูเครื่อง เราต้องลากกระเป๋าเดินขึ้นเครื่องไปที่นั่งด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เรามีแค่เป้ที่มียา และกระเป๋าลากที่มีเพียงโน้ตบุ๊คและกล้องถ่ายรูป เราเดินไปถึงที่นั่ง 67K ซึ่งอยู่ท้ายๆของเครื่อง เราขอความช่วยเหลือจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
เรา : ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยยกกระเป๋าเก็บด้านบนให้หน่อยได้ไม๊คะ
พี่สจ๊วต : ช่วยกันนะครับ (เสียงดุเล็กน้อย)
เรา : ค่ะ (พร้อมใช้มือขวาที่ใช้งานได้ช่วยพี่เค้ายกกระเป๋าลาก โดยพยายามไม่ขยับคอเพราะเดี๋ยวอาการเวียนหัวจะมาเยี่ยม)
พี่สจ๊วต : ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ (เสียงดุกว่าเดิม)
เรา : พอดีเพิ่งผ่าสมองมาค่ะ (ตอบไปด้วยเสียงสั่น เพราะจะร้องแล้วจ้าาาา)
หลังจากนั้นพี่สจ๊วตก็ยกให้เรียบร้อยถามด้วยว่าจะเอาอะไรอีกไม๊ในกระเป๋า แต่ก็ไม่ได้ขอโทษนะ ที่สำคัญหลังจากเครื่องลงจอด เราก็ต้องลากกระเป๋าลงมาเอง เค้าหรือพนักงานต้อนรับคนอื่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร แม้เราจะรอให้ผู้โดยสารคนอื่นออกไปก่อนจนหมดเครื่องแล้วก็ตาม
คือเราเข้าใจพี่เค้านะ เค้าน่าจะคิดว่าเราเป็นพวกผู้โดยสารที่คิดว่าพนักงานต้อนรับมีหน้าที่ยกกระเป๋า เลยจะสอนเราว่านางไม่ได้มีหน้าที่นั้น แต่เค้าน่าจะลืมดูป้ายที่แปะบนอกเสื้อ หรือลืมคิดว่าทำไมเรามาขึ้นเครื่องได้ไวกว่าคนอื่น เพราะเราใช้อภิสิทธิ์ความเป็นเด็กอ้วนหรอ ถามว่าที่เราโพสต์เราอยากให้พี่เค้าโดนลงโทษหรอ คือเปล่านะ เราว่าพี่เค้าไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแบบนั้น ถ้าเค้ารู้ว่าเราป่วยเรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่คำพูดของพี่สจ๊วตทำให้เราจุก มันเหมือนตอกย้ำว่าเราพิการแล้ว เราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราก็ไม่เคยรู้ว่ามันจะทำให้เราเสียใจอะไรได้ขนาดนี้ เรากินอาหารไม่ลง เลยปฏิเสธอาหารที่เสริฟโดยบอกพี่แอร์ว่าอิ่มแล้ว เราน้ำตาซึม จนผู้โดยสารชาวอังกฤษข้างๆหันมาถามว่า Are you ok? เราก็คิดนะเรื่องแค่นี้ทำไมเราไม่โอเควะ เราได้ยินเสียงพี่สจ๊วต พูดว่า "ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ" "ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ" "ใช้มือซ้ายด้วยสิครับ" วนลูปในหัวเป็นพันๆครั้ง และนี่เป็นครั้งแรกของเราที่ขึ้นเครื่องแล้วนอนไม่หลับเลย ตลอด 12 ชม เราพยายามหลับแล้วโดยใช้ผ้าปิดตาแบบอุ่น ที่ใช้ได้ผลมาเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ หลับตาแต่ในหัวก็วนลูปไป น้ำตาไหล คิดถึงชีวิตตอนปกติดี
ถามว่าเรื่องนี้ใครผิด ?
คนแรก เราเอง - เราเองที่ไม่พูดให้ชัดเจนตอนขอความช่วยเหลือ ถ้าต้องเดินทางคนเดียวอีกเราสัญญาเราจะพูดเลยว่า "ช่วยยกกระเป๋าให้ทีค่ะ ผ่าสมองมามือซ้ายพังค่ะ" แม้คำพูดนั้นจะตอกย้ำความพิการเราเอง ก็ดีกว่าถูกตอกย้ำโดยคนอื่น
เราผิดเองที่ดื้อดึงว่าจะเดินทางคนเดียวและมั่นใจเกินไป ต่อไปจะพยายามไม่เดินทางคนเดียว เจียมเนื้อเจียมตัวให้มากขึ้นว่าเราไม่ใช่คนปกติอีกต่อไปแล้ว
คนที่สอง พี่สจ๊วต - พี่สจ๊วตควรมีไหวพริบที่ดีกว่านี้และจากอายุพี่สจ๊วตก็น่าจะมีประสบการณ์ดีว่า ผู้โดยสารที่ได้ขึ้นมาก่อนเป็นผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือ และก็น่าจะเห็นป้ายMaaS ที่ถูกแปะไว้บนหน้าอกซ้าย คิดว่าเป็นสติ๊กเกอร์รูปหัวใจแปะให้คนที่แอบชอบที่โรงเรียนวันวาเลนไทน์รึไง
สุดท้าย สายการบิน - การบินไทย ควรรับเรื่องนี้ไปพิจารณาจริงจัง การฝึกอบรมพนักงานบกพร่องรึเปล่าหรือระบบคุณไม่พร้อมสำหรับพนักงาน การที่ผู้โดยสารแจ้งว่าขอรถเข็นคนพิการ หรือต้องการความช่วยเหลือที่เค้าท์เตอร์ ข้อมูลนี้ควรต้องถูกส่งไปถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องให้ได้รับรู้ด้วยรึเปล่า ว่าผู้โดยสารเลขที่นั่ง นี้ๆ ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ Thai airways เป็นองค์กรที่มี service เป็นสินค้าหลัก เหตุการณ์แบบนี้จึงไม่ควรเกิดขึ้นมากๆ
เราเสียความรู้สึก และยังนอนไม่หลับจนถึงตอนนี้ ถ้าพรุ่งนี้ยังได้ยินเสียงพี่สจ๊วตอยู่อีก คิดว่าคงต้องจองคิวไปพบจิตแพทย์ เชื่อเราเถอะว่าไม่มีใครอยากได้ Piority และชี้นิ้วสั่งคนอื่นจนอยากเป็นคนพิการหรอก แต่เราเลือกไม่ได้จริงๆ คิดว่าเราไม่คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรอ เราขึ้นเครื่องบินน่าจะเกือบๆร้อยเที่ยวในชีวิตเราไม่เคยให้ใครช่วยอะไรเลย จนกลายเป็นแบบนี้
สามีบอกว่าสมน้ำหน้าที่ไม่นั่ง business class อย่างที่นางบอก นางชอบหาว่าเรางก เอาจริงๆ เราก็งกแหละ แต่ถามว่าบิน business จะแก้ปัญหานี้ได้จริงหรอ ถ้าเรื่องนี้เกิดตอนเราซื้อตั๋วหลักแสน แทนที่จะเป็นหลักหมื่น คงเศร้ากว่านี้อีก 8เท่า แล้วมันผิดหรอที่เราไม่มีงานทำไม่อยากใช้เงินสามีไปนั่ง Business เอาจริงๆถ้าจะบิน business เราว่าซื้อตั๋วไปกลับแบบธรรมดาให้ใครบินมาส่งน่าจะดีกว่า
ฝากถึงทุกๆคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพและกายภาพ เราต้องไม่ประมาทเวลาจะเดินทาง อย่ามั่นใจหรือไว้ใจว่าใครจะมาช่วยหรือดีกับเราตลอด ทางที่ดีหาคนที่รู้จักบินไปเป็นเพื่อนดีที่สุด อย่าดื้อและมั่นหน้ามั่นโหนกแบบเรา
ฝากถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องทุกคน ขอบคุณในทุกความช่วยเหลือที่เราเคยได้รับ เราเชื่อว่ามีพวกคุณจำนวนไม่น้อยที่ตั้งใจมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับผู้โดยสาร เราขอชื่นชมและเป็นกำลังใจให้ และอยากบอกว่า เราไม่ได้เหมารวมว่าทุกคนจะเป็นแบบนี้
เราไม่ทราบชื่อพี่สจ๊วตค่ะ แต่มีภาพถ่าย และเชื่อว่าพี่รู้ตัว ไม่ต้องแก้ตัวค่ะ เพราะเราเข้าใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่พี่ทำ คือการ Bully ที่พี่ไม่ได้ตั้งใจ
ps ยืมแอคเค้าท์น้องสาวค่ะ เราอยู่อังกฤษถ้าจะใช้ได้เลยต้องยืนยันตัวตนทาง sms เลยสมัครให้น้องสาวซะเลย