ดวงใจในไพรเถื่อน ตอน นายหมอของชาวไพร

กระทู้สนทนา
...............ทันทีที่ลงมาเหยียบยืนพื้น ป่าฝั่งนี้ทึบมาก ไม่รู้จะเดินย้อนไปทางแค้มป์ได้อย่างไร เกตุทำท่าไม่แน่ใจเสียแล้วเอามือกุมท้ายทอย แต่เห็นท่าทางหนักใจของเขาเลยหาเรื่องคุย เรื่องเดินกลับแค้มป์ค่อยคิดกันอีกทีดีกว่า

               “พี่หมอ โอเคนะคะ”  เขายิ้มอย่างอายๆ เอามือกุมเข่าไม่ให้สั่น

               “พี่หมอเดินป่ามาหลายปี ไม่เคยต้องผจญภัยขนาดนี้เลย  ส่องไฟลงไปข้างล่างยังไม่เห็นก้นเหวเลย ถ้าเกิดลงไปอันตรายมากเลย”

               “ก็อย่ามองลงไปสิคะ เมื่อกี้ตะเบ็งคอแทบแตก พี่หมอจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งทุกที ถ้าฉันไม่ช่วยดึงไว้ ป่านนี้คงลงไปนอนคุยอยู่กับอึ่งกับเขียดอยู่ข้างล่าง”

               “อืม นั่นสิ” เขาทำตาปริบๆ รู้ว่าเสียหน้ามาก เด็กสาวมองจิกด้านข้าง  รู้ว่าเขาหวงภาพการเป็นผู้นำคณะที่ต้องเก่งและแกร่งกว่าใคร   ทั้งที่ท่าทางสำรวยออกขนาดนี้ ดูยังไงก็ไม่ใช่นักเดินป่า 

               “อย่าสนใจมันเลยค่ะ ฉันว่าเราหาทางติดต่อพรรคพวกดีกว่า” หมอกฤษณ์ดีดนิ้วดังแป้ก  พยักหน้ารับ

               “พี่หมอลองดูเมื่อกี้แล้ว พื้นที่ตรงนี้อับสัญญาณ เราอยู่คนละฟากกับแค้มป์  ถ้ำนี้มันพาเราเดินลอดใต้ภูเขามา แต่พี่หมอคิดว่าถ้าเราเดินหา ที่ส่งสัญญาณถึงพวกเราได้นะ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องเดินให้พ้นการบดบังของภูเขาลูกนี้เสียก่อน” 

               “ถ้าเช่นนั้นก็อย่าช้าเลย”

               ที่ยืนกันอยู่เป็นหินลาดก้อนเดียว มีมอสจับเหมือนหุ้มด้วยกำมะหยี่สีเขียวที่มีความลื่น  ร่างปราดเปรียวของนักกีฬาสาวโน้มตัวไปข้างหน้า ใช้พื้นรองเท้าบู้ทหุ้มข้อแบบคอมแบทยันพื้นทรงตัวไว้ แล้วให้ตัวไหลลงไปพื้นดินด้านล่างอย่างมั่นคง  หมอกฤษณ์เลือกจะนั่งลง แล้วไถลตัวลงไปอย่างไม่กลัวเปื้อนเพื่อป้องกันการล้ม  

               เมฆเคลื่อนผ่านแสงจันทร์  ฉายให้เห็นร่างของนักกีฬาสาวที่ทิ้งการแข่งขันเพื่อออกติดตามหาน้องชายกลางป่า  เธอยืนเอามือขวาเท้าสะเอว ผ่อนน้ำหนักเท้าซ้าย ก่อนจะยกข้างเท้าข้างหนึ่งเหยียบขอนไม้ขวางหน้า  ด้วยท่าทางมุ่งมั่น หมอกฤษณ์แอบร้องว้าว  หมออย่างตนได้เห็นร่างกายคนมามากยอมรับว่า  สะโพกของเธอสวยมาก แล้วยังมีบุคลิกที่สมาร์ตเหมาะกับนักทำกิจกรรมกลางแจ้ง

               ท้องฟ้ายามนี้สีสันสดใสเหมือนน้ำทะเล ที่ใสจนเห็นปะการังเห็นปลาดาวจมในเม็ดทราย  แต่งแต้มด้วยริ้วสีขาวของคลื่นน้ำ   เบื้องบนหมู่เรือนยอดไม้สีเหลืองอร่ามจากแสงจันทร์  เบื้องล่างกลับให้ความรู้สึกน่าหวาดระแวงจากสุมทุมพุ่มพฤกษ์ของแมกไม้น้อยใหญ่  

               อากาศหนาวเหน็บสัมผัสผิวกายจนขนลุก ที่น่าหนักใจคือทั้งสองคนต้องยืนหยัดในป่าตามลำพังให้ได้  ว่าแล้วเด็กสาวที่สำนึกตนเป็นต้นเหตุของการพลัดหลงจากหมู่คณะครั้งนี้  จะต้องแก้ไขสถานการณ์ให้ได้  ยกแขนฉายไฟฉายกระบอกจิ๋วที่ได้มาจากมือพี่หมอมาส่องไปรอบทิศเพื่อหาทางไป เมื่อฉายไปกลับมาที่เพื่อนร่วมชะตากรรม พี่หมอยังคงเก้กังยืนมองขอนไม้ ที่ปีนข้ามกันมา คราวนี้มันขยับจนหินพลิก ไม่ได้อุปาทานไปเองแล้ว ขอนไม้ขยับเองได้

               คราวนี้หมอจอมสำรวยรีบถอยมารวมกับเธอ ขอนไม้ใหญ่พื้นสีดำในความมืด บางส่วนที่แสงจันทร์ส่องถึงเห็นเกล็ดเป็นมันคล้ายเกล็ดงูเพียงแต่มีสัดส่วนที่ใหญ่กว่างูทั่วไปมาก  ส่วนปลายซุกอยู่ในพง ที่ตอนนี้ไม้เล็กแหกลู่ตามการขยับตัว  เสียงก้อนหินพลิก  บัดนี้ไม่ต้องบอกกันทั้งสองชีวิตก็รู้ว่างูยักษ์ตัวเดิมที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนในถ้ำ ได้มาอยู่ที่นี่  มิหนำซ้ำยังทำตัวทอดเป็นสะพานให้ข้ามมาฝั่งนี้ได้อีก  มันชูคอขึ้นมาอาบแสงจันทร์เกล็ดเป็นมันระยับ  แล้วโน้มส่วนหัวลงด้วยดวงเนตรเรียวสีทอง  จ้องมาที่คู่หนุ่มสาว ปลายลิ้นแลบสัมผัสอากาศรับรู้กลิ่นของทั้งสอง 

               เกตุคว้าข้อมือหมอกฤษณ์ถอยออกมา เมื่อทั้งสองไม่อาจกระดุกกระดิก แทบไม่กล้าหายใจ  งูยักษ์ค่อยลดส่วนหัวอันมหึมาลง แล้วบ่ายหน้าไปอีกทิศทาง เสียงต้นไม้ล้ม ต้นแล้วต้นเล่าราวกับพายุใหญ่ หมอกฤษณ์กลั้นหายใจก่อนจะปล่อยออกมาอย่างโล่งอก เกตุยิ้มแก้มนูน ตนเองเชื่ออยู่แล้วงูตัวนี้จะไม่เป็นอันตรายกับพวกตน

               “พี่หมอกลัวหรือค่ะ”
               คำถามนี้ทำเอาคุณหมอต้องควักผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อทั้งที่อากาศเย็น
               “ไม่กลัวได้ไงคะ เราสองคนถูกกลืนทีเดียวได้สบายเลยนะ”

               ต่างหัวเราะขึ้นพร้อมกัน เมื่อหันไปมองปากถ้ำ หมดหนทางย้อนกลับแล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าเท่านั้น พอเดินไปได้ระยะหนึ่ง  เกตุดึงข้อมือพี่หมอ มาขอกดวิทยุสื่อสารเรียกไปยังแค้มป์ ใจหนึ่งก็ลุ้นว่าจะติดต่อได้ไหม ปรากฏว่าน้ำเสียงที่ตอบมาจากหมู่แม็ก ที่ออกสำรวจป่าตั้งแต่หัวค่ำแล้ว พวกเขาสามารถรับสัญญาณเรียกได้ 

               เกตุยืนคุยบอกต้นสายปลายเหตุอยู่นาน ตอนนี้ได้พลัดจากหมู่คณะกำลังต้องการความช่วยเหลือ  หมอกฤษณ์ยืนรอลุ้นไปด้วย ไม่นานก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้กองหาญศึกดังมาอีก เกตุรีบพูดบอกไปตอนนี้หลงป่า ทำเอาผู้กองดุกลับมา ไม่คาดคิดสองคนจะออกมาจากที่พักในตอนกลางคืน 
               “ขออภัยผู้กองด้วยครับ หมอผิดเองที่ชักชวนเธอออกมา อย่าดุเธอเลยนะครับ”

               “ไม่ต้องขอโทษครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัย ในตอนนี้ขอให้คุณหมอควบคุมสติไว้ก่อนนะครับ อย่าพึ่งเดินทางไปไกล จากจุดที่คุณหมอกับเกตุยืนอยู่ พวกผมต้องเดินอ้อมภูเขา เกือบห้ากิโลเมตร ตามระยะที่เครื่องของหมู่แม็กแจ้งไว้ ไม่ต้องกลัวครับ ไม่มีพลัดหลงแน่นอน”

               “ฝากผู้กอง แจ้งไปยังพี่อภิรักษ์ด้วยนะครับ ทางหมอสัญญาณติดภูเขาบัง”
               “รับทราบครับ  คุณหมอ”

               
               พูดคุยอีกครู่ จนแน่ใจไม่ได้ถูกตัดขาดจากหมู่คณะ หมอกฤษณ์กดปิดวิทยุสื่อสาร หันมายิ้มให้เพื่อนร่วมชะตากรรม  เกตุมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง มันเป็นของล้าสมัยไปเลย เมื่อเทียบกับของพี่หมอผู้ร่ำรวย มีเครื่องมือทันสมัยในการเดินป่า

               “นั่นไง! พี่หมอได้สัญญาณจากคุณสัณฑ์เธอด้วย” พอเร่งวอลลุ่มได้ยินโวยวายมาใหญ่ ทางนี้ได้แต่ยิ้มแหย ในเมื่อแอบย่องมาเที่ยวป่านอกที่พักในเวลากลางคืน  เป็นหัวหน้าคณะทำผิดกฎเสียเอง  ในตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมของอีกเจ็ดคนที่ตามเข้าไปในถ้ำด้วย

              
               "เหมือนกันเลย พี่หมอก็ถูกคุณสัณฑ์ต่อว่ามายกใหญ่” คุณหมอยิ้มเจื่อนให้เธอ นึกเป็นห่วงคนที่เหลือในถ้ำ เกตุช่วยพูดปลอบ ยังมั่นใจว่าคนทั้งหมดยังปลอดภัยดี

               อากาศภายนอกมันเย็นกว่าในถ้ำอีก รู้แบบนี้ไม่ดิ้นรนออกมายังจะดีกว่า  หายใจออกเป็นละอองน้ำ เกตุเขย่าตัวเอาฝ่ามือสีกันให้เกิดความอบอุ่น  หมอกฤษณ์ไม่รีรอจะถอดเสื้อคลุมขนมิ้งค์ตัวสวยให้เธอสวมใส่เพื่อกันหนาว 

               “เอ้านี่ ใส่ซะพี่หมอให้ รู้ใช่ไหมว่าป่าทางพม่าหนาวขนาดมีหิมะตก ถึงเราจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ที่มีหิมะตกก็เถอะ คลื่นอากาศหนาวเย็นมันแผ่ลงมาถึงที่นี่ได้”

               “ไม่ได้นะคะ เอามาให้ฉัน พี่หมอก็หนาวแย่สิ” 

               “ถ้าไม่ส่กันไว้จะเป็นปอดบวมเอานะ อุณหภูมิตอนนี้ลดต่ำมาก เกตุจะอยู่ไม่ถึงเช้า เสื้อของพี่หมอใส่ข้างในอีกหลายชั้น ยังทนไหว”

               เกตยิ้มอ่อน ไม่อยากเอ่ยขัดคำ ยอมให้เขาสวมเสื้อคลุมให้ ในความมืดใต้ป่าสน พอเงยหน้ามองท้องฟ้าสีนวลเย็นจับใจ  บรรยากาศให้เคลิ้มเหมือนอยู่ในความฝันที่ได้เดินทางรอนแรมในป่าร่วมกับเจ้าชายหนุ่มดวงตาสีฟ้า  เสียงหรีดหริ่งเรไร กำลังเร่งกรีดเสียงบรรเลงดนตรีป่า    เขาคงไม่เห็นหรอกว่า ฝ่ายหญิงแอบยิ้มอย่างพึงพอใจ ในความเป็นสุภาพบุรุษ

               “พี่หมอ... ลำบากแย่เลย”

               เสียงฝีเท้าย่ำไปในพื้นกรวดหินดังแสกสากหมอกฤษณ์มองหาความแหล่งสร้างอบอุ่นให้ร่างกาย เล็งฟืนมาก่อไฟไล่หนาวไว้แล้ว แถวนี้หาได้ไม่ยาก  

               “เราก่อไฟขึ้นที่นี่ดีกว่านะคะ”

 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 
ฝากกดติดตามรับชมด้วยนะคร้าบ  ช่องนี้กำลังเป็นต้นกล้าเพิ่งงอก  อย่าปลอยให้เฉาเพราะร้างไร้กดซับ  สับตะไคร้ ซอยพริกสด หอมแดงใส่ปลาประป๋อง 
กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเหาะว่าไปโน่น เเฮะๆ 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่