ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ ลูกหาบ และพ่อค้าแม่ค้าทุกๆคนนะคะ ขอให้ภูกระดึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมไวไว
เราไม่เคยคิดจะไปภูกระดึงเลย เพราะได้ยินกิตติศัพท์มาว่าโหดมาก จนวันนึงแม่บอกอยากไปภูกระดึงมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้ไป จนตอนนี้เดินไม่ไหวแล้ว เราก็เลยมาคิดว่าแล้วถ้าวันนึงเราเกิดอยากจะไปภูกระดึง แต่เราเดินไม่ไหวแล้วหละ คงจะเสียดายแน่ๆ เราเลยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องลองไปภูกระดึงสักครั้งให้ได้ จนเวลาผ่านมาจะสองปี ชายหนุ่มหาคนไปด้วยกันได้ ทริปภูกระดึงครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้น
ทริปนี้รูปไม่ค่อยเยอะ เน้นเดินให้ไหวไว้ก่อน
เราไปวันที่ 14-16 กุมภาพันธ์ 2563 ถือว่าเป็นช่วงโลวซีซั่น
การเตรียมตัว
-ร่างกาย สำคัญมากๆ ถ้าอยากเดินแบบไม่เหนื่อยมาก ควรออกกำลังกายก่อนไป เราดื้อ ไม่ยอมออกกำลังกายเลย ผลคือเหนื่อยง่ายมากๆ ขาขึ้นคือจะขาดใจแล้ว ฮือ
-เสื้อผ้า เลือกชุดที่ใส่สบาย ถ้าเป็นแขนขายาวก็จะดี เพราะช่วงที่เราไปแดดแรงมาก ตอนนี้แขนขาเป็นสองสีเลย ควรพกหมวก ผ้าบัฟไปด้วย (ผ้าบัฟเอาไว้กันฝุ่นด้วยนะ เพราะบนภูส่วนใหญ่จะเป็นพื้นทราย เดินแล้วฟุ้งไปหมดเลย)
-รองเท้า เอาที่ใส่สบายและมั่นใจไว้ก่อน ทริปนี้เดินเยอะมากๆ เราไม่ได้เช่าจักรยาน
เพิ่มเติม ช่วงที่เราไปคนไม่ค่อยเยอะ เลยไม่ต้องต่อคิวตามที่ต่างๆเลย เดินขึ้นลงสบายๆ อากาศก็ไม่หนาวเกินตอนกลางคืน แต่กลางวันร้อน แดดแรงมากๆ ต้นไม้ไม่ค่อยมีใบ น้ำตกน้ำก็ไม่มี
Day 0
เราจองตั๋วรถทัวร์ของ บขส. รอบ 21.30 น. ขึ้นรถที่หมอชิต ราคา 678.- ให้บอกเจ้าหน้าที่รถไว้ก่อนเลยว่าไปผานกเค้า/วังสะพุง มีจอดแวะให้เข้าห้องน้ำ ทานอาหารหนึ่งครั้ง
Day 1
ตีห้ากว่าๆ ถึงผานกเค้า เข้าร้านเจ้กิม ตรงเข้าไปหลังร้าน อาบน้ำ แต่งตัว (ฟรี) แล้วอุดหนุนอาหารเช้า กินให้อิ่มเลย ซื้อน้ำสักขวดติดตัวไปด้วยก็ดีนะ เสร็จแล้วก็ขึ้นรถสองแถวตรงนั้นเลย คนละ 30.- (รอรถเต็ม 10 คน) นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงที่ทำการ
เดินตรงเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ซื้อบัตรเข้า 40.- ประกัน 10.- แล้วก็เราได้จ่ายค่ากางเต็นท์ (เอาเต็นท์ไปเอง) 30.- เช่าหมอน 10.- แผ่นรอง 20.- ถุงนอน 30.- ล่วงหน้าไว้แล้ว ก็เอาใบเสร็จมายืนยันกับเจ้าหน้าที่ ส่วนใครที่ไม่ได้จองอะไรไว้ล่วงหน้า หรือจะเช่าเต็นท์จากที่นี่ก็สามารถจัดการได้ตอนนั้นเลย
จากนั้นเดินออกไปทางซ้าย เดินไปเรื่อยๆจะมีให้มัดจำค่าขยะ เขาจะถามเราว่ามีขวดน้ำและถุงขนมกี่ชิ้น เพื่อให้ขากลับเราช่วยเอาลงมาด้วย จากนั้นเอากระเป๋าไปให้ลูกหาบถือให้ กิโลกรัมละ 30.- โดยซื้อแท็กกระเป๋าก่อน ใบละ 5.- เขียนชื่อ จากนั้นเอากระเป๋าไปให้เขาชั่ง แล้วรับบัตรเก็บไว้เอากระเป๋าพร้อมจ่ายเงินบนภู อยากจะบอกว่า 30.- ไม่แพงเลย เห็นลูกหาบทีไรเหนื่อยแทนเขาทุกที พี่ๆเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แล้วก็อยากแนะนำว่าเอาของเท่าที่จำเป็นและคิดว่าจะได้ใช้จริงๆไปก็พอ ถ้าใครคิดว่าตัวเองเหนื่อยแน่ๆ ควรเดินแบบไม่มีของ หรือมีของแบบเบาที่สุด พร้อมน้ำสักขวดก็พอ เพราะเรานั้นเอาของไปเกินจำเป็น มีเป้เล็กหนัก 3 กิโลสะพายขึ้นภู และเดินเล่นบนภูด้วย อยากจะขว้างทิ้งแต่ทำไม่ได้ เป็นอะไรที่ฉุดพลังไปเยอะอยู่
พอเอากระเป๋าให้ลูกหาบแล้ว เราก็เริ่มเดินกันเลย 7.35 น. ออกตัว เดินขึ้นอย่างเดียวเลย ขึ้น ขึ้น และ ขึ้น มีทางราบเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่จะขึ้นอย่างเดียว ช่วงแรกๆจะเดินผ่านต้นไม้ที่แทบจะไม่มีใบเลย เลยค่อนข้างร้อนหน่อย กว่าจะถึงซำแรกก็นานเหมือนที่อ่านรีวิวมาเลย
เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ถ้าไหวก็ไปต่อ มีแวะอุดหนุนน้ำตามซำต่างๆ น้ำแดงมะนาวโซดา 40.- กินแล้วชื้นใจ
พอเดินไปซักระยะ ต้นไม้ก็เริ่มมีใบหน่อย ช่วงนี้จะต้องไต่หิน และบันไดขึ้นไป
จนเวลา 12.00 น. เราก็ถึงหลังแปจนได้!! นั่งพัก แล้วไปถ่ายรูปกับป้าย โชคดีที่มาช่วงที่ไม่ค่อยมีคน เลยไม่ต้องต่อคิวถ่ายรูปเลย จากนั้นก็เดินต่ออีก 3 กิโล เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกยาวนานมาก พื้นบนนี้เป็นพื้นทราย เวลาเดินจะยวบลงไป ทำให้ทำเวลาไม่ค่อยได้ บวกกับเวลาเที่ยงกว่าๆ แดดส่องตรงๆ เงาต้นไม้ไม่ค่อยมี เลยรู้สึกยาวนานกว่าเดิม เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที
ในที่สุดบ่ายโมงนิดๆ เราก็ถึงที่ทำการด้านบน เดินหาที่กางเต็นท์ ข้างบนนี้ลมแรงมาก อากาศเย็นตรงที่ไม่โดนแดด เราเลือกกางหลังที่ทำการเลย เดินเข้าไปลึกหน่อย กางใต้ต้นไม้
จากนั้นก็หาข้าวกินกัน เดินไปอีกหน่อย จะมีร้านเรียงกันเป็นตัวยู เรากินร้านฝั่งขวา เริ่มต้นที่ 60.- อิ่มท้องแล้ว ก็ไปนอนรอกระเป๋าที่ศาลา พี่เขาบอกว่าพอลูกหาบมาถึงแล้วเขาต้องรอเจ้าของมาเอากระเป๋าพร้อมจ่ายเงินทุกใบ เขาถึงจะกลับ เราไม่อยากให้เขารอ เลยนอนรอตรงนั้นเลย ถือว่าพักร่างกายไปเลย ลมพัดเย็นๆ รอจนจะสี่โมงเย็นกระเป๋าก็มา แยกย้ายกันอาบน้ำ น้ำเย็นมาก ลมพัดด้วย สั่นไปเลย
ห้าโมงกว่าๆก็เดิน 2 กิโล ไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก เดินไปเรื่อยๆตามๆกันไป เสร็จแล้วก็เดินกลับ
มื้อเย็นเราเปลี่ยนมากินอาหารฝั่งซ้าย ซึ่งกลายเป็นร้านประจำไปเลย แน่นอนว่าเราเลือกกินสิ่งที่ทุกคนพูดถึง นั่นคือหมูกระทะ ชุดใหญ่ 500.- มีข้าวผัดไข่ และชาร้อนแถมด้วย นอกจากนี้สามารถชาร์จแบตได้ฟรีด้วยนะ
***ต่อในความคิดเห็นนะคะ
[เที่ยวไทย] ภูกระดึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม: 14-16 กุมภาพันธ์ 2020
-ร่างกาย สำคัญมากๆ ถ้าอยากเดินแบบไม่เหนื่อยมาก ควรออกกำลังกายก่อนไป เราดื้อ ไม่ยอมออกกำลังกายเลย ผลคือเหนื่อยง่ายมากๆ ขาขึ้นคือจะขาดใจแล้ว ฮือ
-เสื้อผ้า เลือกชุดที่ใส่สบาย ถ้าเป็นแขนขายาวก็จะดี เพราะช่วงที่เราไปแดดแรงมาก ตอนนี้แขนขาเป็นสองสีเลย ควรพกหมวก ผ้าบัฟไปด้วย (ผ้าบัฟเอาไว้กันฝุ่นด้วยนะ เพราะบนภูส่วนใหญ่จะเป็นพื้นทราย เดินแล้วฟุ้งไปหมดเลย)
-รองเท้า เอาที่ใส่สบายและมั่นใจไว้ก่อน ทริปนี้เดินเยอะมากๆ เราไม่ได้เช่าจักรยาน
เพิ่มเติม ช่วงที่เราไปคนไม่ค่อยเยอะ เลยไม่ต้องต่อคิวตามที่ต่างๆเลย เดินขึ้นลงสบายๆ อากาศก็ไม่หนาวเกินตอนกลางคืน แต่กลางวันร้อน แดดแรงมากๆ ต้นไม้ไม่ค่อยมีใบ น้ำตกน้ำก็ไม่มี
Day 0
เราจองตั๋วรถทัวร์ของ บขส. รอบ 21.30 น. ขึ้นรถที่หมอชิต ราคา 678.- ให้บอกเจ้าหน้าที่รถไว้ก่อนเลยว่าไปผานกเค้า/วังสะพุง มีจอดแวะให้เข้าห้องน้ำ ทานอาหารหนึ่งครั้ง
Day 1
ตีห้ากว่าๆ ถึงผานกเค้า เข้าร้านเจ้กิม ตรงเข้าไปหลังร้าน อาบน้ำ แต่งตัว (ฟรี) แล้วอุดหนุนอาหารเช้า กินให้อิ่มเลย ซื้อน้ำสักขวดติดตัวไปด้วยก็ดีนะ เสร็จแล้วก็ขึ้นรถสองแถวตรงนั้นเลย คนละ 30.- (รอรถเต็ม 10 คน) นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงที่ทำการ
จากนั้นเดินออกไปทางซ้าย เดินไปเรื่อยๆจะมีให้มัดจำค่าขยะ เขาจะถามเราว่ามีขวดน้ำและถุงขนมกี่ชิ้น เพื่อให้ขากลับเราช่วยเอาลงมาด้วย จากนั้นเอากระเป๋าไปให้ลูกหาบถือให้ กิโลกรัมละ 30.- โดยซื้อแท็กกระเป๋าก่อน ใบละ 5.- เขียนชื่อ จากนั้นเอากระเป๋าไปให้เขาชั่ง แล้วรับบัตรเก็บไว้เอากระเป๋าพร้อมจ่ายเงินบนภู อยากจะบอกว่า 30.- ไม่แพงเลย เห็นลูกหาบทีไรเหนื่อยแทนเขาทุกที พี่ๆเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ แล้วก็อยากแนะนำว่าเอาของเท่าที่จำเป็นและคิดว่าจะได้ใช้จริงๆไปก็พอ ถ้าใครคิดว่าตัวเองเหนื่อยแน่ๆ ควรเดินแบบไม่มีของ หรือมีของแบบเบาที่สุด พร้อมน้ำสักขวดก็พอ เพราะเรานั้นเอาของไปเกินจำเป็น มีเป้เล็กหนัก 3 กิโลสะพายขึ้นภู และเดินเล่นบนภูด้วย อยากจะขว้างทิ้งแต่ทำไม่ได้ เป็นอะไรที่ฉุดพลังไปเยอะอยู่
จากนั้นก็หาข้าวกินกัน เดินไปอีกหน่อย จะมีร้านเรียงกันเป็นตัวยู เรากินร้านฝั่งขวา เริ่มต้นที่ 60.- อิ่มท้องแล้ว ก็ไปนอนรอกระเป๋าที่ศาลา พี่เขาบอกว่าพอลูกหาบมาถึงแล้วเขาต้องรอเจ้าของมาเอากระเป๋าพร้อมจ่ายเงินทุกใบ เขาถึงจะกลับ เราไม่อยากให้เขารอ เลยนอนรอตรงนั้นเลย ถือว่าพักร่างกายไปเลย ลมพัดเย็นๆ รอจนจะสี่โมงเย็นกระเป๋าก็มา แยกย้ายกันอาบน้ำ น้ำเย็นมาก ลมพัดด้วย สั่นไปเลย
***ต่อในความคิดเห็นนะคะ