เป็นทริปที่ไปตั้งแต่ปี 2555 แต่เพิ่งได้เขียนกระทู้ก็วันนี้แหละครับ รูปทั้งหมดได้จากกล้องมือถืออีกเช่นเคย
ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะเดินทางไปภูกระดึงให้ได้ก่อนจะแก่กว่านี้แล้วไปไม่ไหว และงานที่ไปช่วยเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องมีเราก็ได้เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนกระทันหันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไปภูกระดึง พอตั้งใจว่าจะไปภูกระดึงสิ่งแรกที่ทำคือเข้า google ค้นหาการเดินทาง เส้นทางการเดินขึ้นภูกระดึง ที่พัก อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมไปกัน พอได้ข้อมูลเบื้องต้นมาบ้างก็ตัดสินใจ เก็บกระเป๋าก็เหมือนเดิมใช้เป้แค่ใบเดียวเพราะไม่รู้ว่าจะต้องแบกเป้เที่ยวเหมือนทุกครั้งมั้ย? เราเลือกที่จะเดินทางวันธรรมดาเพราะคนน่าจะน้อยหน่อย ตัดสินใจออกเดินทางจากกรุงเทพฯ คืนวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555
ข้อมูลการเดินทาง
เราเลือกเดินทางด้วยรถทัวร์เพราะคิดว่าประหยัดและเร็วที่สุด จากหมอชิต 2 ไปถึงผานกเค้า (ที่จอดสำหรับคนที่ขึ้นภูกระดึง) มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้น (อันนี้ไปเดินถามที่หมอชิตมาด้วย) ก็คือ แอร์เมืองเลยกับภูกระดึงทัวร์ เราเลือกแอร์เมืองเลยเพราะมีรอบดึกที่สุด 22.35 น. จะไปถึงที่ผานกเค้าเกือบ 6 โมงจะได้ไม่ต้องรอนาน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง)
พอถึงคนบนรถลงเกือบหมดสิ่งแรกที่กลัวคือคนเยอะ พอลงไปที่ร้านเจ้กิมเจอผู้คนที่เตรียมขึ้นภูกระดึงอีกมากมาย ความรู้สึกแรกอยากกลับบ้าน เพราะไม่ค่อยชอบเที่ยวท่ามกลางผู้คนเยอะๆ แต่ก็คิดว่ามาถึงแล้วจะกลับทำไม เราเลือกเติมพลังด้วยข้าวแกง อาหารร้านเจ้กิมก็อร่อยนะ แต่ข้าวแกงตอน 6 โมงก็ไม่ไหวอะ กินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม รีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วก็แบกเป้ไปที่รถสองแถวที่มาจอดรอ เราเลือกที่จะจอยไปกับคนอื่นเพราะคิดว่าเรามาแบบลุยๆจะเหมาทำไม ถ้าใครจะเหมาก็แค่ 300 บาทเองนะ แต่ถ้าจอยไปกับคนอื่นค่าโดยสารจะแปรผันตามจำนวนผู้โดยสาร ทั้งคันมีไป 10 คนก็เสียคนละ 30 บาทพอดี นั่งสองแถวเช้าๆแบบนี้บอกเลยว่าหนาวมาก ลมตีจนปากสั้นเลยประมาณ 30 นาทีก็ถึง
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ถ้าเรียกง่ายๆก็ตีนภูกระดึงนั่นเอง เราก็มาครั้งแรกยังรีบพุ่งตัวไปก่อนใครอีก จุดแรกที่เราจะไปคือไปฝากกระเป๋า เพราะยังไม่รู้ว่าเราจะแบกร่างขึ้นไปถึงข้างบนไหวหรือไม่ สิ่งแรกที่คนมาครั้งแรกต้องจำคือ คุณต้องซื้อแท็กติดกระเป๋าก่อน
เขียนรายละเอียดตามที่มีให้ครบ แล้วรีบมาต่อแถวเพื่อชั่งน้ำหนัก จากนั้นคุณจะได้ใบรับกระเป๋ามาตามจำนวนกระเป๋าที่คุณฝากลูกหาบ ของเรา 1 ใบ หนัก 5 กิโลกรัม (จริงๆ ก็แค่ 4.5 กิโลกรัมเองนะ) ค่าหาบของตอนนี้กิโลกรัมละ 30 บาท คุณไปจ่ายข้างบนตอนที่ได้รับกระเป๋าแล้ว จากนั้นให้เดินย้อนมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ตอนนี้ยัง 40 บาทอยู่นะ ถ้าไม่ได้นำเต้นท์มาเองก็ติดต่อขอเช่าเต้นท์ได้ที่นี่ ถ้านำมาเองก็จ่ายค่าธรรมเนียมการกางเต้นท์ที่นี่เหมือนกัน จากนั้นใครอยากเข้าห้องน้ำอีกรอบก็มีบริการไว้ให้ เดินมาเรื่อยๆ จะมีจุดให้ถ่ายรูปทั้ง "ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตภูกระดึง"
พอเดินมาถึงแล้วมือใหม่ทั้งหลายก่อนที่จะผ่านซุ้มประตูที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ทางด้านขวาจะมีศาลเจ้าปู่ภูกระดึง
ให้แวะไปสักการะก่อนก็จะดี จากนั้นก็ลงเวลาว่าเราเริ่มขึ้นเขากี่โมง ของเรา 7.50 น. มาพร้อมเด็กๆ มัธยมที่มาทัศนศึกษากันกลุ่มใหญ่มาก เสียงดังมาก ถ่ายรูปกันสนุกสนานมาก เราก็เลยสนุกไปด้วย เดินไล่ตามเด็กๆ ไปเรื่อยๆ ระยะทางขึ้นเขาแค่ 5.5 กิโลเมตรเท่านั้น เราสนุกกับการเดินตามเดินแซงเด็กๆมาเรื่อยๆ ถึงปางกกค่า 8.00 น. ตอนนี้จากหนาวๆเมื่อกี้กลายเป็นเหงื่อท่วมตัวเลย ตอนแรกคิดว่าสงสัยจะไม่รอดแน่ แต่ก็ไม่นั่งเพราะการนั่งพักทันทีอาจทำให้เป็นตะคริวได้ทันที (หากอยากนั่งพักจริงๆ ให้ยืนนิ่งๆ สักพักก่อนแล้วค่อยๆนั่งลง ตอนนั่งกับตอนลุกขึ้นให้หายใจเข้า-ออกปกติอย่ากั้นหายใจ อาจจะเกิดอาการหน้ามืดได้) เราเริ่มเดินตามเด็กๆ อีกครั้งมาถึงจุดชันซะละ ปีนมาได้ซักพัก "ซำแฮก" นี่เอง
ตอนนี้เข้าใจเลย แฮกจริงๆ มาถึงเวลา 8.10 น. เราเลือกที่จะเดินต่อ เราเริ่มเดินแซงเด็กๆมาหลายกลุ่มละ และก็มาถึง "ซำบอน" เวลา 8.29 น. ยังไหวเดินต่อดีกว่าอีกพักเดียวก็ถึง "ซำกกกอก" เวลา 8.34 น. และเดินต่อมายัง "ซำกอซาง" เวลา 8.40 น. ตัดสินใจแวะพักกินน้ำแข็งไสสักถ้วยราคาก็ไม่ได้แพงอะไร 20 บาทเท่านั้น
ออกจากร้านมาตอน 8.53 น. เดินมาถึง "พร่านพรานแป" เวลา 8.59 น. ช่วงนี้จะมีทางเดินมีราวเหล็กให้เกาะด้วย เราเห็นเด็กๆ ไปทางที่ไม่มีราวเราก็เลือกเดินตามปีนไปปีนมามันเป็นทางตรงทะลุขึ้นไปเลย บางช่วงต้องมีการปีนข้ามราวเหล็กด้วย ทำให้เราใช้เวลาไม่นานก็ถึง "ซำกกหว้า" เวลา 9.07 น. ลุยต่อไปยัง "ซำกกไผ่" เวลา 9.16 น. และ "ซำกกโดน" เวลา 9.24 น. ลุยแซงเด็กๆมาหมดแล้ว ไม่มีเด็กละเหลือแต่ลูกหาบกับผู้ใหญ่อีก 2-3 คน สักพักมาถึง "ซำแคร่" เวลา 9.33 น. จากนั้นก็ต้องปีนกันอีกรอบแล้ว ทางชันมาก ต้องหลบให้ลูกหาบไปก่อนด้วย (ถ้ามาเห็นคุณจะรู้ว่าทำไมต้องหลบให้ลูกหาบก่อน)
ขึ้นมาก็มาถึง "หลังแป" เวลา 10.15 น. มีป้ายผู้พิชิตภูกระดึงอีกครั้ง โชคดีที่เที่ยวคนเดียวบ่อยก็เลยต้องใช้กล่องหน้าถ่ายตัวเอง จากนั้นก็งงงงเล็กน้อยกว่าจะรู้ว่าเดินไปทางไหน เราเดินตามลูกหาบที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเข็นรถแทนละ จากที่เหนื่อยๆ ตอนนี้เมามันกับการถ่ายรูป เดินกินลมชมวิว ระยะทางจากหลังแปมาถึง "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง" ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร มีผู้คนที่กำลังเดินทางกลับก็ให้กำลังใจกันอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว นี่แหละมิตรภาพที่ได้จากการท่องเที่ยว เรามาถึงที่ศูนย์วังกวางเวลา 11.05 น. มาถึงเป็นคนที่ 2 เราใช้เวลาจากศรีฐานถึงหลังแป 2.25 ชั่วโมง และใช้เวลาจากหลังแปถึงวังกวาง 50 นาที
การเลือกเต้นท์
เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลดีมาก บอกเราว่ามาถึงก่อนเลือกเต้นท์ก่อนเลย เดี๋ยวค่อยมาเช่าเครื่องนอน อยากได้เงียบๆ ก็เลือกด้านหลัง ถ้าอยากได้สบายๆ ไม่มีทากก็เลือกด้านหน้าแต่คนเยอะ เสียงดัง วุ่นวาย เราเลือกเต้นท์อยู่นานก็ถูกใจโซนไกลผู้คน เงียบ แต่เจ้าหน้าที่บอกทากเยอะ อืม...ขอเงียบละกันนะ ได้เต้นท์แล้วเราก็ปิดเต้นท์ (เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเต้นท์ปิดแสดงว่ามีคนจองแล้ว) เราก็เดินไปมารอกระเป๋า อยากอาบน้ำมาก ร้อนสุดๆ
อาหารการกิน
ด้านบนมีร้านอาหารไว้บริการมากมายหลายร้าน มาครั้งแรกยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน ก็เลยเดินดู 1 รอบก่อนที่จะเข้ามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (จำชื่อร้านไม่ได้) ราคาเท่ากับทุกร้าน 60 บาท แต่เขาขายโค้กเราขวดละ 40 บาท น้ำเปล่าขวดใหญ่ 60 บาท ก็เลยกินร้านนี้แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเราฝากท้องทุกมื้อและของทุกอย่างเราก็ซื้อที่ร้านพี่โจ้-พี่ยุทธ (ฉวาง นครศรีธรรมราช) พี่ๆใจดีมาก อาหารจานเดียวก็ 60 บาทเท่าร้านอื่น แต่ปริมาณเกินอิ่มเชียว โค้กก็แค่ 30 บาทเอง น้ำดื่มขวดใหญ่ 50 บาท ทุกร้านจะมีบริการชาร้อนไว้ให้ฟรี เพราะหนาวมาก ถ้ามากันเยอะหน่อยแล้วอยากกินหมูกระทะก็ดีนะ สนุกและอุ่นดี ราคาก็ชุดเล็ก 300 บาท ชุดใหญ่ 500 บาท ทุกร้านราคาเท่ากัน
รับสัมภาระและจ่ายเงินให้ลูกหาบ
เราต้องเดินไปรับกระเป๋าที่จุดรับ-ส่งสัมภาระเท่านั้นจะไม่มีบริการมาส่งถึงเต้นท์ เพราะไม่รู้ว่าเรานอนเต้นท์ไหน จ่ายเงินให้ลูกหาบแล้ว ขอบคุณพี่ๆ เขาด้วยนะ อย่างน้อยก็อย่าไปโกรธเขาที่ได้กระเป๋าช้านะ
ห้องน้ำและห้องสุขา
มีบริการหลายจุดมาก ใกล้อันไหนก็เลือกเข้าอันนั้นเลย การใช้ห้องน้ำ-ห้องส้วมร่วมกันก็ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยจะดีมาก เพราะแม่บ้านทำไม่ทันแน่ แต่ละจุดไกลกันพอสมควร สิ่งที่ต้องบอกไว้เลยก็คือน้ำเย็นมาก โดนไปทีสะดุ้งเลย แต่ถ้าอยู่หลายวันจะปรับตัวได้เอง เราอยู่ 4 วัน 3 คืนก็สบายๆ ละ แต่เห็นป้ายว่ากำลังติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ เนื่องจาก ทางอุทยานมีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพิ่มขึ้น
การชาร์ตมือถือและกล้อง
ทางอุทยานได้จัดระเบียบไว้เป็นอย่างดีแล้วและมีบริการที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เสียค่าบริการครั้งละ 20 บาท ชาร์ตได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เวลาให้บริการ 5.00 - 22.00 น. ไม่มีการฝากข้ามคืน อันนี้ทุกคนต้องเข้าใจด้วยว่าถ้าช่วงคนเยอะก็ต้องรอบ้าง อย่าวีนเจ้าหน้าที่นะครับ หรือไปฝากชาร์ตตามร้านอาหารได้ครับ แต่เราไม่รู้ราคาค่าใช้จ่ายนะ
สถานที่ท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวบนภูกระดึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่พักด้วยนะ เราพัก 4 วัน 3 คืน ได้เที่ยวครบตามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีบอร์ดประชาสัมพันธ์ และมีของแถมได้เข้าป่าปิดด้วย
วันแรก
ผาหมากดูก อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.3 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมอาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก เราเช่าจักรยานขี่ไปในราคา 40 บาทแบบไม่มีเกียร์ บรรยากาศเหมาะกับการชมอาทิตย์ตกจริงๆ มีร้านค้าให้บริการด้วย ควรเตรียมไฟฉายและเสื้อกันหนาวไปด้วย
ผาจำศีล อยู่ห่างจากผาหมากดูก 600 เมตร เราเลือกเดินไปเพราะจะได้ถ่ายรูปง่ายกว่าปั่นจักรยาน เป็นผาเล็กๆ เหมาะกับการชมอาทิตย์ตกเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีใครนิยม
วันที่สอง
ผานกแอ่น อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2 กิโลเมตร และห่างจากหลังแป 2.5 กิโลเมตร ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่นเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย
ลานวัดพระแก้ว หลังจากชมอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลานหินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพากันออกดอกอยู่เกลื่อนลาน
ลุยเดี่ยวเที่ยวภูกระดึงครั้งแรกในชีวิต
ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะเดินทางไปภูกระดึงให้ได้ก่อนจะแก่กว่านี้แล้วไปไม่ไหว และงานที่ไปช่วยเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องมีเราก็ได้เลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนกระทันหันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยไปภูกระดึง พอตั้งใจว่าจะไปภูกระดึงสิ่งแรกที่ทำคือเข้า google ค้นหาการเดินทาง เส้นทางการเดินขึ้นภูกระดึง ที่พัก อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมไปกัน พอได้ข้อมูลเบื้องต้นมาบ้างก็ตัดสินใจ เก็บกระเป๋าก็เหมือนเดิมใช้เป้แค่ใบเดียวเพราะไม่รู้ว่าจะต้องแบกเป้เที่ยวเหมือนทุกครั้งมั้ย? เราเลือกที่จะเดินทางวันธรรมดาเพราะคนน่าจะน้อยหน่อย ตัดสินใจออกเดินทางจากกรุงเทพฯ คืนวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555
ข้อมูลการเดินทาง
เราเลือกเดินทางด้วยรถทัวร์เพราะคิดว่าประหยัดและเร็วที่สุด จากหมอชิต 2 ไปถึงผานกเค้า (ที่จอดสำหรับคนที่ขึ้นภูกระดึง) มีเพียง 2 บริษัทเท่านั้น (อันนี้ไปเดินถามที่หมอชิตมาด้วย) ก็คือ แอร์เมืองเลยกับภูกระดึงทัวร์ เราเลือกแอร์เมืองเลยเพราะมีรอบดึกที่สุด 22.35 น. จะไปถึงที่ผานกเค้าเกือบ 6 โมงจะได้ไม่ต้องรอนาน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง)
พอถึงคนบนรถลงเกือบหมดสิ่งแรกที่กลัวคือคนเยอะ พอลงไปที่ร้านเจ้กิมเจอผู้คนที่เตรียมขึ้นภูกระดึงอีกมากมาย ความรู้สึกแรกอยากกลับบ้าน เพราะไม่ค่อยชอบเที่ยวท่ามกลางผู้คนเยอะๆ แต่ก็คิดว่ามาถึงแล้วจะกลับทำไม เราเลือกเติมพลังด้วยข้าวแกง อาหารร้านเจ้กิมก็อร่อยนะ แต่ข้าวแกงตอน 6 โมงก็ไม่ไหวอะ กินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม รีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วก็แบกเป้ไปที่รถสองแถวที่มาจอดรอ เราเลือกที่จะจอยไปกับคนอื่นเพราะคิดว่าเรามาแบบลุยๆจะเหมาทำไม ถ้าใครจะเหมาก็แค่ 300 บาทเองนะ แต่ถ้าจอยไปกับคนอื่นค่าโดยสารจะแปรผันตามจำนวนผู้โดยสาร ทั้งคันมีไป 10 คนก็เสียคนละ 30 บาทพอดี นั่งสองแถวเช้าๆแบบนี้บอกเลยว่าหนาวมาก ลมตีจนปากสั้นเลยประมาณ 30 นาทีก็ถึง
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ถ้าเรียกง่ายๆก็ตีนภูกระดึงนั่นเอง เราก็มาครั้งแรกยังรีบพุ่งตัวไปก่อนใครอีก จุดแรกที่เราจะไปคือไปฝากกระเป๋า เพราะยังไม่รู้ว่าเราจะแบกร่างขึ้นไปถึงข้างบนไหวหรือไม่ สิ่งแรกที่คนมาครั้งแรกต้องจำคือ คุณต้องซื้อแท็กติดกระเป๋าก่อน
เขียนรายละเอียดตามที่มีให้ครบ แล้วรีบมาต่อแถวเพื่อชั่งน้ำหนัก จากนั้นคุณจะได้ใบรับกระเป๋ามาตามจำนวนกระเป๋าที่คุณฝากลูกหาบ ของเรา 1 ใบ หนัก 5 กิโลกรัม (จริงๆ ก็แค่ 4.5 กิโลกรัมเองนะ) ค่าหาบของตอนนี้กิโลกรัมละ 30 บาท คุณไปจ่ายข้างบนตอนที่ได้รับกระเป๋าแล้ว จากนั้นให้เดินย้อนมาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน ตอนนี้ยัง 40 บาทอยู่นะ ถ้าไม่ได้นำเต้นท์มาเองก็ติดต่อขอเช่าเต้นท์ได้ที่นี่ ถ้านำมาเองก็จ่ายค่าธรรมเนียมการกางเต้นท์ที่นี่เหมือนกัน จากนั้นใครอยากเข้าห้องน้ำอีกรอบก็มีบริการไว้ให้ เดินมาเรื่อยๆ จะมีจุดให้ถ่ายรูปทั้ง "ครั้งหนึ่งในชีวิตขอพิชิตภูกระดึง"
พอเดินมาถึงแล้วมือใหม่ทั้งหลายก่อนที่จะผ่านซุ้มประตูที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ทางด้านขวาจะมีศาลเจ้าปู่ภูกระดึง
ให้แวะไปสักการะก่อนก็จะดี จากนั้นก็ลงเวลาว่าเราเริ่มขึ้นเขากี่โมง ของเรา 7.50 น. มาพร้อมเด็กๆ มัธยมที่มาทัศนศึกษากันกลุ่มใหญ่มาก เสียงดังมาก ถ่ายรูปกันสนุกสนานมาก เราก็เลยสนุกไปด้วย เดินไล่ตามเด็กๆ ไปเรื่อยๆ ระยะทางขึ้นเขาแค่ 5.5 กิโลเมตรเท่านั้น เราสนุกกับการเดินตามเดินแซงเด็กๆมาเรื่อยๆ ถึงปางกกค่า 8.00 น. ตอนนี้จากหนาวๆเมื่อกี้กลายเป็นเหงื่อท่วมตัวเลย ตอนแรกคิดว่าสงสัยจะไม่รอดแน่ แต่ก็ไม่นั่งเพราะการนั่งพักทันทีอาจทำให้เป็นตะคริวได้ทันที (หากอยากนั่งพักจริงๆ ให้ยืนนิ่งๆ สักพักก่อนแล้วค่อยๆนั่งลง ตอนนั่งกับตอนลุกขึ้นให้หายใจเข้า-ออกปกติอย่ากั้นหายใจ อาจจะเกิดอาการหน้ามืดได้) เราเริ่มเดินตามเด็กๆ อีกครั้งมาถึงจุดชันซะละ ปีนมาได้ซักพัก "ซำแฮก" นี่เอง
ตอนนี้เข้าใจเลย แฮกจริงๆ มาถึงเวลา 8.10 น. เราเลือกที่จะเดินต่อ เราเริ่มเดินแซงเด็กๆมาหลายกลุ่มละ และก็มาถึง "ซำบอน" เวลา 8.29 น. ยังไหวเดินต่อดีกว่าอีกพักเดียวก็ถึง "ซำกกกอก" เวลา 8.34 น. และเดินต่อมายัง "ซำกอซาง" เวลา 8.40 น. ตัดสินใจแวะพักกินน้ำแข็งไสสักถ้วยราคาก็ไม่ได้แพงอะไร 20 บาทเท่านั้น
ออกจากร้านมาตอน 8.53 น. เดินมาถึง "พร่านพรานแป" เวลา 8.59 น. ช่วงนี้จะมีทางเดินมีราวเหล็กให้เกาะด้วย เราเห็นเด็กๆ ไปทางที่ไม่มีราวเราก็เลือกเดินตามปีนไปปีนมามันเป็นทางตรงทะลุขึ้นไปเลย บางช่วงต้องมีการปีนข้ามราวเหล็กด้วย ทำให้เราใช้เวลาไม่นานก็ถึง "ซำกกหว้า" เวลา 9.07 น. ลุยต่อไปยัง "ซำกกไผ่" เวลา 9.16 น. และ "ซำกกโดน" เวลา 9.24 น. ลุยแซงเด็กๆมาหมดแล้ว ไม่มีเด็กละเหลือแต่ลูกหาบกับผู้ใหญ่อีก 2-3 คน สักพักมาถึง "ซำแคร่" เวลา 9.33 น. จากนั้นก็ต้องปีนกันอีกรอบแล้ว ทางชันมาก ต้องหลบให้ลูกหาบไปก่อนด้วย (ถ้ามาเห็นคุณจะรู้ว่าทำไมต้องหลบให้ลูกหาบก่อน)
ขึ้นมาก็มาถึง "หลังแป" เวลา 10.15 น. มีป้ายผู้พิชิตภูกระดึงอีกครั้ง โชคดีที่เที่ยวคนเดียวบ่อยก็เลยต้องใช้กล่องหน้าถ่ายตัวเอง จากนั้นก็งงงงเล็กน้อยกว่าจะรู้ว่าเดินไปทางไหน เราเดินตามลูกหาบที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเข็นรถแทนละ จากที่เหนื่อยๆ ตอนนี้เมามันกับการถ่ายรูป เดินกินลมชมวิว ระยะทางจากหลังแปมาถึง "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง" ระยะทาง 3.5 กิโลเมตร มีผู้คนที่กำลังเดินทางกลับก็ให้กำลังใจกันอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว นี่แหละมิตรภาพที่ได้จากการท่องเที่ยว เรามาถึงที่ศูนย์วังกวางเวลา 11.05 น. มาถึงเป็นคนที่ 2 เราใช้เวลาจากศรีฐานถึงหลังแป 2.25 ชั่วโมง และใช้เวลาจากหลังแปถึงวังกวาง 50 นาที
การเลือกเต้นท์
เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลดีมาก บอกเราว่ามาถึงก่อนเลือกเต้นท์ก่อนเลย เดี๋ยวค่อยมาเช่าเครื่องนอน อยากได้เงียบๆ ก็เลือกด้านหลัง ถ้าอยากได้สบายๆ ไม่มีทากก็เลือกด้านหน้าแต่คนเยอะ เสียงดัง วุ่นวาย เราเลือกเต้นท์อยู่นานก็ถูกใจโซนไกลผู้คน เงียบ แต่เจ้าหน้าที่บอกทากเยอะ อืม...ขอเงียบละกันนะ ได้เต้นท์แล้วเราก็ปิดเต้นท์ (เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าเต้นท์ปิดแสดงว่ามีคนจองแล้ว) เราก็เดินไปมารอกระเป๋า อยากอาบน้ำมาก ร้อนสุดๆ
อาหารการกิน
ด้านบนมีร้านอาหารไว้บริการมากมายหลายร้าน มาครั้งแรกยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน ก็เลยเดินดู 1 รอบก่อนที่จะเข้ามานั่งกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (จำชื่อร้านไม่ได้) ราคาเท่ากับทุกร้าน 60 บาท แต่เขาขายโค้กเราขวดละ 40 บาท น้ำเปล่าขวดใหญ่ 60 บาท ก็เลยกินร้านนี้แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเราฝากท้องทุกมื้อและของทุกอย่างเราก็ซื้อที่ร้านพี่โจ้-พี่ยุทธ (ฉวาง นครศรีธรรมราช) พี่ๆใจดีมาก อาหารจานเดียวก็ 60 บาทเท่าร้านอื่น แต่ปริมาณเกินอิ่มเชียว โค้กก็แค่ 30 บาทเอง น้ำดื่มขวดใหญ่ 50 บาท ทุกร้านจะมีบริการชาร้อนไว้ให้ฟรี เพราะหนาวมาก ถ้ามากันเยอะหน่อยแล้วอยากกินหมูกระทะก็ดีนะ สนุกและอุ่นดี ราคาก็ชุดเล็ก 300 บาท ชุดใหญ่ 500 บาท ทุกร้านราคาเท่ากัน
รับสัมภาระและจ่ายเงินให้ลูกหาบ
เราต้องเดินไปรับกระเป๋าที่จุดรับ-ส่งสัมภาระเท่านั้นจะไม่มีบริการมาส่งถึงเต้นท์ เพราะไม่รู้ว่าเรานอนเต้นท์ไหน จ่ายเงินให้ลูกหาบแล้ว ขอบคุณพี่ๆ เขาด้วยนะ อย่างน้อยก็อย่าไปโกรธเขาที่ได้กระเป๋าช้านะ
ห้องน้ำและห้องสุขา
มีบริการหลายจุดมาก ใกล้อันไหนก็เลือกเข้าอันนั้นเลย การใช้ห้องน้ำ-ห้องส้วมร่วมกันก็ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยจะดีมาก เพราะแม่บ้านทำไม่ทันแน่ แต่ละจุดไกลกันพอสมควร สิ่งที่ต้องบอกไว้เลยก็คือน้ำเย็นมาก โดนไปทีสะดุ้งเลย แต่ถ้าอยู่หลายวันจะปรับตัวได้เอง เราอยู่ 4 วัน 3 คืนก็สบายๆ ละ แต่เห็นป้ายว่ากำลังติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ เนื่องจาก ทางอุทยานมีการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์เพิ่มขึ้น
การชาร์ตมือถือและกล้อง
ทางอุทยานได้จัดระเบียบไว้เป็นอย่างดีแล้วและมีบริการที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เสียค่าบริการครั้งละ 20 บาท ชาร์ตได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เวลาให้บริการ 5.00 - 22.00 น. ไม่มีการฝากข้ามคืน อันนี้ทุกคนต้องเข้าใจด้วยว่าถ้าช่วงคนเยอะก็ต้องรอบ้าง อย่าวีนเจ้าหน้าที่นะครับ หรือไปฝากชาร์ตตามร้านอาหารได้ครับ แต่เราไม่รู้ราคาค่าใช้จ่ายนะ
สถานที่ท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวบนภูกระดึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่พักด้วยนะ เราพัก 4 วัน 3 คืน ได้เที่ยวครบตามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีบอร์ดประชาสัมพันธ์ และมีของแถมได้เข้าป่าปิดด้วย
วันแรก
ผาหมากดูก อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.3 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมอาทิตย์ขึ้นและอาทิตย์ตก ในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก เราเช่าจักรยานขี่ไปในราคา 40 บาทแบบไม่มีเกียร์ บรรยากาศเหมาะกับการชมอาทิตย์ตกจริงๆ มีร้านค้าให้บริการด้วย ควรเตรียมไฟฉายและเสื้อกันหนาวไปด้วย
ผาจำศีล อยู่ห่างจากผาหมากดูก 600 เมตร เราเลือกเดินไปเพราะจะได้ถ่ายรูปง่ายกว่าปั่นจักรยาน เป็นผาเล็กๆ เหมาะกับการชมอาทิตย์ตกเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีใครนิยม
วันที่สอง
ผานกแอ่น อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2 กิโลเมตร และห่างจากหลังแป 2.5 กิโลเมตร ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่นเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย
ลานวัดพระแก้ว หลังจากชมอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลานหินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพากันออกดอกอยู่เกลื่อนลาน