ทริปนี้เราพาเพื่อนบินตรงไปลงที่หลวงพระบาง ใช้เวลาสั้นๆ ไม่มากไม่มาย ไปใช้ชีวิตง่ายๆ สโลว์ไลฟ์ที่หลวงพระบางกันคะ ใช้เวลาแค่ 3 วัน 2 คืนเท่านั้นเอง

ทำไมต้องไปหลวงพระบาง เห้ยสักครั้งในชีวิต ในเมืองที่ตั๋วเครื่องบินไม่แพงอย่างยุโรป ไปเมืองที่ไม่ต้องลาพักร้อนเป็นอาทิตย์ ก็ได้ชื่อว่าไปเมืองนอกแล้วอะแก ในเมื่อเราก็มีเมืองมรดกโลกใกล้ๆให้ไปกัน ต้องไปดูกันสักหน่อย หลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลกที่องค์การยูเนสโกให้ไว้ ว่าเป็นเมืองที่ยังรักษาขนมธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่และเป็นราชธานีแห่งแรกของล้านช้างอีกด้วย ตามมาคะ แล้วคุณจะตกหลุมรักหลวงพระบาง

การมาเยือนประเทศลาวครั้งนี้เป็นครั้งที่สามของเรา รอบก่อนเรานั่งเครื่องไปลงอุดร แล้วข้ามฝั่งไปเวียงจันทร์และวังเวียง ส่วนครั้งนี้คือ บินจาก กทม. - หลวงพระบาง ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ใครมาลาวครั้งแรก อาจจะบ่นว่าหลวงพระบางฝุ่นเยอะ แต่เราจะบอกว่าในบันดาเมือง เวียงจันทร์ วังเวียงและหลวงพระบาง ทั้งสามเมืองนี้ หลวงพระบางฝุ่นน้อยกว่าเมืองอื่นๆ เยอะเลยคะ แล้วก็อากาศเย็นสบาย ตอนที่เราไปคือปลายเดือนมกรา ติดต้นกุมภา อุณหภูมิตอนเช้าประมาณ 17 องศา กำลังเย็นสบายเลย

เหมือนเช่นเคย เราจะไม่ต่อรถให้เมื่อยน่อง เหงื่อไหลนอง รอบนี้เราเหมารถพร้อมคนขับ นั่งไป เย็นๆ สวยๆ ซึ่งใช้รถบริษัทเดียวกันกับที่เราไปวังเวียง ชื่อ KN Car Rental เป็นรถเช่าในหลวงพระบาง วังเวียง เวียงจันทร์ ติดต่อที่ www.kncarrental.com

หลวงพระบางถ้ามองมาจากเครื่องบิน จะเห็นเป็นภูเขาล้อมรอบ ภูมิประเทศเค้าสวยมาก ถ้าเพื่อนไปอย่าลืมเตรียมกล้องให้พร้อมก่อนเครื่องลงจอด รีบกดกล้องรัวๆเลยคะ สวยจริงๆ เสียดายเรามัวแต่ชมวิวจนเพลิน ลืมถ่ายรูปจากบนเครื่องมาฝากเลย

ลงเครื่องมาปุ๊ป สัญญาณโทรศัพท์ก็ต้องมีปั๊ป ถ้าคุยกันเรื่องสัญญาณ ของเราใช้ Dtacของไทย โปรโมชั่นใช้เน็ตต่างประเทศ 6 G ไม่เปลี่ยนซิมมันก็สะดวกดีนะ ราคา 99 บาท แต่สัญญาณบางจุดอาจสู่เครือข่ายของเจ้าบ้านเค้าไม่ได้

ที่สนามบินมีหลายเครือข่ายให้เลือก ราคาเริ่มต้นที่ 100 บาท อยากได้สัญญาณแรงๆ มาเปลี่ยนที่สนามบินได้เลย เลือกเอาตามสะดวกว่าอยากได้ค่ายไหน

รถมารอรับเรียบร้อย ทริปนี้เรามากัน 5 คน นั่งรถตู้ไปกำลังสบายๆ ไม่ต้องขับ เพราะขับคนละเลนส์ไม่อยากตกใจ เราเลยเหมารถพร้อมคนขับและเค้าจัดตามโปรแกรมที่เราขอได้คะ เราเหมามาในราคาวันละ 1,970 บาท ตกคนละ 394 บาทต่อวัน ถ้าจะให้รับส่งสนามบินคิดเพิ่มอีก 500 บาทคะ

จากสนามบินเข้ามาในเมือง ไม่ถึง 10 กิโลเมตรในเมืองหรือแถวถนนคนเดินหรือตลาดมืดนั่งรถมาไม่ถึง 10 นาที เราพักที่พักบนถนนคนเดินเลยคะ ตอนกลางคืนจะมาบอกเรื่องที่พักให้นะ  ตอนนี้คือ รีบไปขึ้นพระธาตุพูสีก่อน ** อันนี้ห้ามพลาดเลย ไปดูพระอาทิตย์ตกข้างบนกัน มันสวยมากอะแก

จากหน้าที่พักสามารถเดินไปขึ้นพระธาตุพูสีได้ไม่ไกลคะ ผ่านตลาดมืดซึ่งตอนสี่ห้าโมงเค้าเริ่มกางเต้นท์กันแล้ว กางแบบเต็มถนนด้วย (เดินดีๆนะ เค้าใช้พื้นที่ดึงค่อนข้างเยอะ เกือบโดนหน้าเราเหมือนกัน แอบงอลแม่ค้า กางไม่ดูเลย แต่ก็ต้องเข้าใจเค้าอะนะ)

ก่อนจะขึ้นพระธาตุพูสี แอบถ่ายหอพระบางมาฝากก่อน ตอนเย็นที่แสงแดดตกกระทบลงมา สวยมากคะคุณฉันชอบความเป็นต้นไม้สูงๆโดดๆ นิแหละนะ (ต้นมะพร้าวหรือต้นตาล ไม่แน่ใจ เอาเป็นว่าไปต้นไม้สูงๆในรูปมันสวยอะ) นี่อะนะเสน่ห์หลวงพระบาง ยังยังไม่หมด ไปขึ้นพระธาตุพูสีกันก่อน

มีนกขายสำหรับให้ปล่อยทำบุญ กรงเล็กๆน่ารักๆ แต่ราคาไม่เล็กเท่าไหร่แอบถามมากรงละ 100 บาทจร้า แต่ก็ถ้าใครอยากทำบุญก็ตามกำลังศรัทธาเลยเนอะ (นึกถึงตอนเด็กๆอะสมัยสักยี่สิบปีที่แล้ว มีปล่อยนกแบบนี้ แต่สมัยก่อนบ้านเรากรงใหญ่กว่า) กรงที่เค้าขายมีนกประมาณ 2-3 ตัวเลยนะ ไม่ได้มีตัวเดียวนาจา

ถ้าเห็นบันได เยอะ อย่าพึ่งท้อเลยนะ ค่อยๆขึ้นไป ข้างบนมันสวยจริงๆ ใครมาถึงจุดนี้ก็เสียค่าเข้าก่อนนะคะ ราคา 20,000 กีบ ตีเป็นเงินไทยเกือบ 70 บาท แอบแพง
เค้าว่าบันไดขึ้นพระธาตุ 328 ขั้น คือเราไม่ได้นับ ก็ขึ้นไปเรื่อยๆจร้า

ด้านในมีพระพุทธรูปเข้าไปกราบไหว้บูชาได้

ตัวพระธาตุ สีเหลืองอร่ามตัดกับสีท้องฟ้า

ถึงแล้วจร้าหลวงพระบาง วิวด้านบนสวยมาก มีแม่น้ำผ่านเมือง ตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยภูเขา

มุมยอดฮิต คนต่อแถวเข้าไปถ่ายรูปเยอะมาก แต่ตอนเดินไป ใจแอบหวิว

หันมาอีกด้านนึง เห็นแม่น้ำ และภูเขาล้อมรอบเหมือนกัน พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ววววว

ด้านบนพระธาตุพูสีพื้นที่ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ว่าได้  ใช้คำว่าเบียดเสียดดีกว่า มีคนมานั่งรอดูพระอาทิตย์ตกเยอะมาก สวยใหญ่ก็เป็นฝรั่ง รองลงมาก็คนไทย

แอบหนีกลับลงมาก่อน เดียวคนเยอะ

 

 
กลับมาที่ที่พักของเรากันก่อน เราพักที่ Indigo House อยู่ตรงเกือบหัวมุมของตลาดมืดหรือถนนคนเดิน ทำไมถึงพักที่นี่ เพราะกลางคืนหาของกินง่าย อยู่ในพื้นที่ชุมชน ปลอดภัย เดินไปพระธาตุพูสี เดินไปตักบาตรตอนเช้า สะดวกหมดเลยคะ ราคาก็อยู่ที่ 2,800 บาทต่อคืน

ด้านล่างของโรงแรมเป็นห้องอาหารและมีของที่ระลึกขาย พวกผ้า กระเป๋า ต่างหู เค้าจัดร้านได้น่ารักดีคะ

เราชอบความแปลกของบันไดขึ้นห้อง แต่พอขึ้นๆลงๆเยอะๆ เริ่มไม่ชอบละ แต่ก็รวมๆก็สวยดี ห้องที่เราพักอยู่ชั้น 3 ไม่มีลิฟต์จร้า 

ห้องเรานอนกัน 3 คนคะ เข้ามาในห้องก็สะอาดสวยดี และแอร์เย็นดีมากชอบ (แอบบอกนิดนึง ห้องอาบน้ำไม่มีประตูปิด ลืมถ่ายมา คือใครมากับแฟนก็สวีทไป ใครมากับเพื่อนก็หันหลังกันไปจร้า ไม่มีประตูปิด ไม่มีม่านกั้น ยังดีที่มีปูนกั้นระหว่างอ่างอาบน้ำและหัวเตียงนอน ให้เราหันหลังได้อยู่ เป็นการอาบน้ำที่บันเทิงมาก)

มองออกไปด้านล่าง มีร้านค้าเปิดเต็มถนนเลย ของขายเยอะแยะมากมาย ต้องรีบลงไปช็อป ชิม ชิว กันหน่อยละ

ออกไปเดินเล่นกันดีกว่า ของที่ขายมีหลายร้านมากคะ มีทั้งภาพวาด ผ้าถุง กระเป๋า เครื่องประดับ ราคานั่นขึ้นกับความสามารถในการต่อเฉพาะบุคคลเลยคะ คืนแรกเราหยิบกระเป๋าใบไหนๆ คนขายก็บอก 30,000 กีบ ใบเล็กใบใหญ่ ใบละร้อยหมด บ้าแล้ว! มาดูว่าในคืนที่สองเราต่อเหลือกี่บาท

ผลไม้ปั่นที่นี่อร่อย เค้าบอกมาแบบนี้ แต่เราไปกินที่น้ำตกไม่อร่อย เพราะฉะนั่นขอระบุพิกัดร้านนิดนึง ร้านที่อยู่ถัดจากโรงแรม Indigo House มาเป็นร้านแรก ร้านข้างๆ ต้องมีน้องหมาขนปุยๆ สีออกเทาๆ ตัวใหญ่ๆนอนอยู่ (เราเดิน 2 คืน นางนอนที่เดิมทั้งสองคืนเอาเป็นว่าคงนอนตรงนี้เพื่อบอกพิกัดร้านทุกคืนมั้ง) ผลไม้ร้านนี้ให้เนื้อเน้นๆมาก เราสั่งมะม่วงเสาวรส ให้ผลไม้เยอะแล้วก็ใส่น้ำแข็งนิดเดียว พอเย็นๆ ลองมากินดูคะ แล้วก็ อีกแก้วเป็นเสาวรสกับมะนาว (เปรี้ยวปี๊ดแต่อร่อย อร่อยคนเดียวไม่มีใครแย่ง 55)

ข้างๆโรงแรม Indigo House มันจะมีซอยเล็กๆ เดินเข้ามาหาของย่างๆกินกันด้านในคะ ซอยเล็กมาก แต่ยาว มีร้านหลายร้านอยู่ด้านใน


เลือกเอาถูกใจร้านไหน เราก็กินร้านที่ถ่ายมาเลยจร้า สั่งนกกระทาย่าง ปีกไก่ย่าง ไส้กรอก (อันที่จริงมันคือ กุนเชียง ไอเราก็นึกว่าไส้กรอกอีสาน แต่ก็อร่อยดีคะ หวานๆ เอามาตัดความเผ็ดของส้มตำได้)

อันนี้เป็นนกกระทาย่าง คือมันอร่อยนะ รสชาติกำลังดี หอมกรอบ เนื้อนินุ่ม (เขียนไปน้ำลายไหลไป อยากกินอีก)

อันนี้น่าจะตำไทย

ตำหลวงพระบาง (ที่เมืองไทยก็มีนะ แต่ไม่เหมือนกัน คือ ต้นฉบับมีพวกผลไม้อย่างมะเขือ มะเขือม่วง มะเขือพวง ตระกูลมะเขือที่บ้านเราไม่มี คนละขนาดกัน) รสชาติอร่อยดี กลมกล่อมน้ำลายไหล
ข้าวแกงถุงก็มีขายนะจ๊ะ แต่เราอิ่มมากเลย ชิวเผื่อไม่ไหวจริงๆ