JJNY : ปฏิรูปชีวิตทหาร ตรวจสอบโครงการสีเทา/แฉมีทหารถูกโกงเหมือนกับจ.ส.อ./วีระท้าเลขาฯป.ป.ช./ต่างชาติลดเที่ยวธุรกิจส่อล้ม

บทเรียนโคราช...ปฏิรูปชีวิตทหาร - ตรวจสอบโครงการสีเทา 
https://www.isranews.org/south-news/special-talk/85446-lesson-85446.html
 

 
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดังจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอมุมมองหลังเกิดเหตุกราดยิงภายในห้างสรรพสินค้าเทอมินัล 21 กลางเมืองโคราชเอาไว้อย่างน่าสนใจหลายประเด็น... 
 
เริ่มต้น อาจารย์ชี้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกรณีตัวอย่างของปัญหาความมั่นคง และเป็นบทเรียนใหญ่ แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเรียกว่าก่อการร้ายไม่ได้ เพราะแรงจูงใจไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องส่วนตัว และถ้าดูจากเหตุที่เกิดขึ้น คือ "โลนวูล์ฟ" หรือ หมาป่าตัวเดียวออกปฏิบัติการ ไม่มีคอนเน็กชั่นหรือเครือข่าย แล้วออกก่อเหตุสร้างความเสียหายใหญ่หลวง
 
อาจารย์สุรชาติ อธิบายว่า ลักษณะการก่อเหตุคนเดียว การปราบปรามอาจดูเหมือนง่าย เพราะมีคนเดียว แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ มักจะก่อเหตุและสร้างความเสียหายใหญ่โต ก่อนเจ้าหน้าที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้นคิดกลับกันว่าสมมุติเป็นเหตุก่อการร้ายที่เห็นในโลกตะวันตก สะท้อนชัดว่าไทยไม่ได้มีมาตรการรองรับอะไร เปรียบเทียบลักษณะนี้ ไม่ต่างจากการก่อเหตุยิงบุคคลคราวละหลายๆ คนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสหรัฐ
 
สำหรับประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกฝึกมาเพื่อจัดการกับอาชญากรในลักษณะลักวิ่งชิงปล้น หรืออาชญากรรมพื้นฐาน ขณะที่ทหารถูกฝึกอยู่กับการรบขนาดใหญ่ หรือสงครามตามแบบ ฉะนั้นเมื่อเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้จึงไม่มีมาตรการรักษาความมั่นคงของเมือง หรือการรักษาความปลอดภัยเมือง ซึ่งไทยไม่ค่อยมีโจทย์ต้องเผชิญ ทั้งที่จริงๆ มีตั้งแต่กรณีอุยกูร์ (ระเบิดศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2558) แล้วมาโคราช (8-9 ก.พ.2563) ซึ่งโจทย์ปัญหาความมั่นคงอย่างนี้ จะทำอย่างไรที่ภาครัฐจะหันมาสนใจมากขึ้น
 
ขณะเดียวกันก็โยงไปถึงการฝึก การเตรียมบุคคล รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ ไม่ใช่พูดลอยๆ เพราะเรื่องพวกนี้ การเตรียมเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าที่คิด ดังนั้นสิ่งที่น่าคิดคือ ทำอย่างไรจะออกมาตรการเหล่านี้ได้จริงจัง
 
ส่วนการปล้นปืนจากค่ายทหารนั้น ศ.ดร.สุรชาติ มองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2547 โดยบอกว่า เห็นบทเรียนใหญ่จาก 4 มกราคม 2547 ในภาคใต้ (ปล้นปืนจำนวนส 413 กระบอกจากค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส) ผ่านมาหลายปี การตามปืนกลับมายังได้จำนวนน้อยนิด และน่าสนใจว่าการปฏิบัติการปล้นปืนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน แม้มีการถกเถียงกันในเชิงข้อมูลก็ตาม แต่ในกรณีโคราชต้องยอมรับว่า เกิดเหตุจากบุคคลภายใน ก็อาจยากลำบากสักนิดหนึ่งในการป้องกันของเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาการณ์ เพราะการเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นเขตต้องห้าม มาจาก "คนใน" ด้วยกันเอง
 
สำหรับความรับผิดชอบของกองทัพในเรื่องนี้ อาจารย์สุรชาติ บอกว่า ไม่อยากให้รับผิดชอบแค่ 2 อย่างเหมือนที่ผ่านๆ มา คือ 1.ส่งคนไปงานศพในฐานะตัวแทนกองทัพบก และ 2.จ่ายเงินทดแทน
 
"เพราะครั้งนี้เป็นสถานการณ์รุนแรงมาก และเห็นความชัดเจนว่ามันมีปัญหาเกิดขึ้น ทำอย่างไรที่กองทัพบก รวมถึง รมว.กลาโหม ต้องแสดงความรับผิดชอบบางอย่าง ต้องคิดเหมือนต่างประเทศ แต่ไม่ได้บอกให้เลียนแบบฝรั่ง ความรับผิดชอบต้องมากกว่ามีผู้แทนไปวางพวงหรีดในงานศพ นั่งฟังสวด หรือเอาซองสตางค์ไปให้ แต่ทำอย่างไรที่จะเห็นความรับผิดชอบมากกว่านั้น"
 
"วันนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องพูดถึงการปฏิรูปชีวิตทหารในกองทัพ ไม่ได้พูดถึงการปฏิรูปกองทัพ แต่เป็นการปฏิรูปชีวิตทหาร เพราะเหตุการณ์ที๋โคราชสะท้อนชัด คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นนายทหารชั้นประทวน ดังนั้นวันนี้อาจต้องประกาศชัดๆ ว่า มาตรการของกระทรวงกลาโหม และมาตรการของกองทัพบกไทย รวมถึงเหล่าทัพต่างๆ ทั้งกองทัพเรือ กองทัพอากาศ ต้องยุติโครงการหากินกับลูกน้อง หรือพูดง่ายๆ ต้องยุติ 'โครงการหากิน' ที่ผู้บังคับบัญชาบางคนหากินกับนายทหารชั้นประทวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายสิบและจ่า ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องสังคายนา"
 
ศ.ดร.สุรชาติ ขยายความด้วยว่า แม้เหตุการณ์ที่เกิดจากแรงกดดันจนทำให้จ่าคนหนึ่งต้องตัดสินใจก่อเหตุร้ายแรง แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่งก็น่าพิจารณาว่า ทำอย่างไรที่เหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การปฏิรูปชีวิตคนในกองทัพ แล้วยกเลิกธุรกิจที่ไม่ชอบมาพากลในกองทัพ คิดว่าวันนี้กองทัพบกและกระทรวงกลาโหมต้องกล้าดำเนินมาตรการชุดนี้ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยและสุดท้ายเรื่องเงียบหายไปโดยไม่เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นคิดว่าพอมาถึงจุดนี้น่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน แล้วยกเลิกโครงการเหล่านี้ทั้งหมด
 
สำหรับการก่อเหตุในพื้นที่สาธารณะซึ่งดูใกล้ตัวเข้าไปทุกทีนั้น นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง มองว่า ภาพสะท้อนวันนี้ คือ ความมั่นคงสาธารณะ  หรือ public security ในภาษาทางวิชาการ ต้องทำอย่างไรจะรักษาความมั่นคงของชีวิตคนในสังคมภาวะปกติให้ปลอดภัยมากที่สุด วันนี้ถ้าอยู่ในสังคมอเมริกา จะมีข้อเรียกร้องตามมา คือ กฎหมายในการควบคุมอาวุธปืน แต่วันนี้แทบไม่เคยเห็นมีการเรียกร้องกฎหมายควบคุมอาวุธปืนเหมือนโลกตะวันตก ถ้าเชื่อว่าส่วนหนึ่งของปัญหาเกิดจากการมีอาวุธปืน ไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์ที่โคราช ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นอาวุธสงคราม แต่ถ้าเป็นกรณีการก่อเหตุของพลเรือนทั่วไป เชื่อว่าอาวุธปืนก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกส่วนหนึ่ง
 
อย่างไรก็ตาม มาถึงทุกวันนี้ก็ต้องฝึกประชาชนเหมือนกัน คือ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการให้ข้อมูลประชาชนว่าในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต้องทำอย่างไร รวมถึงถ้าคิดในภาพใหญ่ หากเป็นก่อการร้าย ความรุนแรงจะมากกว่านี้มาก ดังนั้นต้องคิดเป็นบวกคู่ขนานไปกับสถานการณ์นี้ เป็นโอกาสเข้าไปตรวจสอบภายในกองทัพ ตรวจสอบโครงการไม่ชอบมาพากลของนายทหารบางคน บางกลุ่มในกองทัพ แล้วคิดริเริ่มมาตรการสร้างความมั่นคงสาธารณะบางอย่าง เพื่อช่วยพิทักษ์ชีวิตคน
 
ส่วนการเลือกใช้ห้างสรรพสินค้าในการก่อเหตุ ศ.ดร.สุรชาติ อธิบายว่า เป็นเพราะคนเยอะ และเป็นพื้นที่เปิด หรือภาษาก่อการร้ายเรียก soft target คือ  การระมัดระวังป้องกันได้ยาก เป็นเป้าหมายอ่อน เห็นได้จากกรณีปล้นทองลพบุรี รปภ.ก็เสียชีวิต และภาพที่เห็นก็คือ รปภ.ไม่รู้จะทำอย่างไร วิ่งไปล็อคกุญแจ ซึ่งกรณีอย่างนี้ต้องคิดให้ใหญ่มากขึ้น มากกว่าปล่อยให้สรุปกันว่าเกิดจากทหารคนหนึ่งมีปัญหาสุขภาพจิต มีความกดดันจากเรื่องที่เกิดขึ้น ทำธุรกิจภายในกองทัพ แล้วก็ออกมาก่อเหตุ ต้องคิดให้ไกลมากกว่าแค่นั้นแล้ว
 
นอกจากนี้ ท่าทีของนายกฯ ตอนลงพื้นที่ ลักษณะความเหมาะสมกับผู้นำ หากเทียบกับผู้นำโลก ซึ่งหากไปวิจารณ์มากก็หาว่า เป็นการต่อต้านรัฐบาล แต่เห็นชัดว่าในสถานการณ์นี้ การแสดงออกของผู้นำเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่เกิดการเสียชีวิต และอีกมิติหนึ่ง คือ การฝึกผู้นำในการแสดงออกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยฝึกผู้นำไทยในการแสดงออกอย่างไร คงต้องตระหนักว่า ไม่ใช่การไปยืนโบกมือเหมือนไปงานคอนเสิร์ต
 
ขณะเดียวกันจากภาพที่ปรากฏ สะท้อนว่านายกฯ ไทยไร้วุฒิภาวะ และไม่มีความละเอียดอ่อนต่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้น อาจจะเห็นสิ่งนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย จนมองข้ามอารมณ์และความรู้สึกของประชาชน ไม่เหมือนต่างประเทศ เช่น กรณีของผู้นำนิวซีแลนด์ที่ออกมาแสดงความเสียใจต่อเหตุกราดยิง หรือแม้กระทั่ง ผู้นำออสเตรเลียไปพักผ่อนที่ฮาวาย ขณะที่มีไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ ก็ยังมีการเรียกร้องให้ลาออก จนต้องออกมาขอโทษประชาชน เป็นต้น
 
ดังนั้นการแสดงออกแบบนี้จึงไม่อาจให้อภัยได้เลย.
 
------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
หมายเหตุ : บางส่วนของบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ได้สัมภาษณ์กับ "มติชนทีวี" และบางส่วนให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกับศูนย์ข่าวอิศรา โดยอาจารย์อนุญาตให้นำบทสัมภาษณ์ทั้งสองส่วนมานำเสนอรวมกันได้
  

 
"อัจฉริยะ" แฉ มีทหารกว่า 20 คน ถูกโกงเหมือนกับ "จ.ส.อ."
https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/119266
 
อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เปิดข้อมูลกลุ่มไลน์ของทหารที่อ้างตัวว่าได้รับผลกระทบแบบเดียวกับจ.ส.อ. รวมกว่า 20 คน พร้อมขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้
 
"อัจฉริยะ" แฉ มีทหารกว่า 20 คน ถูกโกงเหมือนกับ "จ.ส.อ."

ข้อความในไลน์ที่ระบุว่า คนร้ายเครียดมาเป็นเดือน เพราะ ไปทวงเงินจำนวน 4 แสนบาท จากผู้พัน 2 ครั้ง นี้ถูกเผยแพร่โดยชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญกรรม พร้อม ระบุว่า ฝากให้ผู้บัญชาการทหารบกและแม่ทัพภาคที่ 2 ตรวจสอบข้อมูล 
 
โดยนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญกรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษPPTV ระบุว่า ข้อความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไลน์ชื่อ VIP XXX โดยXXX เป็นชื่อที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะ กังวลเรื่องความปลอดภัยของคนในกลุ่มไลน์ แต่นายอัจฉริยะให้ข้อมูลว่า กลุ่มไลน์นี้มีสมาชิกอยู่ มากกว่า 20 คน ทั้งหมดเป็นทหารที่ได้รับผลกระทบจาก พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ นายทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 ผู้ที่ถูกจ.ส.อ.ยิงเสียชีวิตเป็นรายแรกๆ
 
นายอัจฉริยะ อ้างว่า ทหารทั้งหมด ถูกพ.อ.อนันต์ฐโรจน์ โกงเงินคล้ายกับจ.ส.อ.ที่ก่อเหตุกราดยิง โดยมีทั้งแบบที่หักเบี้ยเลี้ยงจาก 240 บาท เหลือ วันละ 100 บาท และ โกงเงินค่านายหน้าขายที่ดิน เนื่องจาก ครอบครัวของพ.อ.อนันต์ฐโรจน์ ทำธุรกิจค่าที่ดินและบ้านจัดสรรให้ทหาร
 
โดยในกรณีของจ.ส.อ.นอกจากจะเป็นลูกน้องของพ.อ.อนันต์ฐโรจน์ ยังเป็นนายหน้าหาลูกค้ามาซื้อที่ดิน มีข้อตกลงรับเงินค่านายหน้าเป็นครั้งๆ ซึ่งการขายที่ดินทั้งกระบวนการผู้เกี่ยวข้องทั้ง นายหน้าและลูกค้า จะเป็นทหารทั้งหมด เนื่องจาก ที่ดินและบ้านจัดสรรที่ขายเป็นที่ดินที่จัดสรรไว้ให้ทหารอยู่
 
มีข้อมูลว่าแม้จ.ส.อ.จะเป็นนายหน้าค้าที่ดิน แต่น่าจะไม่ได้ทำสัญญาเรื่องส่วนแบ่งกับพ.อ.อนันต์ฐโรจน์ เนื่องจากเป็นเจ้านาย-ลูกน้องกัน และในช่วงหลังมีการค้างเงินค่านายหน้าหลักแสนบาท ทำให้จ.ส.อ.เครียด สอดคล้องกับภาพถ่ายที่ผู้ก่อเหตุเคยเผยแพร่ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพตัวเองที่ไว้บริเวณบ้านจัดสรรหลายพื้นที่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง   
 
นายอัจฉริยะ เล่าว่า มีทหารหนึ่งในกลุ่มไลน์ VIP เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ จ่าสิบเอกไปกินเหล้ากับเพื่อนทหารที่ถูกโกงเงินเหมือนกัน และถามเพื่อนว่า “จะมีเรื่องตื่นเต้น มีใครอยากตื่นเต้นบ้าง” แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า จ่าสิบเอกจะทำอะไร จึงไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กัน จนถึงวันเกิดเหตุซึ่งเป็นวันที่จ่าสิบเอกนัดเคลียร์ปัญหากับแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ นำมาสู่เหตุการณ์ยิงพันเอก และ แม่ยาย ก่อนที่จะไปก่อเหตุกราดยิงในจุดอื่นๆต่อจนเกิดเหตุกราดยิงขึ้น
 
สำหรับข้อมูลทั้งหมดนี้ นายอัจฉริยะ อ้างว่า ได้รับมาจากกลุ่มทหารเพราะต้องการให้ช่วยเหลือ หลังจากนี้เตรียมนำข้อมูลส่งให้พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะ กังวลว่าหากปล่อยให้ผู้บังคับบัญชาในกองทัพภาคที่ 2 ดำเนินการเอง อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมพร้อมเรียกร้องให้พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์  ผู้บัญชาการ ทหารบก ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง 
 
 ส่วนกรณีที่มีการเลื่อนตำแหน่งให้พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ หลังเสียชีวิต ในมุมของนายอัจฉริยะ ระบุว่า ไม่เห็นด้วย เนื่องจากมองว่าต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ คือปมความขัดแย้งระหว่างทหารชั้นผู้น้อยกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่