ฮาว ทู เมค มันนี่ 18 ล้านต่อปี ในภาวะศก.ยุคลุง

กระทู้สนทนา
เนื่องจากภาวะศก.ที่ถดถอยและตกต่ำมาก ก่อนหน้านี้จขกท.ก็ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านผสมสีทาบ้านยี่ห้อTOAและเบเยอร์จากกำไรเดือนละสองแสน เหลือเพียงเดือนละ สามหมื่น ทางจขกท. จึงเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ ประกอบกับพี่เขยได้ทำธุรกิจนี้อยู่แล้วประมาณ 2 ปี พี่เขยจึงแนะนำและสอนเกี่ยวกับธุรกิจนี้ นั่นคือ” ธุรกิจร้านทุกอย่าง 20 “ พอฟังตอนแรก จขกท. ก็ยังสองจิตสองใจอยู่ว่าวันนึงขายได้สัก 1,000 ชิ้นก็น่าจะหรูแล้ว จึงได้ลองเข้ามาศึกษาธุรกิจนี้ดูปรากฏว่าแค่ไม่เหินเที่ยงวันก็ขายได้1,000 ชิ้นขึ้นไปแล้วครับ จขกท.จึงเริ่มหาทำเลที่ตั้งร้าน จึงมาได้ทำเลอยู่จังหวัดที่ติดกับ กทม. โดยเกณฑ์การหาพื้นที่คือ มีตัวชี้วัดคือร้าน7-11 ให้มีเพียงแค่ 1-2 สาขา เพราะเราต้องการชุมชน แต่ไม่ได้ต้องการให้มันมากนักเพราะ หากเป็นชุมชนที่ใหญ่จะเรียกคู่แข่งรายใหญ่ๆเข้ามา ทำให้มีผลกระทบต่อร้านเรา 
    
                  ก่อนที่ จขกท. จะเข้ามาเปิดร้านที่นี่ ก็มีเจ้าเก่าที่เปิดอยู่ก่อนแล้วแต่เป็นร้านลักษณะสังกะสี และขายสิค้าจับราคา (หลายราคา), และมีร้าน20 แต่เป็นร้านเล็กๆเพียง1-2 ห้องแถว จขกท. จึงเริ่มก่อสร้างเป็นตึกแถว หน้ากว้าง 20 เมตร ยาว20 เมตร รวม 400 ตร.ม.ไม่รวมพื้นที่Stockสินค้าอีก 300 ตร.ม.
โดยพื้นที่ทั้งหมดจะเป็นห้องแอร์ แบ่งเป็นแผนกใหญ่ๆได้ 24 แผนก คือ แผนกขนมขบเคี้ยว, กิ๊ฟช้อป, แว่นตา, หมวก, ของใช้ภายในบ้าน, ของใช้ส่วนตัว, เครื่องสำอางค์, สินค้าตามฤดูกาล, ของเล่นเด็ก, อุปกรณ์ช่าง, เครื่องเขียน, อุปกรณ์มอเตอร์ไซ, อุปกรณ์ทำความสะอาด, อุปกรณ์ทำสวน, แผนกซุปเปอร์มาเก็ต, เครื่องครัว, อุปกรณ์ซักผ้า, เสื้อผ้า, แผนกเด็ก, ดอกไม้ปลอม, อุปกรณ์พระ, เครื่องแก้วเซรามิค, พลาสติก, สติ๊กเกอร์แผง
 

                 
             จำนวนสินค้ารวมทั้งสต๊อกด้วยจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 ชิ้น มีความหลากหลายของสินค้าอยู่ประมาณ30,000 รายการ โดยธรรมชาติของร้าน20 คือสินค้าจะเผลี่ยนไปเรื่อยๆ ยิ่งสินค้าขายดี หมายความว่าจะมีพื้นที่ในเชลล์ว่างให้เปลี่ยนของไปได้เรื่อยๆทำให้ลูกค้าเข้ามาได้ทุกวันไม่มีเบื่อ และบุคลิกของร้านแต่ละร้านจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนไปซื้อของเข้าร้าน โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของทางร้านคือ ผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยที่มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางต่ำ นั่นคือเป็นกลุ่มที่อยู่ 2 แถวล่างสุดของปิรามิด ซึ่งมีจำนวนที่มากที่สุดอีกด้วย และคนกลุ่มนี้มักจะซื้อโดยไม่คิดมาก และประกอบกับการที่จขกท. ชื่นชอบการไปญี่ปุ่นเป็นชีวิตจิตใจ จึงก้อปปี้บางอย่างจากร้านค้าในญี่ปุ่นมาใช้กับทางร้านด้วยคือ การจัดร้านจะใกล้เคียงกับไดโซะเจแปน นั่นคือมีขนมขบเคี้ยวอยู่ใกล้ๆเคาร์เตอร์จ่ายเงิน ที่ให้พนง.ในร้านมีการทักทายลูกค้าทุกคน แม้คนที่ไม่ได้เจอหน้าลูกค้า เรียงของอยู่ไกลๆ หากได้ยินเสียงคนในร้านทักทายก็จะทักทายเช่นเดียวกัน และเมื่อลูกค้ามาถามหาสินค้าให้พนง. พาลูกค้าไปที่บริเวณสินค้าทันที และปล่อยลูกค้าไว้ที่เชลล์ให้ลูกค้าได้เลือกเองโดยไม่ต้องยืนช่วยเหลือต่อ เพราะจะเป็นการกดดันลูกค้าให้ซื้อของน้อยลงนั่นเอง และ ทางร้านก็เอาคอนเซบมาอีกอย่างคือ ตั้งชื่อว่า ร้าน 2 เหรียญ นั่นคือลูกค้ามีเงินแค่เหรียญ10 สองเหรียญก็สามารถมาซื้อสินค้าได้เลย 

              โดยSupplierหลักๆของทางร้านจะมีประมาณ 8 เจ้า ซึ่งทุกเจ้าทาง จขกท. ต้องไปเลือกสินค้าเอง เพราะเป็นจขกท. ที่คลุกคลีอยู่กับลูกค้าตลอด ทำให้ทราบความต้องการ แต่ก็มีบางอย่างที่สั่งมาแล้วขายไม่ออกก็มีอยู่เหมือนกัน55 โดยกำไรจะเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเราหา Supplier ได้ราคาต่ำแค่ไหน แต่โดยทั่วไปจะมีกำไรขั้นต้นก่อนหักคชจ. อยู่ที่ 25-30% ซึ่งยอดขายของทางร้านคือ วันจันทร์และศุกร์ 50K, อังคาร พุธ พฤหัส 40K, เสาร์อาทิตย์ 80K ยอดขายโดยรวมเลขกลมๆอยู่ 1.5 ล้านต่อเดือนกำไรประมาณ375K หักคชจ.ต่างๆทั้งพนง.และโสหุ้ย75K จะเหลือประมาณ 300Kต่อเดือน ซึ่งถ้าเทียบกับสภาวะศก.เช่นนี้ ลงทุน 3 ล้าน ได้ผลตอบแทน 3แสน ตีเป็น 10% ใช้เวลา 10 เดือนในการคืนทุน ก็ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจสำหรับ จขกท.

               จุดแข็งของทางร้านคือ มีสินค้าที่เป็นราคาเดียวจริงๆทำให้ลูกค้าไม่สับสนและกล้าที่จะหยิบ , และ สินค้ามีการเปลี่ยนตลอดทำให้ลูกค้าไม่มีเบื่อ, ส่วนการบริการถือเป็นจุดขายของทางร้านเพราะพนง. จะยิ้มแย้มแจ่มใสยินดีให้บริการตลอด เนื่องจากลูกค้ากลุ่มชนชั้นแรงงานไม่ค่อยได้รับการดูแลและบริการเช่นนี้มากนัก ทำให้ลูกค้าเมื่อออกไปแล้วกลับมาเป็นอย่างมากทำให้มีลูกค้าประจำค่อนข้างเยอะ และที่สำคัญคือ เมื่อลูกค้าประทับใจก็ไปบอกต่อ(W.O.M)เรื่อยๆ บางคนตั้งใจมาจากต่างอำเภอ เพราะ ได้รับการบอกต่อแต่เรื่องดีๆก็เยอะ ที่สำคัญทำเลของทางร้านอยู่ริมถนนใหญ่มีที่จอดรถกว้างขวางและเป็นห้องแอร์ขนาดใหญ่ ถึงขนาดลูกค้าบางท่านบอกว่า ไปไหนมา ไปเที่ยวห้างมาเลยทีเดียว55 นอกจากนั้นหน้าร้านของจขกท. ได้มีการปล่อยเช่าให้ท่านอื่นมาขาย ทั้งชานมไข่มุก ขนมนมเนยทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่มาที่นี่ที่เดียวจบ และทางร้านใช้ระบบบาร์โค้ดเช็คสินค้าได้ทันทีว่าเหลือสต้อกเท่าไร แต่โดยส่วนตัวคิดว่าโปรแกรมสำเร็จรูปที่ จขกท.ใช้อยู่ไม่ค่อยตอบสนองได้ดีสักเท่าไร (Dmart) หากใครมีโปรแกรมสำเร็จรูปดีๆ ราคาไม่แพง ก็แนะนำจขกท. ได้นะครับ และ การที่สินค้าทางร้านเปลี่ยนไปเรื่อยๆทำให้สินค้าของทางร้านมีความแตกต่าง(Difference)
กับร้านอื่นๆและ ยังตอบสนองให้กับลูกค้าที่รวดเร็ว(QR) โดยการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าส่งเมื่อมีสินค้าใหม่ม่ ร้านก็แจ้งเราก่อน เราก็เอาสินค้ามาขายก่อนเจ้าอื่น

              จุดอ่อน คือ หากลูกค้าที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่สูงกว่า 20 บาท ทางร้านจะไม่มี ทำให้สูญเสียลูกค้าบางส่วนไป แต่ปัจจุบันเริ่มมีการนำสินค้าเหล่านั้นมาขายด้วยแต่ให้อยู่ในรูปของสินค้าแลกซื้อเพื่อไม่ทำให้โครงสร้างราคาของร้านเสียไป และในอนาคตมีแพลนว่าจะสร้างที่ข้างๆเป็นร้านขายสินค้าจับราคา (หลายราคา)โดยเฉพาะ

              โอกาส ของทางร้านคือ ภาวะศก.ยุคลุงที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกที่จะเข้าร้าน 20 โดยปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ากลุ่มบนของยอดปิรามิดเข้าร้านมาบ้างอล้ว เพราะสินค้า 20 บางอย่างคุณภาพก็โอเคเลยทีเดียว หรือบางครั้งมักจะมีของหลุดมาเช่น ของจากไดโซะเจแปน บ้าง H&M บ้าง เสื้ออาเบอร์คอมบี้ก็มีหลุดมาบ้างเป็นระยะๆ , และคู่แข่งของทางร้านมีอยู่น้อยมาก ถ้าเป็นคู่แข่งทางตรงแทบจะไม่มีเลยเนื่องจากการลงทุนที่ค่อนข้างสูงของกิจการร้าน20 ที่มีขนาดใหญ่

            อุปสรรค คือ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่นิยม ช้อปปิ้งOnLine กันมากขึ้น ทำให้มีลูกค้าบางส่วนที่ไม่อยากออกมา ยิ่งช่วงที่มีโปรส่งฟรีนี่ไม่ต้องพูดถึง จขกท. เองก็เป็น 1 ในเหยื่อการตลาดเหล่านั้นด้วย ฮาาาา , ปัจจัยอีกอย่างที่เป็นอุปสรรคคือ โรคระบาด เช่นไวรัสโคโรน่า เนี่ยทำให้จีนปิดประเทศ ทำให้สินค้าหายไปค่อนข้างเยอะทีเดียว เพราะเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสินค้าส่วนใหญ่มาจากจีนจริงๆ แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีนั่นคือยอดขายของ จขกท.เพิ่มขึ้นมากในช่วงมีโรคระบาดโดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ขายจนหมดโกดังเลยทีเดียวเพราะ ยังคงขาย 20 อยู่เหมือนเดิมในขณะที่อื่นราคากระโดดไปสองเท่า สามเท่ากันแล้ว

            โดยสรุปแล้ว ธุรกิจร้านทุกอย่าง 20 เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจในยุคที่ภาวะศก.ตกต่ำเช่นนี้ แต่ก็ยังมีBarrier ที่ขวางกั้นรายใหม่ๆเข้ามาคือ การลงทุนที่ค่อนข้างสูง บางท่านอาจจะทักว่า เราเปิดเล็กๆก็ได้นี่ แต่ในความคิด จขกท.คือ ถ้าเปิดเล็ก คือเตรียมรอวันเจ๊งได้เลย อีกมีบางท่านถามว่าเฟรนไชร์ดีไหมโดยส่วนตัว จขกท.ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่เหมาะสำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนมากกว่า แต่ถ้าใครที่ทำงานประจำอยู่แนะนำว่า กอดเงินเดือนไว้แน่นๆครับอย่าออกมา เพราะตอนนี้แข่งขันกันสูงมากจริงๆ คนที่อยู่ก็สู้กันต่อไปครับ ให้กำลังใจทุกท่านครับ
           
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่