1. ไวรัส corona ให้นึกถึงลูกเทนนิสที่มีหนาม มันจะเอาหนามนี่ไปเกาะตามที่ต่าง ๆ ในร่างกาย อยู่ที่ว่ามันพัฒนามาให้เกาะได้ที่ไหน ถ้ามันไปเกาะที่จมูก เราก็จาม ถ้ามันไปเกาะที่ปอด เราก็จะไอ หายใจไม่ออก
2. ไวรัส corona คำว่า corona มาจากคำว่า Crown คือมงกุฏ ตั้งชื่อตามลักษณะรอยหยักด้านบนที่คล้ายมงกุฏของไวรัสนี้ มันจะไปเกาะที่ปอด และสร้างตัวมันเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จะส่งผลต่อปอด ทำให้หายใจไม่ออก(อย่าลืมว่า ไวรัสมันไปเกาะที่ปอด มันจะต้องเข้าทางทางเดินหายใจเท่านั้น)
3. โคโรน่า ต่างจาก ซาร์ ในเรื่องความเร็ว และอันตรายในการออกฤทธิ์ทำลายปอด และมีดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอที่ต่างกัน
4. ไวรัสไม่มีปีก ไม่มีขา มันเดินทางเองไม่ได้ มันจะต้องอาศัยพาหะในการติดต่อ โดยอาศัยคนในการแพร่ ดังนั้นจึงติดต่อได้จากการจาม และหายใจเอาเชื้อเข้าไป
5. เริ่มแรก ติดจากสัตว์กับสัตว์ แต่พอคนไปเดินตลาดที่ขายสัตว์ (ที่ยังมีชีวิต) ได้อยู่ใกล้สัตว์ หรือสัมผัสกับสัตว์ ตัวไวรัสมีการกลายพันธุ์ สามารถติดจากสัตว์สู่คน ก็เกิดการกลายพันธุ์อีก ไปเกาะที่ปอด และติดจากคนสู่คนได้ การติดต่อนี้ ผ่านการสัมผัสและอยู่ใกล้ หายใจเอาอากาศที่มีเชื้อสู่ระบบทางเดินหายใจ
6. เมื่อผู้ป่วยจาม เชื้อไม่สามารถล่องลอยอยู่ในอากาศได้ ดังนั้นมันจะตกลงสู่พื้นเสมอ ถ้าผู้ป่วยจามใส่โต๊ะ แล้วเราเอามือไปจับที่โต๊ะ แล้วเอามือมาจับหน้า จับปาก จับจมูก ไวรัสจะเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจเรา แล้วเราจะติด
7. การใส่ Mask ดีกว่าไม่ใส่ แต่ไม่ใช่เพราะใส่ mask แล้วเชื้อจะไม่เข้าไป เพราะถ้ามีคนจามใส่เราตรง ๆ mask จะไม่สามารถปิดหมดได้ นอกจาก N95 (ซึ่งเราจะหายใจลำบากมากเมื่อใส่) การใส่ mask จะดีกว่าตรงที่ มันจะกันไม่ให้เราเอามือไปสัมผัสปาก
8. เพราะฉะนั้น key จะอยู่ตรงที่การไม่เอามือไปสัมผัสจมูกหรือปาก ล้างมือบ่อย ๆ
9. การกินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อไวรัส ไม่ทำให้ติดเชื้อได้ เพราะเชื้อจะถูกกรดในกระเพาะกำจัด ที่บอกกันว่าการกินค้างคาว กินงู ที่มีไวรัสนี้ แล้วทำให้ติด จึงไม่ใช่เรื่องจริง มันคือเกิดจากการสัมผัส และอยู่ใกล้ สัตว์ที่ยังมีชีวิตที่มีไวรัสนี้ต่างหาก
10. ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกัน หรือยารักษาโรคนี้ วิธีรักษาคือ รักษาไปตามอาการ ถ้าขาดน้ำให้กินน้ำ ถ้าไตล้มเหลวก็ต้องช่วยที่ไต รอจนกว่าร่างกายจะสร้างแอนตี้บอดี้ มาต่อต้านได้เอง (เหมือนกับเราเป็นหวัด เราจะดีขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป รอแอนตี้บอดี้จัดการเอง ที่ยากคือเชื้อมาจากสัตว์ ร่างกายเราไม่เคยเจอ ก็จะคงคิดนานหน่อย)
11. เด็ก และคนแก่ จะสร้างแอนตี้บอดี้ได้ช้า อาจไม่ทันต่อการแพร่กระจายของโรค
12. วิธีแก้คือต้องกันผู้ป่วยออกจากคนอื่น ไม่ให้เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายได้ เหมือนกับตอนโรคซาร์ ที่กันจนไม่มีการระบาดได้อีก
13. ผู้ป่วยเวลาจาม หรือไอ ควรทำใส่กระดาษทิชชู่ กลับกัน เราเจอคนจามคนไอ ให้หันหน้าไปทางอื่น ไม่ใช่หันหน้าไปสู้
14. ถ้าเราเพิ่งเดินทางมาไม่นาน (ไม่ว่าจะประเทศไหน) ให้คอยดูอาการ เพราะไวรัสจะมีเวลาฟักตัว14วัน ไม่ได้แสดงอาการทันที (อีตอนนี้ก็แพร่กระจายได้นะ) อาการจะเริ่มจาก น้ำมูกไหล เป็นไข้ ถ้าเราสุ่มเสี่ยง ให้เรารีบไปหาหมอ เพราะถ้าเกิดอาการที่ปอดแล้ว เราจะหายใจไม่ออกได้
เครดิต ต้นทางมี17ข้อ บางข้อซ้ำกัน
Resource :
Translate : Anuchit Arunchokechai
Fanpage : สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
Given the speed of global travel, Canadian officials have said they would not be surprised if the virus lands here. Dr. Peter Lin and CBC News’s Michael Sera
ปอลิง ใครมีข้อมูลเพิ่ม เช่น ไวรัสอยู่ภายนอกได้กี่วัน อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงฆ่าไวรัสได้มาแบ่งปันกัน
***อย่าลืม
1.ใส่แมส
2.ล้างมือ
3.กินของร้อน
สรุป ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
2. ไวรัส corona คำว่า corona มาจากคำว่า Crown คือมงกุฏ ตั้งชื่อตามลักษณะรอยหยักด้านบนที่คล้ายมงกุฏของไวรัสนี้ มันจะไปเกาะที่ปอด และสร้างตัวมันเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จะส่งผลต่อปอด ทำให้หายใจไม่ออก(อย่าลืมว่า ไวรัสมันไปเกาะที่ปอด มันจะต้องเข้าทางทางเดินหายใจเท่านั้น)
3. โคโรน่า ต่างจาก ซาร์ ในเรื่องความเร็ว และอันตรายในการออกฤทธิ์ทำลายปอด และมีดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอที่ต่างกัน
4. ไวรัสไม่มีปีก ไม่มีขา มันเดินทางเองไม่ได้ มันจะต้องอาศัยพาหะในการติดต่อ โดยอาศัยคนในการแพร่ ดังนั้นจึงติดต่อได้จากการจาม และหายใจเอาเชื้อเข้าไป
5. เริ่มแรก ติดจากสัตว์กับสัตว์ แต่พอคนไปเดินตลาดที่ขายสัตว์ (ที่ยังมีชีวิต) ได้อยู่ใกล้สัตว์ หรือสัมผัสกับสัตว์ ตัวไวรัสมีการกลายพันธุ์ สามารถติดจากสัตว์สู่คน ก็เกิดการกลายพันธุ์อีก ไปเกาะที่ปอด และติดจากคนสู่คนได้ การติดต่อนี้ ผ่านการสัมผัสและอยู่ใกล้ หายใจเอาอากาศที่มีเชื้อสู่ระบบทางเดินหายใจ
6. เมื่อผู้ป่วยจาม เชื้อไม่สามารถล่องลอยอยู่ในอากาศได้ ดังนั้นมันจะตกลงสู่พื้นเสมอ ถ้าผู้ป่วยจามใส่โต๊ะ แล้วเราเอามือไปจับที่โต๊ะ แล้วเอามือมาจับหน้า จับปาก จับจมูก ไวรัสจะเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจเรา แล้วเราจะติด
7. การใส่ Mask ดีกว่าไม่ใส่ แต่ไม่ใช่เพราะใส่ mask แล้วเชื้อจะไม่เข้าไป เพราะถ้ามีคนจามใส่เราตรง ๆ mask จะไม่สามารถปิดหมดได้ นอกจาก N95 (ซึ่งเราจะหายใจลำบากมากเมื่อใส่) การใส่ mask จะดีกว่าตรงที่ มันจะกันไม่ให้เราเอามือไปสัมผัสปาก
8. เพราะฉะนั้น key จะอยู่ตรงที่การไม่เอามือไปสัมผัสจมูกหรือปาก ล้างมือบ่อย ๆ
9. การกินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อไวรัส ไม่ทำให้ติดเชื้อได้ เพราะเชื้อจะถูกกรดในกระเพาะกำจัด ที่บอกกันว่าการกินค้างคาว กินงู ที่มีไวรัสนี้ แล้วทำให้ติด จึงไม่ใช่เรื่องจริง มันคือเกิดจากการสัมผัส และอยู่ใกล้ สัตว์ที่ยังมีชีวิตที่มีไวรัสนี้ต่างหาก
10. ตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนที่จะป้องกัน หรือยารักษาโรคนี้ วิธีรักษาคือ รักษาไปตามอาการ ถ้าขาดน้ำให้กินน้ำ ถ้าไตล้มเหลวก็ต้องช่วยที่ไต รอจนกว่าร่างกายจะสร้างแอนตี้บอดี้ มาต่อต้านได้เอง (เหมือนกับเราเป็นหวัด เราจะดีขึ้นเองเมื่อเวลาผ่านไป รอแอนตี้บอดี้จัดการเอง ที่ยากคือเชื้อมาจากสัตว์ ร่างกายเราไม่เคยเจอ ก็จะคงคิดนานหน่อย)
11. เด็ก และคนแก่ จะสร้างแอนตี้บอดี้ได้ช้า อาจไม่ทันต่อการแพร่กระจายของโรค
12. วิธีแก้คือต้องกันผู้ป่วยออกจากคนอื่น ไม่ให้เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายได้ เหมือนกับตอนโรคซาร์ ที่กันจนไม่มีการระบาดได้อีก
13. ผู้ป่วยเวลาจาม หรือไอ ควรทำใส่กระดาษทิชชู่ กลับกัน เราเจอคนจามคนไอ ให้หันหน้าไปทางอื่น ไม่ใช่หันหน้าไปสู้
14. ถ้าเราเพิ่งเดินทางมาไม่นาน (ไม่ว่าจะประเทศไหน) ให้คอยดูอาการ เพราะไวรัสจะมีเวลาฟักตัว14วัน ไม่ได้แสดงอาการทันที (อีตอนนี้ก็แพร่กระจายได้นะ) อาการจะเริ่มจาก น้ำมูกไหล เป็นไข้ ถ้าเราสุ่มเสี่ยง ให้เรารีบไปหาหมอ เพราะถ้าเกิดอาการที่ปอดแล้ว เราจะหายใจไม่ออกได้
เครดิต ต้นทางมี17ข้อ บางข้อซ้ำกัน
Resource :
Translate : Anuchit Arunchokechai
Fanpage : สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
Given the speed of global travel, Canadian officials have said they would not be surprised if the virus lands here. Dr. Peter Lin and CBC News’s Michael Sera
ปอลิง ใครมีข้อมูลเพิ่ม เช่น ไวรัสอยู่ภายนอกได้กี่วัน อุณหภูมิเท่าไหร่ถึงฆ่าไวรัสได้มาแบ่งปันกัน
***อย่าลืม
1.ใส่แมส
2.ล้างมือ
3.กินของร้อน