ถ้าเอากันแค่ว่า 1917 คือหนังสงครามโลกธรรมดา ก็อาจจะไม่ได้มีใครให้ความสนใจกับหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่พอหนังโปรโมทออกมาและมีคนพูถึงกันมากขึ้นๆ เกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take ที่เหมือนกับถ่ายครั้งเดียวตลอดทั้งเรื่อง มันเลยกลายเป็นประเด็นที่สร้างความน่าสนใจอย่างมากให้กับหนังสงครามที่มีเส้นเรื่องธรรมดาเรื่องนี้
หนังเล่าเรี่องราวของทหาร 2 นาย สคอฟิลด์ (จอร์จ แมคเคย์) และ เบลก (ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน) ที่ได้รับหน้าที่ให้ไปแจ้งกองแนวหน้าให้หยุดบุกถล่มฝั่งเยอรมันที่ถอยทัพกลับไป เนื่องจากมันเป็นกับดัก นี่คือเส้นเรื่องหลักเส้นเดียวทั้งหมดที่หนังจะเล่าให้เราฟัง และหลังจากนั้นหนังจะพาเราไปรับรู้ถึงความลำบาก เหตุการณ์ระหว่างการเดินทางเข้าสู่แดนข้าศึก การสูญเสีย และมิตรภาพในสนามรบ
เอาจริงๆ ส่วนตัวผมทึ่งตั้งแต่ฉากแรกของเรื่องที่เปิดออกมาแล้ว ภาพหนังถูกจัดเรียงได้อย่างสวยงามมากๆ พอกล้องเริ่มเดิน มันเหมือนกับเรานั่งดูนักแสดงอยู่บนดอลลี่ตลอดเวลา เหมือนเรากำลังเคลื่อนตัวไปกับตัวละครในเรื่องไปด้วยกัน ซึ่งเทคนิค Long Take แบบนี้เราจะเห็นจากหนังบางเรื่อง แต่ก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งของเรื่อง อาจจะ 10-15 นาที หรืออย่างมากก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่เรื่องนี้ถ่ายทำแบบนี้ “ทั้งเรื่อง”
เท่าที่อ่านข้อมูลก่อนถ่ายแต่ละฉาก หนังต้องมีการซ้อมคิวถ่ายกันนานมาก ก่อนจะเริ่มถ่ายจริง ซึ่งฉากที่จะถูกตัดต่อ จะเป็นแค่ตอนที่เหมือนภาพตัดไปหรือภาพมืด หรืออาจจะฉากที่มันเหมือนเปลี่ยนช่วงเวลาเท่านั้น ซึงในหนังมีไม่กี่ฉาก ไหนจะเรื่องของแสงอีกล่ะ ที่หนังจะใช้ฉากที่มีแสงธรรมชาติเข้ามาหลายฉากมาก เพราะฉะนั้นการถ่ายทำแบบนี้เห็นถึงความยากลำบากเลย โดยเฉพาะฉากที่ต้องมีคนเข้าฉากร่วมกันเยอะๆ ถ้าผิดแค่คนเดียว ยกเลิกถ่ายใหม่หมดจ้าาาา ต้องยกความดีความชอบให้ผู้กำกับ “Sam Mendes” ไปเลยเต็มๆ
ตัวละครหลักในหนังมีแค่สองคนเท่านั้น ซึ่งสองคนนี้จะเป็นตัวเดินเรื่องเป็นหลัก การใช้นักแสดงสองคนนี้แสดงให้เห็นถึงตัวละครที่ถูกวางมาให้เป็นตัวละครที่มีความคิดเรื่อง “สงคราม” แบบเด็กน้อยมากๆ คนหนึ่งอยากกลับบ้านไปอยู่อย่างเงียบๆ แต่อีกคนอยากลับบ้านแบบวีรบุรุษ ซึ่งทั้งสองกลับเป็นเพื่อนรักกัน มันเลยทำให้การตัดสินใจบางอย่างของตัวละครเกิดจากอารมณ์และการด้อยประสบการณ์ล้วนๆ ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครทั้งสองอยู่ตลอดเวลา ส่วนตัวละครตัวอื่นเป็นแค่เหมือนตัวประกอบที่เข้ามาอยู่ในจุดที่หนังต้องการน้ำหนักในการเล่าเรื่อง ซึ่งก็โผล่มาแค่แป้บเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นนักแสดงชื่อดังก็ตาม
ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าหนังเรื่องนี้ดียังไง ทำไมถึงมีชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย และได้ไปหลายรางวัลแล้วด้วย แต่พอได้ดูต้องบอกว่าถึงกับทึ่ง และอึ้งไปกับงานที่สุดปราณีตเรื่องนี้ และประทับใจสุดๆ ถึงแม้เรื่องราวของหนังจะไม่ได้มีอะไรมาก แต่ความมากมันคืองานภาพที่หนังทำออกมาได้อย่างสุดยอดมากกกว่า
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] 1917 - หนังสงครามที่ใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take ทั้งเรื่อง ขอกราบคารวะ
ถ้าเอากันแค่ว่า 1917 คือหนังสงครามโลกธรรมดา ก็อาจจะไม่ได้มีใครให้ความสนใจกับหนังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่พอหนังโปรโมทออกมาและมีคนพูถึงกันมากขึ้นๆ เกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายทำแบบ Long Take ที่เหมือนกับถ่ายครั้งเดียวตลอดทั้งเรื่อง มันเลยกลายเป็นประเด็นที่สร้างความน่าสนใจอย่างมากให้กับหนังสงครามที่มีเส้นเรื่องธรรมดาเรื่องนี้
หนังเล่าเรี่องราวของทหาร 2 นาย สคอฟิลด์ (จอร์จ แมคเคย์) และ เบลก (ดีน-ชาร์ลส์ แชปแมน) ที่ได้รับหน้าที่ให้ไปแจ้งกองแนวหน้าให้หยุดบุกถล่มฝั่งเยอรมันที่ถอยทัพกลับไป เนื่องจากมันเป็นกับดัก นี่คือเส้นเรื่องหลักเส้นเดียวทั้งหมดที่หนังจะเล่าให้เราฟัง และหลังจากนั้นหนังจะพาเราไปรับรู้ถึงความลำบาก เหตุการณ์ระหว่างการเดินทางเข้าสู่แดนข้าศึก การสูญเสีย และมิตรภาพในสนามรบ
เอาจริงๆ ส่วนตัวผมทึ่งตั้งแต่ฉากแรกของเรื่องที่เปิดออกมาแล้ว ภาพหนังถูกจัดเรียงได้อย่างสวยงามมากๆ พอกล้องเริ่มเดิน มันเหมือนกับเรานั่งดูนักแสดงอยู่บนดอลลี่ตลอดเวลา เหมือนเรากำลังเคลื่อนตัวไปกับตัวละครในเรื่องไปด้วยกัน ซึ่งเทคนิค Long Take แบบนี้เราจะเห็นจากหนังบางเรื่อง แต่ก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งของเรื่อง อาจจะ 10-15 นาที หรืออย่างมากก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แต่เรื่องนี้ถ่ายทำแบบนี้ “ทั้งเรื่อง”
เท่าที่อ่านข้อมูลก่อนถ่ายแต่ละฉาก หนังต้องมีการซ้อมคิวถ่ายกันนานมาก ก่อนจะเริ่มถ่ายจริง ซึ่งฉากที่จะถูกตัดต่อ จะเป็นแค่ตอนที่เหมือนภาพตัดไปหรือภาพมืด หรืออาจจะฉากที่มันเหมือนเปลี่ยนช่วงเวลาเท่านั้น ซึงในหนังมีไม่กี่ฉาก ไหนจะเรื่องของแสงอีกล่ะ ที่หนังจะใช้ฉากที่มีแสงธรรมชาติเข้ามาหลายฉากมาก เพราะฉะนั้นการถ่ายทำแบบนี้เห็นถึงความยากลำบากเลย โดยเฉพาะฉากที่ต้องมีคนเข้าฉากร่วมกันเยอะๆ ถ้าผิดแค่คนเดียว ยกเลิกถ่ายใหม่หมดจ้าาาา ต้องยกความดีความชอบให้ผู้กำกับ “Sam Mendes” ไปเลยเต็มๆ
ตัวละครหลักในหนังมีแค่สองคนเท่านั้น ซึ่งสองคนนี้จะเป็นตัวเดินเรื่องเป็นหลัก การใช้นักแสดงสองคนนี้แสดงให้เห็นถึงตัวละครที่ถูกวางมาให้เป็นตัวละครที่มีความคิดเรื่อง “สงคราม” แบบเด็กน้อยมากๆ คนหนึ่งอยากกลับบ้านไปอยู่อย่างเงียบๆ แต่อีกคนอยากลับบ้านแบบวีรบุรุษ ซึ่งทั้งสองกลับเป็นเพื่อนรักกัน มันเลยทำให้การตัดสินใจบางอย่างของตัวละครเกิดจากอารมณ์และการด้อยประสบการณ์ล้วนๆ ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้คนดูเอาใจช่วยตัวละครทั้งสองอยู่ตลอดเวลา ส่วนตัวละครตัวอื่นเป็นแค่เหมือนตัวประกอบที่เข้ามาอยู่ในจุดที่หนังต้องการน้ำหนักในการเล่าเรื่อง ซึ่งก็โผล่มาแค่แป้บเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นนักแสดงชื่อดังก็ตาม
ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าหนังเรื่องนี้ดียังไง ทำไมถึงมีชื่อเข้าชิงรางวัลมากมาย และได้ไปหลายรางวัลแล้วด้วย แต่พอได้ดูต้องบอกว่าถึงกับทึ่ง และอึ้งไปกับงานที่สุดปราณีตเรื่องนี้ และประทับใจสุดๆ ถึงแม้เรื่องราวของหนังจะไม่ได้มีอะไรมาก แต่ความมากมันคืองานภาพที่หนังทำออกมาได้อย่างสุดยอดมากกกว่า
ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้