ตอนแรกแค่ตั้งใจจะเข้ามาอ่านคอมเม้นต์ แต่กลายเป็นว่าไหงยังไม่มีใครเขียนถึงหนังสุดเวียร์ต สุดบ้าเรื่องนี้เลยหว่า
อย่ากระนั้นเลย เขียนถึงซักหน่อยก็ได้ (ผมว่าหนังมันเจ๋งจะตาย)
The Lighthouse เป็นผลงานล่าสุดของ Robert Eggers ผู้กำกับเจ้าของผลงานสุดยอดอย่าง The VVitch แต่ซึ่ง
เป็นผลงานสร้างชื่อของเขา (ใครยังไม่เคยดู ก็แนะนำเลย สุดยอดมาก ๆ) มาคราวนี้ Eggers ก็กลับมาอีกครั้งกับหนัง
แนวสยองขวัญเช่นเดิม เรื่องว่าด้วยชายสองคนที่ต้องไปดูแลประภาคารบนเกาะร้างกลางทะเลเป็นแรมเดือน แต่งานนี้
ชายสองคนท่ามกลางธรรมชาติมันไม่ได้โรแมนติกเหมือนหนัง brokeback mountain แต่มันกลับทั้งหลอน ทั้ง
สั่นประสาท หนักข้อไม่แพ้ผลงานเรื่องแรกของเขาเลย
ตัวบทของหนังเรื่องนี้นั้น ผมได้ยินมาว่าดัดแปลงจากงานเรื่องสั้นของเอดการ์ อลัน โป ยอดนักเขียนเรื่องสยองขวัญ
ในอดีต แต่พอไปเช็คเข้าจริง ๆ ตัวเรื่องก็ไม่ได้เหมือนซักเท่าไหร่ (เรื่องสั้นของโป มีแค่สองหน้าเอง) คือ Eggers
เขาต่อยอดจากเรื่องสั้นมากอีกไกลมาก เนื้อเรื่องทั้งเข้มข้น ปมขัดแย้งเยอะมาก ตั้งแต่การไม่ลงรอยกันของชายทั้งสอง
ซึ่งค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนท้าย ๆ ก็เลยเถิดเหนือกว่าที่เราจะเดาได้
ที่ต้องชมเป็นพิเศษ คือด้านการแสดง ซึ่งหลัก ๆ ก็เล่นกันอยู่แค่สองคนคือ วิลเลี่ยม เดโฟ กับ โรเบิร์ต แพททิสัน
(น่าแปลกว่าทั้งคู่นั้นเคยเล่นเป็นแวมไพร์มาแล้วทั้งคู่จาก shadow of the vampire กับ twilight คิดอีกทีก็ขำดีที่จะ
มาเห็นสองแวมไพร์มาห่ำหันกับตัวต่อตัว) วิลเลี่ยม เดโฟ นั้นสบายหายห่วงครับ บทบาทผู้ดูแลประภาคาร ที่ทั้งกักขฬะ
บ้าอำนาจ และดูลึกลับนั้น เขาตีบทได้กระจุยเลย แต่ที่น่าแปลกใจคือ โรเบิร์ต แพททิสัน รับบทเป็นผู้ช่วยดูแล
ประภาคาร ที่เก็บกด เกรียวกราด และมีเงื่อนงำ เขาเล่นได้แบบพอฟัดพอเหวี่ยงกับเดโฟเลย งานนี้เจ้าตัว
เขาทุ่มสุดตัวจริง ๆ
ที่ต้องชมอีกอย่าง คืองานด้านภาพก่อน เพราะหนังเรื่องนี้ ถ่ายเป็นขาวดำ อีกทั้งใช้สัดส่วนภาพแบบประหลาดคือ
1.13:1 ซึ่งเคยให้กับหนังขาวดำยุคโบราณ(เช่นเรื่อง M หรือเรื่อง Sunrise) คือดู ฮาวทูทิ้ง ที่เป็นสัดส่วน 3:2 ก็ว่าแคบ
แล้วนะ แต่เรื่องนี้ภาพมันเกือบจะเป็นจตุรัสอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น งานด้านภาพในหนังเรื่องนี้สวยมากกกกก และ
ดูแล้วก็ทำให้กดดันสุด ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ชิงออสก้าร์สาขาถ่ายภาพ และถ้าเรื่องนี้ใครมีความรู้งู ๆ ปลา ๆ
เรื่ององค์ประกอบภาพในหนังอยู่บ้าง ดูหนังเรื่องนี้จะเห็นเลยว่ามันโชว์เหนืองานด้านภาพแบบสุดฤทธิ์จริง ๆ ทั้งการเล่น
กับภาพแบบสมมาตร การใช้แสง การใช้เงา ฯลฯ ส่วนตัวเอาแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
นอกจากนี้งานด้านเสียง ก็ถือว่าทำได้ดี ซาวนด์บิ๊วด์อารมณ์เราอยู่ตลอดเวลา ช่วยเสริมบรรยากาศของหนังมาก
แต่บางทีก็รู้สึกว่ามันดังและใช้มากไปหน่อย จนรู้สึกว่ามันกลบหนังในบางช่วง (คล้าย ๆ ตอนดู Joker เลย)
แต่ถ้าหากจะถามว่าหนังจะสื่อถึงอะไร อันนี้ตอบยากครับ รู้สึกแค่ว่า "หนังมันหลอนมาก" แล้วเนื้อหาเปิดให้
ตีความได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผีสาง ปมเชิงจิตวิทยา ความเป็นชาย Queer ฯลฯ คือตอนแรกก็พยายามจะ
ตีความนะครับ แต่หนังมันก็หักมุมหลายตลบ จนสุดท้ายเลยยอมดูแบบใจว่าง ๆ ปล่อยให้หนังมันพาไปเรื่อย ๆ
ซึ่งก็ได้ผลครับ ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม 5555 แต่มันโคตรสนุกเลย อารมณ์แบบขึ้นรถไฟเหาะ มันส์สุดเหวี่ยงมาก
แต่ก็พอจับได้แหละว่าคงหนีไม่พบประเด็น "ด้านมืดในใจมนุษย์" นั่นแหละ
ไว้แค่นี่ดีกว่า จริง ๆ มีหลายประเด็นให้น่าพูดถึงมาก แต่รอเพื่อนคนอื่นมาแชร์ไอเดียกันอีกที
The Lighthouse: ชายสองคนบนเกาะร้างกับประภาคารอันชูชัน (ไม่สปอยล์ละกัน)
ตอนแรกแค่ตั้งใจจะเข้ามาอ่านคอมเม้นต์ แต่กลายเป็นว่าไหงยังไม่มีใครเขียนถึงหนังสุดเวียร์ต สุดบ้าเรื่องนี้เลยหว่า
อย่ากระนั้นเลย เขียนถึงซักหน่อยก็ได้ (ผมว่าหนังมันเจ๋งจะตาย)
The Lighthouse เป็นผลงานล่าสุดของ Robert Eggers ผู้กำกับเจ้าของผลงานสุดยอดอย่าง The VVitch แต่ซึ่ง
เป็นผลงานสร้างชื่อของเขา (ใครยังไม่เคยดู ก็แนะนำเลย สุดยอดมาก ๆ) มาคราวนี้ Eggers ก็กลับมาอีกครั้งกับหนัง
แนวสยองขวัญเช่นเดิม เรื่องว่าด้วยชายสองคนที่ต้องไปดูแลประภาคารบนเกาะร้างกลางทะเลเป็นแรมเดือน แต่งานนี้
ชายสองคนท่ามกลางธรรมชาติมันไม่ได้โรแมนติกเหมือนหนัง brokeback mountain แต่มันกลับทั้งหลอน ทั้ง
สั่นประสาท หนักข้อไม่แพ้ผลงานเรื่องแรกของเขาเลย
ตัวบทของหนังเรื่องนี้นั้น ผมได้ยินมาว่าดัดแปลงจากงานเรื่องสั้นของเอดการ์ อลัน โป ยอดนักเขียนเรื่องสยองขวัญ
ในอดีต แต่พอไปเช็คเข้าจริง ๆ ตัวเรื่องก็ไม่ได้เหมือนซักเท่าไหร่ (เรื่องสั้นของโป มีแค่สองหน้าเอง) คือ Eggers
เขาต่อยอดจากเรื่องสั้นมากอีกไกลมาก เนื้อเรื่องทั้งเข้มข้น ปมขัดแย้งเยอะมาก ตั้งแต่การไม่ลงรอยกันของชายทั้งสอง
ซึ่งค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนท้าย ๆ ก็เลยเถิดเหนือกว่าที่เราจะเดาได้
ที่ต้องชมเป็นพิเศษ คือด้านการแสดง ซึ่งหลัก ๆ ก็เล่นกันอยู่แค่สองคนคือ วิลเลี่ยม เดโฟ กับ โรเบิร์ต แพททิสัน
(น่าแปลกว่าทั้งคู่นั้นเคยเล่นเป็นแวมไพร์มาแล้วทั้งคู่จาก shadow of the vampire กับ twilight คิดอีกทีก็ขำดีที่จะ
มาเห็นสองแวมไพร์มาห่ำหันกับตัวต่อตัว) วิลเลี่ยม เดโฟ นั้นสบายหายห่วงครับ บทบาทผู้ดูแลประภาคาร ที่ทั้งกักขฬะ
บ้าอำนาจ และดูลึกลับนั้น เขาตีบทได้กระจุยเลย แต่ที่น่าแปลกใจคือ โรเบิร์ต แพททิสัน รับบทเป็นผู้ช่วยดูแล
ประภาคาร ที่เก็บกด เกรียวกราด และมีเงื่อนงำ เขาเล่นได้แบบพอฟัดพอเหวี่ยงกับเดโฟเลย งานนี้เจ้าตัว
เขาทุ่มสุดตัวจริง ๆ
ที่ต้องชมอีกอย่าง คืองานด้านภาพก่อน เพราะหนังเรื่องนี้ ถ่ายเป็นขาวดำ อีกทั้งใช้สัดส่วนภาพแบบประหลาดคือ
1.13:1 ซึ่งเคยให้กับหนังขาวดำยุคโบราณ(เช่นเรื่อง M หรือเรื่อง Sunrise) คือดู ฮาวทูทิ้ง ที่เป็นสัดส่วน 3:2 ก็ว่าแคบ
แล้วนะ แต่เรื่องนี้ภาพมันเกือบจะเป็นจตุรัสอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น งานด้านภาพในหนังเรื่องนี้สวยมากกกกก และ
ดูแล้วก็ทำให้กดดันสุด ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้ชิงออสก้าร์สาขาถ่ายภาพ และถ้าเรื่องนี้ใครมีความรู้งู ๆ ปลา ๆ
เรื่ององค์ประกอบภาพในหนังอยู่บ้าง ดูหนังเรื่องนี้จะเห็นเลยว่ามันโชว์เหนืองานด้านภาพแบบสุดฤทธิ์จริง ๆ ทั้งการเล่น
กับภาพแบบสมมาตร การใช้แสง การใช้เงา ฯลฯ ส่วนตัวเอาแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
นอกจากนี้งานด้านเสียง ก็ถือว่าทำได้ดี ซาวนด์บิ๊วด์อารมณ์เราอยู่ตลอดเวลา ช่วยเสริมบรรยากาศของหนังมาก
แต่บางทีก็รู้สึกว่ามันดังและใช้มากไปหน่อย จนรู้สึกว่ามันกลบหนังในบางช่วง (คล้าย ๆ ตอนดู Joker เลย)
แต่ถ้าหากจะถามว่าหนังจะสื่อถึงอะไร อันนี้ตอบยากครับ รู้สึกแค่ว่า "หนังมันหลอนมาก" แล้วเนื้อหาเปิดให้
ตีความได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผีสาง ปมเชิงจิตวิทยา ความเป็นชาย Queer ฯลฯ คือตอนแรกก็พยายามจะ
ตีความนะครับ แต่หนังมันก็หักมุมหลายตลบ จนสุดท้ายเลยยอมดูแบบใจว่าง ๆ ปล่อยให้หนังมันพาไปเรื่อย ๆ
ซึ่งก็ได้ผลครับ ไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม 5555 แต่มันโคตรสนุกเลย อารมณ์แบบขึ้นรถไฟเหาะ มันส์สุดเหวี่ยงมาก
แต่ก็พอจับได้แหละว่าคงหนีไม่พบประเด็น "ด้านมืดในใจมนุษย์" นั่นแหละ
ไว้แค่นี่ดีกว่า จริง ๆ มีหลายประเด็นให้น่าพูดถึงมาก แต่รอเพื่อนคนอื่นมาแชร์ไอเดียกันอีกที