เทรด TFEX อย่างไรไม่มีเจ๊ง
ในตลาดหุ้นหรือ TFEX เค้าว่ากันว่า 100 คน มีคนขาดทุน 80 คน คนเท่าทุน 15 คน คนกำไร 5 คน ข้อความนี้เป็นจริงหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่จากที่คลุกคลีในวงการ TFEX มากว่าสิบปี ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่ขาดทุนมีจำนวนเยอะกว่าคนที่มีกำไรอย่างแน่นอน
ในเมื่อคนที่เทรด TFEX แล้วเจ๊งเป็นคนส่วนใหญ่ของตลาด ดังนั้นผมคิดว่าความรู้ที่น่าจะมานำเสนอให้ผู้สนใจลงทุนใน TFEX ได้ศึกษา คงไม่ใช่แค่กลยุทธ์ของการทำกำไรแต่เพียงอย่างเดียวเสียแล้ว แต่ต้องแนะนำผู้ลงทุนด้วยว่าจะมีวิธีเทรด TFEX อย่างไรไม่ให้เจ๊งด้วย
จากประสบการณ์ในการคลุกคลีกับผู้ลงทุน พบว่า คนส่วนใหญ่เวลาที่จะเทรด TFEX มักให้ความสำคัญกับผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับ โดยการตั้งคำถามว่า “วันนี้จะ Long หรือ Short ดี” หรือ “ถ้าเปิดสถานะไปแล้ว ราคาเป้าหมายน่าจะไปที่เท่าไหร่ แล้วจะได้กำไรเท่าไหร่” แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ในการตัดสินใจลงมือเทรดแต่ละครั้งจะให้ความสำคัญไปที่ความเสี่ยงและผลขาดทุนก่อนเสมอ เพื่อกำหนดว่าในการเทรดแต่ละครั้งจะลงมือดีไหม จำนวนกี่สัญญา และหากผิดทางจะทำอย่างไร
ดังนั้นถ้าจะให้นำเสนอเคล็ดลับการเทรด TFEX อย่างไรให้ได้กำไร ผมคิดว่าเราควรจะปรับแนวคิดใหม่ว่า “เทรดให้ได้กำไร คือ การคิดว่าจะเทรดอย่างไรไม่ให้เจ๊ง” ซึ่งความรู้ที่ผู้สนใจลงทุนใน TFEX ควรศึกษาเพื่อนำมาสร้างกลยุทธ์ในการเอาตัวรอดในตลาดนั้น ก็คือ การบริหารความเสี่ยงและเงินลงทุน หรือ Money Management ถ้าพร้อมแล้วมาดูรายละเอียดกันได้เลยครับ
เทรดอย่างไรไม่มีเจ๊ง
ในบทความนี้จะมีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ Money Management ที่ผมอยากจะแนะนำให้รู้จักกัน คือ Risk of Ruin หรือ ความน่าจะเป็นที่ลงทุนแล้วจะเจ๊งหรือหมดตัว ตัวเลขตัวนี้จะบอกว่าวิธีการเทรดของเราในปัจจุบันมีความเสี่ยงในการเทรด TFEX ระยะยาวแล้วจะเจ๊งหมดตัวมากน้อยขนาดไหน
การที่จะรู้ว่ามีตัวเองมีความน่าจะเป็นที่เทรดแล้วเจ๊งมากน้อยขนาดไหน เราจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง คือ
1) % Win Ratio (กำไรบ่อยไหม) คำนวณจาก จำนวนครั้งที่กำไร หาร จำนวนครั้งที่ซื้อขายทั้งหมด เป็นค่าที่บอกว่าครั้งที่ผลการเทรดออมาเป็นกำไร คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของจำนวนครั้งที่เทรดทั้งหมด
2) Payoff Ratio (ตอนกำไรได้เยอะไหมเทียบกับตอนขาดทุน) คำนวณจาก กำไรเฉลี่ยต่อครั้ง หาร ขาดทุนเฉลี่ยต่อครั้ง เป็นค่าที่บอกว่าค่าเฉลี่ยของผลกำไรในครั้งที่เทรดแล้วได้กำไร เป็นกี่เท่าของค่าเฉลี่ยของผลขาดทุนในครั้งที่เทรดแล้วขาดทุน หรือบอกว่าตอนที่กำไรได้กำไรมากกว่าตอนขาดทุนขนาดไหน
3) % Capital Risk Exposure (เสี่ยงแต่ละครั้งมากหรือน้อย) คือ จำนวนเงินที่จะเสียไปถ้าผลการเทรดครั้งนั้นออกมาเป็นขาดทุนคิดเป็นเปอร์เซนต์เปรียบเทียบกับเงินทุนเริ่มต้น เช่น ถ้าเรามีเงินทุน 100,000 บาท และถ้าเราเสี่ยงที่จะขาดทุน 5,000 บาท จากการเทรดในแต่ละครั้ง จะได้ค่า % Capital Risk Exposure เท่ากับ 5%
ตัวเลขในข้อที่ 1 และ 2 คือ %Win Ratio และ Payoff Ratio สามารถคำนวณได้สถิติการเทรดของเรา ซึ่งจำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูล หรือทำบันทึกการเทรด (Trading Journal) ส่วนตัวเลขในข้อที่ 3 คือ % Capital Risk Exposure จะเป็นตัวเลขที่เราต้องตัดสินใจเองว่าจะเสี่ยงที่จะเสียเงินในการเทรดครั้งละเท่าไหร่
Risk of Ruin
ค่า Risk of Ruin ที่คำนวณออกมาได้จะมีค่าระหว่าง 0 – 1 หรือ 0% -100% ถ้าคำนวณ Risk of Ruin ออกมาได้ 100% แปลความหมายได้ว่ามีโอกาสหมดตัวแน่นอน!!! ส่วนค่า Risk of Ruin เท่ากับ 0 แปลความหมายได้ว่า ไม่น่าจะหมดตัว
ในหนังสือ Beyond Technical Analysis ที่เขียนโดย Tushar S. Chande ได้แสดงตารางค่าของ Risk of Ruin จากการทดลองด้วยค่า %Win Ratio ตั้งแต่ 25-50%, Payoff Ratio ตั้งแต่ 1-3 และ %Capital Risk Exposure ที่ 1% , 1.5% , 2.0%
ตัวอย่างที่ 1 (สีแดง)
ถ้าสถิติในการเทรดของเรามีค่า % Win Ratio = 45% Payoff Ratio = 1 และเสี่ยงที่ขาดทุนครั้งละ 2% ของเงินทุน เราจะมีความเสี่ยงในการเทรดแล้วเจ๊งหมดตัว 93.6%
ตัวอย่างที่ 2 (สีน้ำเงิน)
ถ้าสถิติในการเทรดของเรามีค่า % Win Ratio = 35% Payoff Ratio = 2 และเสี่ยงที่ขาดทุนครั้งละ 1.5% ของเงินทุน เราจะมีความเสี่ยงในการเทรดแล้วเจ๊งหมดตัว 0.8%
ในหนังสือ Trader Money Management System ที่เขียนโดย Bennett A. McDowell ได้แสดงตารางค่าของ Risk of Ruin จากการทดลองของ Professor Nauzer Balsara ด้วยค่า %Win Ratio ตั้งแต่ 25-60% , Payoff Ratio ตั้งแต่ 1-5 และ %Capital Risk Exposure ที่ 10%
นอกจากนี้การหาค่า Risk of Ruin ยังสามารถทำได้โดยคำนวณจากสูตรสำเร็จโดยการแทนค่าตัวแปลได้อีกด้วย แต่สมการจะค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งผมจะไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ในบทความนี้ เพราะโดยส่วนตัวผมใช้ตารางด้านบนเป็นตัวเลขอ้างอิง ก็ได้ไอเดียเพียงพอแล้ว ส่วนใครสนใจสูตรคำนวณ Risk of Ruin ก็ลองศีกษาเพิ่มเติมกันดูครับ
วิธีใช้งานตาราง Risk of Ruin
การนำตาราง Risk of Ruin ไปใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงเพื่อไม่ให้ซื้อขายแล้วมีโอกาสหมดตัว ทำได้โดยต้องเก็บข้อมูล 2 ตัวจากสถิติการเทรดก่อน ได้แก่ %Win Ratio และ Payoff Ratio จากนั้นค่อยเลือก % Capital Risk Exposure ที่จะทำให้ค่า ROR มีค่าใกล้ 0% เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง
*** ถ้าเราต้องการเพิ่มจำนวนเงินที่จะเสี่ยงในแต่ละครั้ง ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายให้มี %Win Ratio หรือ Payoff Ratio ที่เพิ่มขึ้นก่อน โดยแนวทางในการเพิ่ม %Win Ratio ให้หาตัวช่วยที่ทำให้ได้สัญญาณซื้อขายที่แม่นยำขึ้นเช่น การใช้ Indicators เพื่อกรองสัญญาณหลอก เป็นต้น ส่วนแนวทางการเพิ่ม Payoff Ratio ให้ทดลองปรับวิธีการตัดขาดทุน หรือวิธีการทำกำไรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ***
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Risk of Ruin (ROR)
มีข้อส้งเกตเกี่ยวกับ Risk of Ruin และปัจจัยต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และควรรู้เพื่อใช้ในการวางแผนบริหารเงินในการเทรดดังต่อไปนี้ครับ
1. % Win ratio ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROR ลดลง
2. Payoff Ratio ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROR ลดลง
3. % Capital Risk Exposure เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROR เพิ่มขึ้น
4. กลยุทธ์การซื้อขาย Trend Following ส่วนใหญ่มี %Win Ratio อยู่ที่ 30%-40%
5. กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Mean Reversal หรือ Short Term ส่วนใหญ่จะต้องการ %Win Ratio ที่สูง ประมาณ 50% ขึ้นไป เนื่องจากมี Payoff Ratio ต่ำ กว่าระบบซื้อขายแบบ Trend Following
6. % Win Ratio ที่สูงกว่า 50% ขึ้นไป ค่า ROR จะลดลงอย่างรวดเร็ว
7. ระบบซื้อขายที่ Payoff Ratio มีค่าต่ำกว่า 1 ถือว่าเป็นระบบซื้อขายไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
8. ระบบซื้อขายที่ Payoff Ratio มีค่ามากกว่า 3 เป็นค่าสถิติที่หาได้ยากมาก
9. ถ้าการต้องการผลตอบแทนเพิ่มโดยเพิ่ม %Capital Risk Exposure อาจจะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะต้องรับเพิ่ม เพราะ ROR จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
10. จากตาราง ROR จะเห็นได้ว่าทำไมจึงมีข้อแนะนำทั่วไปว่า“ การเทรดในแต่ละครั้งไม่ควรเสี่ยงที่จะขาดทุนเกิน 2 % ของเงินลงทุน แต่สำหรับมือใหม่ ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1% ของเงินลงทุน ”
สรุป
การที่เราจะเทรด TFEX แล้วจะเจ๊งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างคือ เรากำไรบ่อยไหม (%Win Ratio) ตอนกำไรได้มาหรือน้อยเทียบกับตอนขาดทุน (Payoff Ratio) และเสี่ยงแต่ละครั้งมากหรือน้อย (%Capital Risk Exposure) โดยสองตัวแรกเป็นข้อมูลสถิติของกลยุทธ์ในการเทรดของเรา ส่วนตัวสุดท้ายเราสามารถกำหนดได้ว่าจะเสี่ยงมากหรือน้อย ดังนั้น ถ้าเรารู้ข้อมูลสองตัวแรก เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าควรจะเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เทรดแล้วเจ๊ง ซึ่งถ้าใครยังไม่เคยจดบันทึกการซื้อขายมาก่อน ก็มีข้อแนะนำเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ ไม่ควรเสี่ยงที่จะเสียเงินเกินครั้งละ 1% ของเงินทุน และมือเก๋าไม่ควรเสี่ยงที่จะเสียเงินเกินครั้งละ 2% ของเงินทุน
ผมเชื่อว่าหลายคนที่เทรดหุ้นหรือ TFEX แล้วเจ๊ง เนื่องจากไม่เคยวางแผนว่าในการซื้อขายแต่ละครั้งจะเสี่ยงเสียเงินครั้งละเท่าไหร่ แล้วแปลงเป็นจำนวนสัญญาที่จะลงมือซื้อขาย แต่หลังจากที่อ่านบทความตอนนี้นี้จบแล้ว ผมหวังว่าผู้อ่านจะไม่เสี่ยงในการซื้อขายแต่ละครั้งมากจนเกินไป ซึ่งผมรับรองว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว การเทรด TFEX ของคุณจะไม่มีเจ๊งแน่นอน!!! หากนักลงทุนท่านใดที่สนใจข้อมูลข่าวสาร ความรู้ดี ๆ ในการซื้อขาย Futures และ Options ใน TFEX เพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ TFEX Facebook : TFEX Station
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://portal.settrade.com/blog/tfexstation/2016/12/13/1845
เทรด TFEX อย่างไรไม่มีเจ๊ง
เทรด TFEX อย่างไรไม่มีเจ๊ง
ในตลาดหุ้นหรือ TFEX เค้าว่ากันว่า 100 คน มีคนขาดทุน 80 คน คนเท่าทุน 15 คน คนกำไร 5 คน ข้อความนี้เป็นจริงหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่จากที่คลุกคลีในวงการ TFEX มากว่าสิบปี ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคนที่ขาดทุนมีจำนวนเยอะกว่าคนที่มีกำไรอย่างแน่นอน
ในเมื่อคนที่เทรด TFEX แล้วเจ๊งเป็นคนส่วนใหญ่ของตลาด ดังนั้นผมคิดว่าความรู้ที่น่าจะมานำเสนอให้ผู้สนใจลงทุนใน TFEX ได้ศึกษา คงไม่ใช่แค่กลยุทธ์ของการทำกำไรแต่เพียงอย่างเดียวเสียแล้ว แต่ต้องแนะนำผู้ลงทุนด้วยว่าจะมีวิธีเทรด TFEX อย่างไรไม่ให้เจ๊งด้วย
จากประสบการณ์ในการคลุกคลีกับผู้ลงทุน พบว่า คนส่วนใหญ่เวลาที่จะเทรด TFEX มักให้ความสำคัญกับผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับ โดยการตั้งคำถามว่า “วันนี้จะ Long หรือ Short ดี” หรือ “ถ้าเปิดสถานะไปแล้ว ราคาเป้าหมายน่าจะไปที่เท่าไหร่ แล้วจะได้กำไรเท่าไหร่” แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ในการตัดสินใจลงมือเทรดแต่ละครั้งจะให้ความสำคัญไปที่ความเสี่ยงและผลขาดทุนก่อนเสมอ เพื่อกำหนดว่าในการเทรดแต่ละครั้งจะลงมือดีไหม จำนวนกี่สัญญา และหากผิดทางจะทำอย่างไร
ดังนั้นถ้าจะให้นำเสนอเคล็ดลับการเทรด TFEX อย่างไรให้ได้กำไร ผมคิดว่าเราควรจะปรับแนวคิดใหม่ว่า “เทรดให้ได้กำไร คือ การคิดว่าจะเทรดอย่างไรไม่ให้เจ๊ง” ซึ่งความรู้ที่ผู้สนใจลงทุนใน TFEX ควรศึกษาเพื่อนำมาสร้างกลยุทธ์ในการเอาตัวรอดในตลาดนั้น ก็คือ การบริหารความเสี่ยงและเงินลงทุน หรือ Money Management ถ้าพร้อมแล้วมาดูรายละเอียดกันได้เลยครับ
เทรดอย่างไรไม่มีเจ๊ง
ในบทความนี้จะมีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ Money Management ที่ผมอยากจะแนะนำให้รู้จักกัน คือ Risk of Ruin หรือ ความน่าจะเป็นที่ลงทุนแล้วจะเจ๊งหรือหมดตัว ตัวเลขตัวนี้จะบอกว่าวิธีการเทรดของเราในปัจจุบันมีความเสี่ยงในการเทรด TFEX ระยะยาวแล้วจะเจ๊งหมดตัวมากน้อยขนาดไหน
การที่จะรู้ว่ามีตัวเองมีความน่าจะเป็นที่เทรดแล้วเจ๊งมากน้อยขนาดไหน เราจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง คือ
1) % Win Ratio (กำไรบ่อยไหม) คำนวณจาก จำนวนครั้งที่กำไร หาร จำนวนครั้งที่ซื้อขายทั้งหมด เป็นค่าที่บอกว่าครั้งที่ผลการเทรดออมาเป็นกำไร คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของจำนวนครั้งที่เทรดทั้งหมด
2) Payoff Ratio (ตอนกำไรได้เยอะไหมเทียบกับตอนขาดทุน) คำนวณจาก กำไรเฉลี่ยต่อครั้ง หาร ขาดทุนเฉลี่ยต่อครั้ง เป็นค่าที่บอกว่าค่าเฉลี่ยของผลกำไรในครั้งที่เทรดแล้วได้กำไร เป็นกี่เท่าของค่าเฉลี่ยของผลขาดทุนในครั้งที่เทรดแล้วขาดทุน หรือบอกว่าตอนที่กำไรได้กำไรมากกว่าตอนขาดทุนขนาดไหน
3) % Capital Risk Exposure (เสี่ยงแต่ละครั้งมากหรือน้อย) คือ จำนวนเงินที่จะเสียไปถ้าผลการเทรดครั้งนั้นออกมาเป็นขาดทุนคิดเป็นเปอร์เซนต์เปรียบเทียบกับเงินทุนเริ่มต้น เช่น ถ้าเรามีเงินทุน 100,000 บาท และถ้าเราเสี่ยงที่จะขาดทุน 5,000 บาท จากการเทรดในแต่ละครั้ง จะได้ค่า % Capital Risk Exposure เท่ากับ 5%
ตัวเลขในข้อที่ 1 และ 2 คือ %Win Ratio และ Payoff Ratio สามารถคำนวณได้สถิติการเทรดของเรา ซึ่งจำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูล หรือทำบันทึกการเทรด (Trading Journal) ส่วนตัวเลขในข้อที่ 3 คือ % Capital Risk Exposure จะเป็นตัวเลขที่เราต้องตัดสินใจเองว่าจะเสี่ยงที่จะเสียเงินในการเทรดครั้งละเท่าไหร่
Risk of Ruin
ค่า Risk of Ruin ที่คำนวณออกมาได้จะมีค่าระหว่าง 0 – 1 หรือ 0% -100% ถ้าคำนวณ Risk of Ruin ออกมาได้ 100% แปลความหมายได้ว่ามีโอกาสหมดตัวแน่นอน!!! ส่วนค่า Risk of Ruin เท่ากับ 0 แปลความหมายได้ว่า ไม่น่าจะหมดตัว
ในหนังสือ Beyond Technical Analysis ที่เขียนโดย Tushar S. Chande ได้แสดงตารางค่าของ Risk of Ruin จากการทดลองด้วยค่า %Win Ratio ตั้งแต่ 25-50%, Payoff Ratio ตั้งแต่ 1-3 และ %Capital Risk Exposure ที่ 1% , 1.5% , 2.0%
ตัวอย่างที่ 1 (สีแดง)
ถ้าสถิติในการเทรดของเรามีค่า % Win Ratio = 45% Payoff Ratio = 1 และเสี่ยงที่ขาดทุนครั้งละ 2% ของเงินทุน เราจะมีความเสี่ยงในการเทรดแล้วเจ๊งหมดตัว 93.6%
ตัวอย่างที่ 2 (สีน้ำเงิน)
ถ้าสถิติในการเทรดของเรามีค่า % Win Ratio = 35% Payoff Ratio = 2 และเสี่ยงที่ขาดทุนครั้งละ 1.5% ของเงินทุน เราจะมีความเสี่ยงในการเทรดแล้วเจ๊งหมดตัว 0.8%
ในหนังสือ Trader Money Management System ที่เขียนโดย Bennett A. McDowell ได้แสดงตารางค่าของ Risk of Ruin จากการทดลองของ Professor Nauzer Balsara ด้วยค่า %Win Ratio ตั้งแต่ 25-60% , Payoff Ratio ตั้งแต่ 1-5 และ %Capital Risk Exposure ที่ 10%
นอกจากนี้การหาค่า Risk of Ruin ยังสามารถทำได้โดยคำนวณจากสูตรสำเร็จโดยการแทนค่าตัวแปลได้อีกด้วย แต่สมการจะค่อนข้างซับซ้อน ซึ่งผมจะไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ในบทความนี้ เพราะโดยส่วนตัวผมใช้ตารางด้านบนเป็นตัวเลขอ้างอิง ก็ได้ไอเดียเพียงพอแล้ว ส่วนใครสนใจสูตรคำนวณ Risk of Ruin ก็ลองศีกษาเพิ่มเติมกันดูครับ
วิธีใช้งานตาราง Risk of Ruin
การนำตาราง Risk of Ruin ไปใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงเพื่อไม่ให้ซื้อขายแล้วมีโอกาสหมดตัว ทำได้โดยต้องเก็บข้อมูล 2 ตัวจากสถิติการเทรดก่อน ได้แก่ %Win Ratio และ Payoff Ratio จากนั้นค่อยเลือก % Capital Risk Exposure ที่จะทำให้ค่า ROR มีค่าใกล้ 0% เพื่อจำกัดความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง
*** ถ้าเราต้องการเพิ่มจำนวนเงินที่จะเสี่ยงในแต่ละครั้ง ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายให้มี %Win Ratio หรือ Payoff Ratio ที่เพิ่มขึ้นก่อน โดยแนวทางในการเพิ่ม %Win Ratio ให้หาตัวช่วยที่ทำให้ได้สัญญาณซื้อขายที่แม่นยำขึ้นเช่น การใช้ Indicators เพื่อกรองสัญญาณหลอก เป็นต้น ส่วนแนวทางการเพิ่ม Payoff Ratio ให้ทดลองปรับวิธีการตัดขาดทุน หรือวิธีการทำกำไรให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ***
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Risk of Ruin (ROR)
มีข้อส้งเกตเกี่ยวกับ Risk of Ruin และปัจจัยต่าง ๆ ที่น่าสนใจ และควรรู้เพื่อใช้ในการวางแผนบริหารเงินในการเทรดดังต่อไปนี้ครับ
1. % Win ratio ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROR ลดลง
2. Payoff Ratio ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROR ลดลง
3. % Capital Risk Exposure เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ ROR เพิ่มขึ้น
4. กลยุทธ์การซื้อขาย Trend Following ส่วนใหญ่มี %Win Ratio อยู่ที่ 30%-40%
5. กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Mean Reversal หรือ Short Term ส่วนใหญ่จะต้องการ %Win Ratio ที่สูง ประมาณ 50% ขึ้นไป เนื่องจากมี Payoff Ratio ต่ำ กว่าระบบซื้อขายแบบ Trend Following
6. % Win Ratio ที่สูงกว่า 50% ขึ้นไป ค่า ROR จะลดลงอย่างรวดเร็ว
7. ระบบซื้อขายที่ Payoff Ratio มีค่าต่ำกว่า 1 ถือว่าเป็นระบบซื้อขายไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยง
8. ระบบซื้อขายที่ Payoff Ratio มีค่ามากกว่า 3 เป็นค่าสถิติที่หาได้ยากมาก
9. ถ้าการต้องการผลตอบแทนเพิ่มโดยเพิ่ม %Capital Risk Exposure อาจจะไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะต้องรับเพิ่ม เพราะ ROR จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
10. จากตาราง ROR จะเห็นได้ว่าทำไมจึงมีข้อแนะนำทั่วไปว่า“ การเทรดในแต่ละครั้งไม่ควรเสี่ยงที่จะขาดทุนเกิน 2 % ของเงินลงทุน แต่สำหรับมือใหม่ ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1% ของเงินลงทุน ”
สรุป
การที่เราจะเทรด TFEX แล้วจะเจ๊งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างคือ เรากำไรบ่อยไหม (%Win Ratio) ตอนกำไรได้มาหรือน้อยเทียบกับตอนขาดทุน (Payoff Ratio) และเสี่ยงแต่ละครั้งมากหรือน้อย (%Capital Risk Exposure) โดยสองตัวแรกเป็นข้อมูลสถิติของกลยุทธ์ในการเทรดของเรา ส่วนตัวสุดท้ายเราสามารถกำหนดได้ว่าจะเสี่ยงมากหรือน้อย ดังนั้น ถ้าเรารู้ข้อมูลสองตัวแรก เราก็จะสามารถรู้ได้ว่าควรจะเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้งเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เทรดแล้วเจ๊ง ซึ่งถ้าใครยังไม่เคยจดบันทึกการซื้อขายมาก่อน ก็มีข้อแนะนำเบื้องต้นสำหรับมือใหม่ ไม่ควรเสี่ยงที่จะเสียเงินเกินครั้งละ 1% ของเงินทุน และมือเก๋าไม่ควรเสี่ยงที่จะเสียเงินเกินครั้งละ 2% ของเงินทุน
ผมเชื่อว่าหลายคนที่เทรดหุ้นหรือ TFEX แล้วเจ๊ง เนื่องจากไม่เคยวางแผนว่าในการซื้อขายแต่ละครั้งจะเสี่ยงเสียเงินครั้งละเท่าไหร่ แล้วแปลงเป็นจำนวนสัญญาที่จะลงมือซื้อขาย แต่หลังจากที่อ่านบทความตอนนี้นี้จบแล้ว ผมหวังว่าผู้อ่านจะไม่เสี่ยงในการซื้อขายแต่ละครั้งมากจนเกินไป ซึ่งผมรับรองว่าถ้าทำแบบนี้แล้ว การเทรด TFEX ของคุณจะไม่มีเจ๊งแน่นอน!!! หากนักลงทุนท่านใดที่สนใจข้อมูลข่าวสาร ความรู้ดี ๆ ในการซื้อขาย Futures และ Options ใน TFEX เพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่ TFEX Facebook : TFEX Station
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้