หลังจากความประทับใจกับงาน Fjallraven Thailand Trail เมื่อต้นปี ผมก็รีบสมัครไปเดินงานที่เกาหลีทันทีที่รู้ว่าจะมีงาน Fjallraven Classic Korea ซึ่งเป็นการจัดภายใต้ชื่อ Fjallraven Classic อย่างเป็นทางการครั้งแรก การเดินป่าครั้งนี้จัดขึ้นที่เกาะเชจู ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวเกาหลีใต้ โดยเส้นทางเดินนั้นจะอยู่ในอุทยานแห่งชาติรอบภูเขาไฟฮาลาซาน
สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อ Fjallraven Classic คืองานเดินป่าระยะไกลที่จัดขึ้นครั้งแรกที่สวีเดน ภายใต้ปรัชญาการสนับสนุนให้คนออกมาเรียนรู้การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ และหลังจากที่คนจากทั่วโลกได้มาสัมผัสวิถีการเดินป่าที่สวีเดน ก็เกิดการสืบทอดเจตนารมณ์ไปในที่ต่างๆ รอบโลก โดยปัจจุบันงานเดินป่าที่อยู่ภายใต้ชื่อของ Fjallraven Classic อย่างเป็นทางการนั้นมีอยู่ 8 ประเทศ คือ สวีเดน เดนมาร์ก อเมริกา ฮ่องกง เกาหลี เยอรมัน จีน และอังกฤษ แต่ก็จะมีงานเดินป่าอีกหลายที่ที่ยังรอวันที่จะได้ขึ้นแท่นเป็นงานเดินป่าระดับสากล ซึ่ง Thailand Trail ก็เป็นหนึ่งในนั้น
กฎระเบียบของงานเดินป่าของ Fjallraven Classic ที่เป็นมาตรฐานคือ
1. นักเดินทางทุกคนต้องแบกสัมภาระของตัวเองทั้งหมด รวมถึงเต็นท์และอาหารที่จะทานระหว่างการเดินทาง
2. นักเดินทางต้องเก็บขยะของตัวเองทุกชิ้นกลับลงมาทิ้งที่จุดเส้นชัยในวันสุดท้าย
3. นักเดินทางต้องขุดหลุมเพื่อขับถ่ายและกลบให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนธรรมชาติ
4. นักเดินทางต้องนำพาสพอร์ตประทับตราที่จุด Check Point ทุกจุด และกางเต็นท์ในบริเวณที่กำหนดไว้ให้
ข้อมูลทริป
วันเดินทาง: 07.10.2019 – 12.10.2019
นักเดินทาง: 2 คน
การเดินทาง: Bangkok – Busan – Jeju
รายละเอียดเส้นทางเดิน:
ตารางการเดินทาง:
DAY 0: เครื่องออกตี 1 (บิน 5 ชม.) ถึงปูซาน ประมาณ 8 โมงเวลาท้องถิ่น (เร็วกว่าไทย 2 ชม.) ต่อเครื่องไปเชจู ถึงประมาณบ่าย 2 โมง นั่งรถไปโรงแรม พัก 1 คืน
DAY 1 (16.5 km) : ออกตัวเดินแต่เช้าตรู่ กลางคืนนอนเต็นท์ที่จุดตั้งแคมป์แรก
DAY 2 (15.6 km) : ออกตัวเดินแต่เช้า เดินไปที่จุดตั้งแคมป์ที่สอง
DAY 3 (24.3 km) : ออกตัวเดินแต่เช้าตรู๊ตรู่ เดินไปสุดที่เส้นชัยที่โรงแรมที่พัก นอน 1 คืน
DAY 4: นั่งรถบัสไปที่สนามบินเชจู แยกย้ายกันบินกลับบ้านจ้า
รายละเอียดค่าใช้จ่าย: (ต่อ 1 คน)
~19,000 บาท ตั๋วเครื่องบินไปกลับ (Bangkok – Busan)
~3,000 บาท ตั๋วเครื่องบินไปกลับ (Busan – Jeju)
~7,800 บาท ค่าสมัคร Fjallraven Classic Korea
ค่าอาหาร (แล้วแต่ใครจะซื้อเพิ่มเติมที่ร้านสะดวกซื้อ)
รวม ~30,000 บาท (มากหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับค่าเงินและราคาตั๋วเครื่องบินที่หาได้)
ทริปนี้ต้องบอกคุ้มค่ามากๆ ผมว่าสิ่งที่ได้มาเกินราคาที่จ่ายไป
ใครอยากอ่านบทความรอบที่ไป Fjallraven Thailand Trail กดลิ้งค์อ่านย้อนหลังได้นะครับ
https://facebook.com/KnowWhereLand
https://www.youtube.com/KnowWhreLand
ขอบคุณครับ =)
DAY 0
ผมเดินผ่านอาคารสนามบินที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ก่อนที่จะเดินออกประตูผู้โดยสารขาเข้าไปเจอชายหนุ่มโอปป้าที่ถือป้าย “Fjallraven Korea” รอนักเดินป่าที่ทยอยกันออกมา เค้าชี้ให้เราเดินตามชายหนุ่มเกาหลีอีกคนไปยังรถแท็กซี่ที่เป็นรถตู้ขนาดเล็ก ผมและน้องแยมบัดดี้เดินป่าที่เจอกันเมื่อครั้ง Thailand Trail ขึ้นรถไปพร้อมกับสาวเกาหลีอีกสองคนที่แบกเป้ใบใหญ่มาเหมือนกับเรา ตอนแรกนึกว่าจะนั่งรถบัสคันใหญ่รวมกันไป ไม่คิดว่าจะให้นั่งแยกสบายๆ แบบนี้
เข้าโรงแรมมาก็เจอทีมงานจุดลงชื่อกับแจกขนม
สนามบินอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 30 นาที พวกเราเดินเข้าไปลงชื่อและรับของแจก ทีมงานทุกคนใส่ชุดแบรนด์ Fjallraven กันตั้งแต่หัวจรดเท้า เท่เว่อร์ บริเวณ check-in มีบูทให้ซื้อของ และโต๊ะสำหรับลง wax บนเสื้อผ้า เข้าใจว่ามันช่วยให้ผ้ามันกันน้ำและลมได้ดีขึ้น ผมได้ยินเสียงทักทายมาจากด้านหลัง “Where are you from?” ชายชาวเอเชียผมสีทองถามผมด้วยรอยยิ้ม ผมตอบไปว่าเรามาจากเมืองไทย เค้าแนะนำตัวเองว่าชื่อพอล มาจากสิงคโปร์ กลายเป็นว่าเราอยู่ห้องเดียวกับพอลและแก๊งเดินป่าชาวมาเลอีก 4 คน บวกกับกลุ่มคนไทยอีกสามคนที่มาเดินงานนี้เหมือนกัน ห้องของพวกเราเป็นห้องนอนสองห้องบวกกับห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า โดยมีผ้ากับหมอนมาให้ปูนอนที่พื้น
จุดนี้สำหรับลง wax บนเสื้อผ้า
มีสินค้าของแบรนด์ Fjallraven มาให้ซื้อเพิ่มเติม
ช่วงเย็นพวกเราลงไปทานบุฟเฟ่เกาหลีที่ห้องอาหารด้านล่าง มีอาจุมม่าแม่ครัวคนหนึ่งคอยเดินไปมาเติมอาหารอย่างยิ้มแย้ม อาจุมม่าคีบปลาหมึกทอดใส่จานผมพร้อมรัวภาษาเกาหลีใส่ผมด้วยรอยยิ้ม สงสัยจานเด็ดของป้าแก “คัมซัมมิดะ” ผมตอบเป็นคำขอบคุณด้วยภาษาเกาหลีเพียงน้อยนิดที่พอรู้
หลังจากทานกันอิ่มท้องแบบตุนพลังเผื่อพรุ่งนี้ พวกเราก็ออกไปนั่งรอบกองไฟบริเวณด้านนอก ที่นี่อากาศเย็นแต่ก็ไม่หนาวจนเกินไป ทีมงานบรีฟข้อมูลการเดิน เป็นภาษาเกาหลีสลับกับอังกฤษ ทุกคนนั่งเงียบฟังกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนจัดของเตรียมสำหรับพรุ่งนี้เช้า ความอ่อนเพลียจากการเดินทางทำให้หลับได้อย่างง่ายดาย
กองไฟช่วยคลายหนาว
นั่งฟังทีมงานอธิบายรายละเอียดการเดิน
DAY 1
เช้าตรู่ก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เราโดนปลุกด้วยเสียงเพลง Power of Love ของ เซลีน ดีออน โอว ช่างเป็นเพลงปลุกที่ละมุน ตอนแรกนึกว่าโทรศัพท์ใครตั้งเพลงนี้ปลุกแต่ไม่ใช่ มันเป็นเพลงผ่านระบบเสียงของโรงแรม พอตื่นแล้วเราเก็บของใช้ต่างๆ ก่อนที่จะลากกระเป๋าเดินทางลงไปฝากไว้ที่ห้องใต้ดินที่ทางทีมงานจัดไว้สำหรับเก็บกระเป๋า
หลังจากนั้นเราก็เดินไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร พร้อมกับตะลึงกับเมนูอาหารเช้าสไตล์เกาหลี เค้าทานปูดองกับข้าวเป็นอาหารเช้า รุนแรงเกินกว่าที่ผมจะเสี่ยงทานก่อนเดินเข้าป่าจริงๆ ผมเลยตักกับข้าวอย่างอื่นทานแทน
ปูดองเกาหลีเช้านี้
บุฟเฟ่อาหารเช้า
เมื่อใกล้เวลาออกเดินทางทุกคนก็มายืนเข้าแถวหน้าโรงแรมเพื่อขึ้นรถบัสคันใหญ่ไปที่จุดออกตัวเดิน เสียงในรถนั้นเงียบสนิท คงเป็นเพราะเรายังไม่ตื่นกันไม่เต็มที่ ผมมองผ่านกระจกรถไปที่ท้องฟ้าสีส้มอ่อนๆ ขณะที่รถขับสูงขึ้นไปบนเนินเขา เรานั่งรถมาประมาณ 30 นาทีก่อนที่จะถึงจุดออกตัว ทันทีที่ก้าวลงจากรถ ลมหนาวกับอุณหภูมิที่เย็นจัดทำให้ทุกคนต้องรีบหยิบเสื้อหนาวออกมาใส่เพิ่มอีกชั้น
ต่อแถวเรียงกันขึ้นรถบัส
ลงจากรถอากาศหนาวมากรีบหยิบเสื้อมาใส่เพิ่ม
จุดออกตัวคือ check point แรกของเรา ที่จุดนี้เราจะประทับตราในพาสพอร์ตประจำตัวของเรา รับอาหารกลางวัน จากนั้นก็ชั่งน้ำหนักเป้ และเติมน้ำก่อนเดินทาง ระหว่างที่ผมถ่ายรูปก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงเกาหลีตัวเล็กคนนึง ดูแล้วอายุไม่ถึง 18 กำลังยกเป้ใบจิ๋วของตัวเองขึ้นไปชั่งน้ำหนัก เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ น้องคนนี้มาเดินสองคนกับคุณพ่อหนุ่มเกาหลี ทีมงานเรียกให้ทุกคนออกกำลังกาย ยืดเส้นสายก่อนที่จะเริ่มเดิน หลายคนยังวุ่นอยู่กับการถ่ายรูปคู่กับป้าย start ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนานไปกับบรรยากาศ ระหว่างนั้น พระอาทิตย์ก็เริ่มเคลื่อนตัวมาเหนือขอบฟ้า แสงอาทิตย์ที่ส่องตัดผ่านหมอกบางๆ ในตอนเช้าช่วยให้อากาศอุ่นขึ้นกำลังดี
ต่อคิวรอชั่งเป้ที่คุณต้องแบกไปตลอด 3 วัน
แสงอาทิตย์มาพร้อมความอบอุ่น
เติมน้ำกันให้พร้อมก่อนเดิน
Ready set go
เมื่อถึงเวลา พวกเราก็เริ่มออกตัวเดิน เส้นทางของอุทยานเป็นทางเดินขั้นบันได ที่ค่อยๆ ไต่สูงขึ้น จากที่ดูในแผนที่ความสูง วันแรกเป็นวันที่เดินขึ้นชันที่สุด บางคนเริ่มเดินจนร้อนทำให้ต้องถอดเสื้อหนาวออก เราเดินไปพักไปตลอดทาง อากาศเชจูเย็นสบายมาก
บันไดที่ขึ้นและขึ้นและขึ้น
เหนื่อยแต่ก็ไม่ร้อน บรรยากาศดีๆ
เราไต่ไปสักพักจนทางเดินเริ่มเปลี่ยนจากบันไดเป็นทางเดินยาวในทุ่งราบ เรามองเห็นยอดเขาฮาลาซานที่สูงเด่นอยู่ไกลๆ เนื่องจากอุทยานแห่งชาติฮาลาซานเป็นที่นิยมของชาวเกาหลี ระหว่างทางเราก็จะเห็นลุงป้านักท่องเที่ยวชาวเกาหลีมาเดินชมวิวตามจุดต่างๆ ทิวทัศน์รอบเขาฮาลาซานนั้นสามารถมองลงไปไกลจนถึงบริเวณชายฝั่งของเชจู
พ้นแนวต้นไม้ออกมาเป็นทุ่งกว้าง
มองกลับไปเห็นชายฝั่งของเกาะ
ทางเดินอุทยานทำไว้ดี เดินง่าย
นั่งพักกันบ้างระหว่างทาง
[CR] Jeju Memories บันทึกการเดินป่าบทใหม่ที่เชจู กับ Fjallraven Classic Korea
สำหรับคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อ Fjallraven Classic คืองานเดินป่าระยะไกลที่จัดขึ้นครั้งแรกที่สวีเดน ภายใต้ปรัชญาการสนับสนุนให้คนออกมาเรียนรู้การใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ และหลังจากที่คนจากทั่วโลกได้มาสัมผัสวิถีการเดินป่าที่สวีเดน ก็เกิดการสืบทอดเจตนารมณ์ไปในที่ต่างๆ รอบโลก โดยปัจจุบันงานเดินป่าที่อยู่ภายใต้ชื่อของ Fjallraven Classic อย่างเป็นทางการนั้นมีอยู่ 8 ประเทศ คือ สวีเดน เดนมาร์ก อเมริกา ฮ่องกง เกาหลี เยอรมัน จีน และอังกฤษ แต่ก็จะมีงานเดินป่าอีกหลายที่ที่ยังรอวันที่จะได้ขึ้นแท่นเป็นงานเดินป่าระดับสากล ซึ่ง Thailand Trail ก็เป็นหนึ่งในนั้น
กฎระเบียบของงานเดินป่าของ Fjallraven Classic ที่เป็นมาตรฐานคือ
1. นักเดินทางทุกคนต้องแบกสัมภาระของตัวเองทั้งหมด รวมถึงเต็นท์และอาหารที่จะทานระหว่างการเดินทาง
2. นักเดินทางต้องเก็บขยะของตัวเองทุกชิ้นกลับลงมาทิ้งที่จุดเส้นชัยในวันสุดท้าย
3. นักเดินทางต้องขุดหลุมเพื่อขับถ่ายและกลบให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนธรรมชาติ
4. นักเดินทางต้องนำพาสพอร์ตประทับตราที่จุด Check Point ทุกจุด และกางเต็นท์ในบริเวณที่กำหนดไว้ให้
ข้อมูลทริป
วันเดินทาง: 07.10.2019 – 12.10.2019
นักเดินทาง: 2 คน
การเดินทาง: Bangkok – Busan – Jeju
รายละเอียดเส้นทางเดิน:
DAY 0: เครื่องออกตี 1 (บิน 5 ชม.) ถึงปูซาน ประมาณ 8 โมงเวลาท้องถิ่น (เร็วกว่าไทย 2 ชม.) ต่อเครื่องไปเชจู ถึงประมาณบ่าย 2 โมง นั่งรถไปโรงแรม พัก 1 คืน
DAY 1 (16.5 km) : ออกตัวเดินแต่เช้าตรู่ กลางคืนนอนเต็นท์ที่จุดตั้งแคมป์แรก
DAY 2 (15.6 km) : ออกตัวเดินแต่เช้า เดินไปที่จุดตั้งแคมป์ที่สอง
DAY 3 (24.3 km) : ออกตัวเดินแต่เช้าตรู๊ตรู่ เดินไปสุดที่เส้นชัยที่โรงแรมที่พัก นอน 1 คืน
DAY 4: นั่งรถบัสไปที่สนามบินเชจู แยกย้ายกันบินกลับบ้านจ้า
รายละเอียดค่าใช้จ่าย: (ต่อ 1 คน)
~19,000 บาท ตั๋วเครื่องบินไปกลับ (Bangkok – Busan)
~3,000 บาท ตั๋วเครื่องบินไปกลับ (Busan – Jeju)
~7,800 บาท ค่าสมัคร Fjallraven Classic Korea
ค่าอาหาร (แล้วแต่ใครจะซื้อเพิ่มเติมที่ร้านสะดวกซื้อ)
รวม ~30,000 บาท (มากหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับค่าเงินและราคาตั๋วเครื่องบินที่หาได้)
ทริปนี้ต้องบอกคุ้มค่ามากๆ ผมว่าสิ่งที่ได้มาเกินราคาที่จ่ายไป
ใครอยากอ่านบทความรอบที่ไป Fjallraven Thailand Trail กดลิ้งค์อ่านย้อนหลังได้นะครับ
https://facebook.com/KnowWhereLand
https://www.youtube.com/KnowWhreLand
ขอบคุณครับ =)
ผมเดินผ่านอาคารสนามบินที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ก่อนที่จะเดินออกประตูผู้โดยสารขาเข้าไปเจอชายหนุ่มโอปป้าที่ถือป้าย “Fjallraven Korea” รอนักเดินป่าที่ทยอยกันออกมา เค้าชี้ให้เราเดินตามชายหนุ่มเกาหลีอีกคนไปยังรถแท็กซี่ที่เป็นรถตู้ขนาดเล็ก ผมและน้องแยมบัดดี้เดินป่าที่เจอกันเมื่อครั้ง Thailand Trail ขึ้นรถไปพร้อมกับสาวเกาหลีอีกสองคนที่แบกเป้ใบใหญ่มาเหมือนกับเรา ตอนแรกนึกว่าจะนั่งรถบัสคันใหญ่รวมกันไป ไม่คิดว่าจะให้นั่งแยกสบายๆ แบบนี้
หลังจากทานกันอิ่มท้องแบบตุนพลังเผื่อพรุ่งนี้ พวกเราก็ออกไปนั่งรอบกองไฟบริเวณด้านนอก ที่นี่อากาศเย็นแต่ก็ไม่หนาวจนเกินไป ทีมงานบรีฟข้อมูลการเดิน เป็นภาษาเกาหลีสลับกับอังกฤษ ทุกคนนั่งเงียบฟังกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่จะแยกย้ายกันเข้าห้องนอนจัดของเตรียมสำหรับพรุ่งนี้เช้า ความอ่อนเพลียจากการเดินทางทำให้หลับได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้นเราก็เดินไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร พร้อมกับตะลึงกับเมนูอาหารเช้าสไตล์เกาหลี เค้าทานปูดองกับข้าวเป็นอาหารเช้า รุนแรงเกินกว่าที่ผมจะเสี่ยงทานก่อนเดินเข้าป่าจริงๆ ผมเลยตักกับข้าวอย่างอื่นทานแทน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้