ขีดจำกัดของเราอยู่ที่ไหน เดินเท้า 110 Km ใน King's Trail ที่ Sweden ในงาน Fjallraven Classic 2016



สวัสดีทุกคน
ต้องบอกว่าการโพสต์กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ความตื่นเต้นพอๆ กับได้ออกเดินทางไปไหนสักที่ที่ยังไม่เคยไป ตื่นเต้นจริงๆ
กระทู้นี้จะขอเล่าเรื่องที่ไปเดิน Trekking ที่สวีเดนเมื่อเดินสิงหาคมที่ผ่านมา Fjallraven Classic เป็นเหมือนกิจกรรมประจำปีของกระเป๋ายี่ห้อแบรนด์นี้แหละ คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะว่าเป็นยี่ห้อกระเป๋าเป้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่วัยรุ่นและทุกๆ วัย

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าเราไม่ใช่นักเดินป่าเดินเขาที่เก่งแข็งแกร่งอะไรเลย เรื่องที่เล่าจึงมาจากมุมมองของคนอ่อนแอ การถ่ายภาพก็ธรรมดานะครับ ภาพทุกภาพเขียนต่อท้ายได้เลยว่า ภาพนี้ถ่ายด้วย iPhone6 แบบมือสั่นๆ 555 แต่ก็ขอเล่าในมุมมองของความสนุก ความประทับใจในธรรมชาติ และแน่นอนความเหนื่อยยากที่ต้องพบเจอ

Fjallraven Classic 2016 / Sweden ก่อนเดิน 1 วัน (เรื่องเล่าจากตั้มและเปิ้ลหน่อย)

ก่อนออกเดินทางไกล 1 วันทางทีมงาน Fjallraven ได้มีการเตรียมพร้อมให้กับคนที่เข้าร่วม โดยทีมเรา 12 คนที่มาจากหลายๆประเทศ เช่น เยอรมัน โปแลนด์ เชค ฮ่องกง ไทย ต่างคนก็มีแบ็คกราวด์การเดินไม่เหมือนกัน เช่นบางคนก็ตัวพ่อมาเลย แต่บางคนไม่เคยเดิน อย่างเราที่เคยไปเนปาล (110 Km) ครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้นปีเหมือนจะเอามานับว่ามีประสบการณ์แล้วไม่ได้ เพราะ Skill การกางเตนท์แบกเป้ หุงข้าวและอื่นๆของเรานั้นเป็นศูนย์  อีกอย่างระยะทางครั้งก่อนเราเดินกันตั้ง 11 วันแถมมีคนช่วยแบกของให้อีกต่างหาก (คราวนี้ระยะทางเท่ากันเราต้องเดินภายใน 5 วัน) ดังนั้นที่ผ่านมาเหมือนเป็นเพียงการท่องเที่ยวเชิงเหนื่อยยากเฉยๆ เด็กแบเบาะอย่างพวกเราจึงต้องตั้งใจฟังและเริ่มหัดเดินเตาะแตะอีกครั้ง
Fjallraven เป็นแบรนด์ของอุปกรณ์ Outdoor Activities Stuff คือมีของหลายอย่างให้เราสามารถใช้ชีวิตแบบในป่าได้ การสอนของอาจารย์ก็ไม่มีอะไรมาก หยิบของออกจากกระเป๋าให้ดูแต่ละชิ้นแล้วบอกว่ามันทำอะไรได้บ้าง มีเคล็ดลับอะไรบ้าง และมีอะไรที่เราต้องพึงระวัง สิ่งนี้สำคัญเพราะว่าบางอย่างในสภาพอากาศแบบเมืองหนาว (Arctic Circle) ถ้าเตรียมตัวไม่ดีภูมิอากาศและภูมิประเทศแถบนี้อาจจะทำอันตรายเราถึงชีวิตได้



ความสนุกของการนั่งฟังคือ บรรยากาศของที่พักที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้เรามันคือที่พักผ่อนริมทะเลสาบที่สวยงามมาก มันทำให้เราตื่นเต้นเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันต่อไป ฝรั่งในทีมส่วนมากจะมีคำถามและพูดคุยอภิปรายเกี่ยวกับอุปกรณ์และวิธีใช้ทีเค้าแนะนำ ผิดกับพวกเรานี่นั่งนิ่งและจดอย่างเดียว (นึกออกใช่มั้ย เด็กไทยกับเด็กต่างประเทศมันเรียนมากันคนละแบบ) แต่ไม่เป็นไร นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเราแย่งพูดไม่ทันต่างหาก ตอนวิทยากรที่มาสอนเราพูดเราก็ลืมสังเกตุไปว่า เฮ้ย ไอ้ของที่เค้าหยิบออกมามันยังไม่หมดอีกเหรอวะ กระเป๋าใบนั้นมันจุของได้มากมายขนาดนี้? ถามมาได้คำตอบว่าถ้าคุณแพ็คกระเป๋าดีคุณก็จะเอาของไปได้ทั้งหมดนี่แหละ แต่ถ้าคุณเอาของที่ไม่จำเป็นไปมากเกินไป คุณก็จะเดี้ยง เพราะน้ำหนักที่เกินจากปกติ 1 กก. ตอนนี้ จะเป็นน้ำหนักที่รู้สึกเหมือน 10 กก. ได้เลย เวลาคุณเดินไปเรื่อยๆแล้วคุณรู้สึกปวดหลังขึ้นมา



ให้ลองถามตัวเองดีๆ ว่าสิ่งไหนจำเป็น และ สิ่งไหนที่น่าจะดีถ้าหยิบไป

    It’s needed to have / It’s nice to have

ของที่เราแบกใส่กระเป๋าไปไม่สามารถเปลี่ยนใจได้ถ้าเราออกเดินทาง มันต้องอยู่กับเราไปตลอด ไม่สามารถเหวี่ยงทิ้งลงข้างทางได้ เพราะคนที่นี่มีกฏหนึ่งที่ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อธรรมชาติว่า ทุกๆอย่างที่เรานำเข้าไปในป่า เราจะต้องเอาออกมาทั้งหมด ไม่เหลือทิ้งไว้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว มันเป็นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างลงตัวที่สุด ตามความเข้าใจของเราคือ ธรรมชาติมันอยู่ของมันและมีระบบนิเวศน์ที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องเลยมาเป็นเวลานานแสนนานหลายล้านปี สัตว์ป่าก็อยู่กันอย่างไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ อยู่ดีๆก็มีคนๆ นึงคิดจะไปเดินเที่ยวแล้วก็ทำทุกอย่างพังพินาศหมด ก่อสร้างทุกอย่างอำนวยความสะดวกทั้งหมดลงไปในป่า แล้วคนก็มีความสุขกัน ท่องเที่ยว โฆษณาให้คนมาท่องเที่ยวเยอะๆ เพื่อที่จะทำกำไร เอาประโยชน์เข้ากระเป๋า --- คุ้นๆ แฮะ เขียนไปเขียนมา คิดถึงบ้านเฉย

กลับมาต่อกันที่
It’s needed to have / It’s nice to have
แน่นอนมันต่างกัน และแต่ละคนก็มีเส้นตรงนี้ไม่เหมือนกัน --- เดี๋ยวก็รู้ว่าเส้นตรงนี้ของเราอยู่ตรงไหน

คืนนี้นอนไม่หลับ ที่สำคัญการเตรียมของลงกระเป๋านั้นยากมาก อีกอย่างคือต้องแพ็คกระเป๋าใส่ของอย่างอื่นที่ไม่ได้เอาไปด้วยใส่กระเป๋าอีกใบให้เรียบร้อย เพราะของที่เหลือทั้งหมดที่ไม่ได้เอาไปด้วย จะถูกส่งไปรอเราอยู่ที่ปลายทาง (เดี๋ยวมาต่อกับวันที่ 1)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่