ห น อ น ห นั ง สื อ Vol.1

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่าาาทุกคน 

เนื่องจากช่วงนี้ เราเป็นหนอนหนังสือตัวโต ว่างเมื่อไรเป็นหยิบหนังสือมาอ่าน
เลยอยากจะแนะนำหนังสือเล่มที่น่าสนใจ เผื่อว่าใครมองหาหนังสืออ่านเล่น

มาดูกันว่ามีเล่มไหนบ้าง..

1. How Starbucks Saved My Life 
(ชีวิตผมรอดได้ด้วยสตาบัคส์)
เราขอประเดิมหนังสือเล่มแรกที่เราชอบด้วยเล่มนี้ เพราะรู้สึกอินกับผู้เขียน (Michael Gates Gill) มาก เรียกได้ว่าอ่านเพลินและแทบจะวางไม่ลงเลย ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองได้สนุก ไม่น่าเบื่อ และเนื่องจากเราก็เคยเป็น Barista Starbucks ที่ลอนดอนอยู่แป๊บนึง ตอนที่อ่านก็จะมีช็อตที่พูดว่า เฮ้ย! ใช่ว่ะ เออ! แบบนั้นเลย

มาเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้หน่อย 
.. Michael (ผู้เขียน) ทำงานเป็นครีเอทีฟไดเรคเดอร์ ที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณา J. Walter Thompson ที่มีชื่อเสียงใน USA เขามีพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าที่การงาน บ้านหรู เงินเดือนสูงลิ่ว และครอบครัวที่อบอุ่น 

แต่เมื่อเขาอายุย่างเข้าใกล้ 60 ปี เขาก็ถูกไล่ออกจากงานแบบกะทันหัน แม้เงินเดือนจะสูงแต่ไม่มีทั้งเงินเก็บและประกันสุขภาพ ครอบครัวแตกแยก (เพราะอะไรต้องอ่านเอง) เค้าเลยต้องออกมาเช่าห้องเล็กๆอยู่คนเดียว ณ จุดนี้ Michael ไร้สิ้นทุกอย่าง แม้กระทั่งความหวัง 

วันหนึ่งขณะที่เขานั้งอยู่ที่ร้านกาแฟสตาบัคส์ในแมนฮัตตัน เพื่อดื่มด่ำกับความหรูหราที่มีราคาถูกสุดที่เขาพอจะหาได้ เขากำลังครุ่นคิดถึงความโชคร้ายของตน มองไปทางไหนก็เห็นจะมีแต่ทางตัน .. ตอนที่เขากำลังนั่งจิบกาแฟอยู่นั่นเอง Crystal Thompson ผู้จัดการร้านกาแฟสตาบัคส์ วัย 28 ปี นั่งอยู่โต๊ะถัดจากเขา ก็เสนองานให้เขาด้วยอารมณ์หยอกล้อ แต่ไมเคิลคิดว่าเธอเสนองานให้เขาจริงๆ .. ด้วยความที่เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาเลยตอบรับข้อเสนอของเธอ 

จากชายที่เคยใส่สูทหรูหรา กลับต้องมาเป็นคนเสิร์ฟกาแฟในเครื่องแบบสีเขียว, จากคนที่เคยรับเงินเดือน 6 หลัก แต่เงินที่ได้ตอนนี้แค่ค่าเช่าห้องเล็กๆยังแทบไม่พอจ่าย, จากคนที่เคยไม่ชอบชาว African-American แต่ต้องมาทำงานร่วมกับคน Afri-Ame. 
เรื่องราวสนุกๆของไมเคิล ขณะทำงานที่สตาบัคส์ มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน(คนที่เขาเคยคิดว่าต่ำต้อยในสังคม) และช่วงชีวิตจากจุดสูงสุดไปจุดตกต่ำที่สุด ถูกร้อยเรียงอยู่ในหนังสือเล่มนี้ 

ผู้เขียน : Michael Gates Gill

สำนักพิมพ์แสงดาว
.

2. Work Life Balance ด้วยการหยุดพักจริงๆ


คุณเคยรู้สึกไม่สนุกกับวันหยุด เพราะกังวลเรื่องงานที่ต้องสะสาง วางกองเต็มโต๊ะ หรือไม่รู้จะทำอะไรเวลาถึงวันหยุด ต้องนั่งจับเจ่าอยู่บ้านหรือไม่?! .. 

ในปัจจุบัน ปัญหาหลักๆที่เราใช้วันหยุดอย่างไร้คุณภาพ เกิดขึ้นจากการที่เราสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆได้อย่างง่ายดาย, อุปกรณ์อีเล็คทรอนิคส์อย่างมือถือ และ tablets ทำให้เราสามารถตอบอีเมลล์ได้ทั้งวัน ดังนั้น การจะปล่อยวางจากงานจึงเป็นเรื่องยาก .. ปัจจัยที่กล่าวมาทำให้คนส่วนใหญ่เกิด Workaholic โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวแต่จำใจ กลายเป็นว่าสมองเราไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ

เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องหยุดพักจากงาน เราควรที่จะผ่อนคลายจริงๆ เพราะวันหยุดก็สำคัญไม่แพ้วันทำงาน เนื่องจากวันหยุดช่วยให้เราเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่อย่างสดชื่น แจ่มใส และทำให้จิตใจที่อ่อนล้ากระปรี้กระเปร่าขึ้น (หากคุณหยุดพักจากงานอย่างถูกวิธีอะนะ)

= หนังสือเล่มนี้สามารถช่วยคุณได้ =
..นายแพทย์มาซากิ (ผู้เขียน) จะช่วยแนะแนวทางการใช้เวลาในช่วงวันหยุดของคุณว่า ต้องใช้เวลาอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ รู้สึกผ่อนคลาย สมองปลอดโปร่ง .. นอกจากกล่าวถึงการใช้เวลาในวันหยุดแล้ว นายแพทย์มาซากิ ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการนอน, การออกกำลังกาย, อาหารการกิน, การบริหารจัดการเวลา รวมทั้งการจัดการความสัมพันธ์กับคนรอบตัวเรา เพราะสิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนส่งผลต่อสุขภาพ และประสิทธิภาพในการทำงานของเรา

ผู้เขียน : นายแพทย์มาซากิ นิชิดะ

สำนักพิมพ์ Short Cut

หวังว่าทุกคนจะมีวันหยุดที่น่ารื่นรมย์ 


3. วิทยากวน

พี่จุ้ย ผู้คร่ำหวอดกับประสบการณ์บนเวทีมาอย่างโชกโชน มาเล่าประสบการณ์การเป็น motivator ผ่านตัวอักษร 

หากเป็นงานเขียนจืดชืดธรรมดาก็คงจะไม่ใช่พี่จุ้ย,, วิทยากวนเล่มนี้ ทั้งเสียดสี ทิ่มแทง(แต่ไม่แทงข้างหลัง และไม่ทะลุถึงหัวใจ) พิธีกรรมทั้งก่อนและหลังขึ้นเวที บอกเล่าเรื่องราวได้ทั้งเจ็บแสบและคัน ตามสไตล์พี่จุ้ย .. อีกทั้งวิธีการเขียนก็ตรงไปตรงมา เข้าประเด็น ไม่อ้อมค้อม แม้จะพูดตรงๆ แต่ก็ไม่ทำให้เราเครียดไปกับความจริงที่น่าเบือนหน้าหนี กลับทำให้เราหัวเราะน้ำตาเล็ดในบางช่วง

นอกจากจะเล่าถึงพิธีกรรมอุบาทว์แล้ว ยังมีเรื่องฉากหลังเวทีอื่นๆ เป็นความจริงที่พี่จุ้ยหยิบยกมาเล่าให้เราได้ขบคิดและควรจะหาทางแก้ไขวัฒนธรรม/พิธีกรรมเหล่านี้เสียที .. 

เท่านั้นไม่พอ พี่จุ้ยหยิบยกประเด็นการทักทายคนที่เราพบเจอว่า 'อ้วนไปเปล่า' 'ทำไมผอม' ทำไม ทำไม และทำไมในด้านลบ คำทักทายเหล่านี้ทำให้คนที่เราทักอึดอัด และยังส่งผลให้การสนทนาช่างอึมครึมเสียเหลือเกิน 

ยังมีอีกหลายประเด็นที่เวลาคุณอ่าน แล้วจะอุทานออกมาว่า เออว่ะ! ใช่จริงๆ! 

คำนิยมโดย คุณจิระ มะลิกุล ที่กล่าวว่า...
"ความเป็นนักสังเกต และความองอาจในความคิดที่ไม่ต้องมีใครเป็นตัวอย่างของจุ้ย ทำให้เขามีเหตุผลดีๆมาอธิบายเราเสมอ แต่ละหน้ากระดาษของเขาจึงตื่นเต้น" นั้นเป็นความจริง 

เราจะได้มุมมอง แง่คิดใหม่ๆจากหนังสือเล่มนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้เขียน : จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง

สำนักพิมพ์ กะทิ กะลา


4. Mirai มหัศจรรย์วันสองวัย
คุนจัง เด็กชายวัย 4 ขวบ เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว .. ต่อมา เขาก็รับรู้ว่ามีเบบี๋น้องสาวเพิ่มเข้ามาในบ้าน จากเด็กชายที่เคยได้รับการเอาอกเอาใจทุกอย่าง..

เมื่อมีน้องสาว คุณพ่อ คุณแม่ก็ต้องไปดูแลน้องสาวที่เพิ่งลืมตามาดูโลก ด.ช.คุนจังเลยรู้สึกว่าทุกคนไม่รักคุนจังแล้ว น้อยอกน้อยใจ เลยพาลไม่ชอบมิไรจังซึ่งเป็นน้องสาวซะงั้น เพราะคิดว่าทารกน้อยมาแย่งความรักจากทุกคนไป

แต่แล้ววันหนึ่ง เกิดเรื่องราวมหัศจรรย์ขึ้น.. คุนจังได้พบกับมิไรจังที่มาจากอนาคต เด็กชายคุนจังเริ่มต้นการผจญภัยข้ามกาลเวลาครั้งยิ่งใหญ่ โดยมีมิไรจังจากอนาคตคอยตามไปเที่ยวด้วย

เราไปติดตามการผจญภัยของคุนจังและมิไรจังกันได้เลย

นักเขียน : มาโมรุ โฮโซดะ


5. วิธีปั้นคนแบบโตโยต้า


เป็นหนังสือเล่มที่อ่านจบแล้วตอบคำถามเลยว่า ทำไมบริษัทรถยนต์ โตโยต้า กรุ๊ป สัญชาติญี่ปุ่น ที่ก่อตั้งโดย ซะกิชิ โทโยดะ ถึงได้มีความมั่นคงและยั่งยืน ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 90 ปี (อีกไม่ถึง 10 ปีก็ครบศตวรรษ) .. 

จุดแข็งหลักที่เราเห็นได้ชัดขององค์กรนี้ คือ 
1) ประสิทธิภาพที่สูงมากของระบบการผลิต
2) เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
3) คุณภาพของสินค้า ที่ส่งผลไปยังการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
4) การขายยอดเยี่ยม

แต่จุดแข็งที่'สำคัญที่สุด' ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ 4 ข้อที่กล่าวมา คือ ความสามารถในการพัฒนาบุคลากร ให้กลายเป็นคนที่คิดด้วยตัวเองได้ .. หากอยากรู้ว่าการให้พนักงานคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเองมีความสำคัญต่อองค์กรอย่างไร คำตอบอยู่ในหนังสือแล้ว

รายละเอียดในหนังสือ จะกล่าวถึงองค์ความรู้เรื่องคน ที่โตโยต้าบ่มเพาะมานานกว่า 90 ปี .. สรุปจากคู่มือฝึกอบรมพนักงาน/บุคลากรที่หนากว่าพันหน้า สู่คู่มือฉบับเล็ก นำเสนอผ่านวิธีคิด เพียง 33 ข้อ อันเป็นเทคนิคที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของโตโยต้า ที่ไม่ว่าธุรกิจใด องค์กรไหน หรือใครก็สามารถนำไปปรับใช้เพื่อปั้นคน พัฒนาบริษัทของตนเองให้ยั่งยืนได้ ตัวอย่างเช่น
- ไม่พึ่งพาคนเก่งเพียงคนเดียว
- ให้ลูกน้องแก้โจทย์ยากๆ
- หนึ่งในเกณฑ์ประเมินหัวหน้าก็คือ 'ความน่านับถือ'
- เริ่มจากสอนคนที่หัวแข็งที่สุดก่อน

หนังสือเล่มนี้ ถูกเขียนขึ้นโดยบุคคากรของบริษัท OJT Solutions เป็นบริษัทให้คำปรีกษา ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัทโตโยต้า มอร์เตอร์ คอร์ปอเรชัน ..วิทยากรหลายๆคนเคยเป็นบุคลากรในบริษัทโตโยต้า ทำงานมาหลาย 10 ปีและผันตัวมาเป็นผู้ให้คำปรึกษา 

ผู้เขียน : OJT Solutions
สำนักพิมพ์ We Learn

วันนี้ขอนำเสนอเพียง 5 เล่มก่อน 

เหล่าหนอนหนังสือทั้งหลาย สามารถมาเจอเราได้ที่
Facebook : www.facebook.com/I.Read9
Instagram : I.Read9
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่