ประวัติ วง ฌา-มา…(ตอน ที่ 1)(อาจจะยาวสักนิด..แต่อยากให้อ่านครับ)
....จุดเริ่มต้นของชีวิตแต่ละคนนั้น ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวที่น่าจดจำ...เช่นเดียวกับชีวิตของผม ผมเกิดในหมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดหนึ่งของภาคใต้..หมู่บ้านที่ผมเกิดมีชื่อว่า หมู่บ้านหินดาด ต.ทรายแดง อ.เมือง จ.ระนอง
…พ่อผมชื่อนาย ปัญญา กระจ่างเมฆ แม่ชื่อ นางวุ่น กระจ่างเมฆ ผมมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน มีพี่ชาย 1 มีพี่สาว3 มีน้องชาย1 และมีน้องสาว 2คน ส่วนผมเป็นคนที่5ของครอบครัว…ครอบครัวของผมก็เหมือนกับครอบครัวชาวบ้านทั่วๆไปในหมู่บ้าน พ่อผมมีอาชีพขับรถสองแถวจากหมู่บ้านเข้าในเมือง( สมัยนั้นเขาเรียกรถคิว เพราะจะมีการซื้อขายคิวเพื่อเดินรถโดยนายคิวจะเป็นคนจัดคิวให้รถวิ่งในแต่ละวัน)…รถสองแถวก็จะเป็นรถสองแถวไม้โดยใช้หัวรถกะบะในสมัยนั้นเป็นหัว…ก็จะมีทั้ง รถนิสสัน ดัสสัน โตโยต้า ซึ่งสมัยนั้นบ้านใครมีรถยนต์ก็ถือว่าเท่ห์เลยทีเดียว ส่วนแม่ผมก็จะไปช่วยพ่อเก็บเงินค่าโดยสารบ้าง และเปิดร้านค้าขายของเล็กๆที่บ้านไปด้วย …ผมจำความได้ก็ตอนพี่ชายคนโตผมก็เริ่มเข้าวัยหนุ่มแล้ว พี่ชายผมเรียนจบ ป.7 ก็ต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อทำงาน ผมจำได้ว่าพี่ชายผมเค้ารักผมมาก ผมเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อว่าโรงเรียน บ้านหินดาด
…พอสักประมาณผมอยู่ป.3 พ่อผมเห็นว่าพี่ชายผม มีความตั้งใจ ขยันขันแข็งดีมาก พ่อก็เลยซื้อรถสองแถวไม้แบบที่พ่อขับให้พี่ชายหนึ่งคัน เพื่อให้พี่ชายผมออกขับรับจ้างบรรทุกของไปในที่ต่างๆ ด้วยความที่พี่ชายผมเป็นคนขยัน จึงทำงานแบบไม่ค่อยได้พักผ่อน วันหนึ่งพี่ชายผมก็เกิดอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำเสียชีวิต ..เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อผมเสียใจมาก จึงขายรถที่มี ทั้ง2คัน..แล้วหันมาทำอาชีพประมง ขณะนั้นผมเรียนหนังสืออยู่ชั้นป.4
…พ่อผมต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะไม่มีคนช่วยแล้ว เมื่อผมจบชั้นประถมปีที่6 พ่อบังคับให้ผมเรียนหนังสือ แต่ด้วยความที่ ผมไม่ค่อย ชอบเรียนหนังสือ ผมจึงไม่เรียน ผมออกมาช่วยพ่อทำงาน ซึ่งขณะนั้น พี่สาวผม (ปัจจุบันเป็น ดร.แล้ว ชื่อ ดร.จิตกวี กระจ่างเมฆ) ก็กำลังเรียนมัธยมอยู่โรงเรียนสตรีระนองในเมืองระนอง น้องชายผมก็เรียนอยู่มัธยมต้น น้องสาวก็กำลังเรียนอยู่วิทยาลัยเทคนิคระนอง. ถ้าผมเรียนด้วยพ่อคงจะลำบากหนักแน่ผมจึงตัดสินใจหยุดเรียนออกมาช่วยพ่อทำงาน
…อายุ 13 ปีผมคือเด็กที่ต้องทำงานหนักออกทะเล ออกเรือหาปลาในลำคลองกระบุรี ฝั่งทะเลอันดามัน
ทำงานทุกรูปแบบ ที่ผมพอจะทำได้ …ผมทำงานช่วยพ่อมาจนถึงอายุ17ปี
…ถึงตอนนี้หลายคนคงจะสงสัย แล้วชีวิตผมมันเข้าไปเกี่ยวกับการเป็นนักร้องนักดนตรีได้อย่างไร
แน่นอนว่า คำว่าดนตรีนั้น ผมไม่รู้จักอะไรมากนัก เพราะสมัยนั้น ดนตรีที่ผมรู้จัก ก็จะมีแต่ดนตรีหนังตะลุง มโนราห์ และคณะรำวง ที่มีนางรำเยอะๆ ตั้งแต่เด็ก ผมมีความใฝ่ฝันมากๆที่จะเป็นนักร้องลูกทุ่ง เพราะพ่อผมชอบฟังเพลงลูกทุ่ง แต่เส้นทางชีวิตของผมกับคำว่านักร้องมันช่างห่างไกลและ..ไม่มีเอาซะเลย เหตุเพราะระนองบ้านผมในสมัยนั้น อย่าว่าจะเป็นนักร้องเลย แค่จะหาดูนักร้องก็ยังหาดูได้ยากมาก ชีวิตของผมจึงซึมซับคำว่าดนตรีได้เพียงแต่ดนตรีหนังตะลุง มโนราห์ และดนตรีคณะรำวงเท่านั้น ดนตรีที่ผมได้เห็นก็จะมีแต่เพียง ปี่ ซอ ทับ กลองชุด ทอมบ้า กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์เบส ของคณะรำวง และหนังตะลุง
…จนวันหนึ่งได้มีโอกาสเห็นพี่ๆในหมู่บ้านเขาเอากีตาร์โปร่งมานั้นเล่นร้องเพลงจีบสาว เห็นพี่ๆเค้าเล่นแล้วก็มีความรู้สึกว่า อือ... มันเท่ห์ดีจัง กลายเป็นจุดสนใจของคนในสมัยนั้น ก็เลยอยากจะเล่นเป็นบ้าง เลยไปขอพี่ๆเขาจับกีตาร์ถามคอร์ด ให้พี่ๆเขาสอน ซึ่งพอได้จับกีตาร์นั้น มันทำให้ผมมีความสุขมาก ผมก็เลยหาโอกาสขอพี่ๆเขาเล่นอยู่เสมอ ฝึกจับหัดเล่นจนเป็นได้แบบงูๆปลาๆ ก็ยังไม่มีเงินซื้อกีตาร์เป็นของตัวเอง ก็อาศัยยืมเพื่อนมั่ง ยืมของพี่เขามั่ง จนจับคอร์ดร้องเพลงได้ ..ถึงตอนนี้นึกแล้วก็ขำดีไอ้เพื่อนที่มีกีตาร์ทุกวันนี้มันยังเล่นไม่เป็น แต่ไอ้เรายืมเพื่อนเล่นกลับเล่นเป็น..5555
…ถึงจุดพลิกผัน…อายุสัก18ปีกว่าๆ พ่อย้ายที่มาหาทำเลในการทำประมงไปอีกที่หนึ่ง ที่นั้นก็คือหมู่บ้าน หินช้าง..ก็ได้มาอาศัยอยู่บ้านพี่เขยที่เป็นครูในหมู่บ้านนั้น ก็ได้มารู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ใหม่ๆซึ่งก็มีทั้งหมออนามัย คุณครู ที่เขาเล่นกีตาร์เป็นแล้วก็เลยมีโอกาสได้เล่นบ่อยมากขึ้นในตอนค่ำๆ เขานั่งกินเหล้ากันเราก็ร้องเพลงให้เขาฟัง ก็เป็นที่ชื่นชอบของพี่ๆเขาเป็นอย่างมาก เพราะสมัยก่อนความบันเทิงอย่างอื่นมันไม่ค่อยมี ถ้าจะมีก็ต้องไปในเมืองเท่านั้น ซึ่งก็ไกลประมาร20กิโลได้ จึงมีบ้างที่นานๆครั้งพี่ๆเขาก็ไปต่อกันในเมือง แต่ผมไม่ค่อยได้ไป เป็นเพราะยังเด็กและกินเหล้าไม่เป็น ..ผมทำงานอยู่ที่นั้นก็หลายเดือนจนสนิทกับพี่ๆเขามาก .. วันหนึ่ง พี่เขาจะไปต่อกันในเมืองเขาจึงคะยั้นคะยอชวนผมไปในเมืองด้วย ผมจึงตามพี่ๆเขาไปด้วยความกลัวๆ
…ไปถึงก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ทุกคนเมากันหมดมีแต่ผมไม่เมา จำได้ว่าที่ไปคืนนั้นคือคาเฟ่ที่อยู่ในตึก2ชั้น อยู่ตรง3แยกกรุงไทย.มีชื่อว่า ร้าน สาว สาว สาว..เข้าไปข้างในคนพลุกพล่านมาก มีนักร้องกำลังร้องเพลง มีเด็กเสิร์ฟเข้ามาต้อนรับ มีนักร้องที่รู้จักกับพี่ๆเข้ามาทักดูครื่นเครงดีมาก ทุกคนดูมีความสุข แต่ตัวผมนั้นตื่นเต้น เพราะนี้คือครั้งแรกที่ผมเข้ามาในสถานที่แบบนี้
ผมนั่งมองไปบนเวทีเห็นนักร้องร้องเพลงแล้วมีคนเอามาลัยไปคล้องคอ เห็นนักดนตรีนั้นเล่นดนตรีอยู่คนเดียว เห็นนักร้องยกมือไหว้นักดนตรี คิดในใจ โอ๊ย มันช่างเท่ห์จริงๆเลยเป็นนักดนตรี ก็นั่งอยู่เพลินๆ รุ่นพี่ที่พาไปก็สะกิดบอกขึ้นไปร้องเพลงโชว์หน่อย ผมตกใจมาก เฮ้ย มันจะดีเหรอพี่เดี๊ยวเค้าโห่ผมนะ พี่บอกไม่เป็นไรแกสนิทกับเจ้าของร้าน แกเลยให้นักร้องที่นั่งกับแกเดินไปบอกนักดนตรี ไอ้ผมก็ใจเต้นตึกตักตึกตัก พอเค้าเรียกว่าเชิญแขกโต๊ะผมขึ้นร้อง ผมก็ขึ้นไปร้อง บอกเพลงนักดนตรีเสร็จผมก็ร้อง จำได้ว่าเป็นเพลงของครูสุรพล สมบัติเจริญ ชื่อเพลง น้ำตาจ่าโท
…พอผมขึ้นท่อนแรก..สิ้นสุดกันที ไม่ว่าชาตินี้ ชาติไหน เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง ทุกคนในร้านหันมามองผมเป็นตาเดียว แล้วพวงมาลัยก็ล้นที่คอผม จบเพลงแรกมีคนขออีกๆ ผมจำได้ว่าร้องไป สามสี่เพลง …ร้องเสร็จเดินกลับมาที่โต๊ะ เจ้าของร้านเดินมาถามเลย ..น้องร้องอยู่ที่ไหน มาร้องที่นี้มั่ย..โอโฮ ความรู้สึกตอนนั้นหัวใจมันพองโตซะจริงๆ.......... #ติดตามต่อมานะครับ...ยังมีอีกเยอะ...
22ปี แห่งความหลัง วง ฌา มา ตำนานที่ยังคงอยู่
....จุดเริ่มต้นของชีวิตแต่ละคนนั้น ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวที่น่าจดจำ...เช่นเดียวกับชีวิตของผม ผมเกิดในหมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดหนึ่งของภาคใต้..หมู่บ้านที่ผมเกิดมีชื่อว่า หมู่บ้านหินดาด ต.ทรายแดง อ.เมือง จ.ระนอง
…พ่อผมชื่อนาย ปัญญา กระจ่างเมฆ แม่ชื่อ นางวุ่น กระจ่างเมฆ ผมมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน มีพี่ชาย 1 มีพี่สาว3 มีน้องชาย1 และมีน้องสาว 2คน ส่วนผมเป็นคนที่5ของครอบครัว…ครอบครัวของผมก็เหมือนกับครอบครัวชาวบ้านทั่วๆไปในหมู่บ้าน พ่อผมมีอาชีพขับรถสองแถวจากหมู่บ้านเข้าในเมือง( สมัยนั้นเขาเรียกรถคิว เพราะจะมีการซื้อขายคิวเพื่อเดินรถโดยนายคิวจะเป็นคนจัดคิวให้รถวิ่งในแต่ละวัน)…รถสองแถวก็จะเป็นรถสองแถวไม้โดยใช้หัวรถกะบะในสมัยนั้นเป็นหัว…ก็จะมีทั้ง รถนิสสัน ดัสสัน โตโยต้า ซึ่งสมัยนั้นบ้านใครมีรถยนต์ก็ถือว่าเท่ห์เลยทีเดียว ส่วนแม่ผมก็จะไปช่วยพ่อเก็บเงินค่าโดยสารบ้าง และเปิดร้านค้าขายของเล็กๆที่บ้านไปด้วย …ผมจำความได้ก็ตอนพี่ชายคนโตผมก็เริ่มเข้าวัยหนุ่มแล้ว พี่ชายผมเรียนจบ ป.7 ก็ต้องออกจากโรงเรียนมาช่วยพ่อทำงาน ผมจำได้ว่าพี่ชายผมเค้ารักผมมาก ผมเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ชื่อว่าโรงเรียน บ้านหินดาด
…พอสักประมาณผมอยู่ป.3 พ่อผมเห็นว่าพี่ชายผม มีความตั้งใจ ขยันขันแข็งดีมาก พ่อก็เลยซื้อรถสองแถวไม้แบบที่พ่อขับให้พี่ชายหนึ่งคัน เพื่อให้พี่ชายผมออกขับรับจ้างบรรทุกของไปในที่ต่างๆ ด้วยความที่พี่ชายผมเป็นคนขยัน จึงทำงานแบบไม่ค่อยได้พักผ่อน วันหนึ่งพี่ชายผมก็เกิดอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำเสียชีวิต ..เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อผมเสียใจมาก จึงขายรถที่มี ทั้ง2คัน..แล้วหันมาทำอาชีพประมง ขณะนั้นผมเรียนหนังสืออยู่ชั้นป.4
…พ่อผมต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม เพราะไม่มีคนช่วยแล้ว เมื่อผมจบชั้นประถมปีที่6 พ่อบังคับให้ผมเรียนหนังสือ แต่ด้วยความที่ ผมไม่ค่อย ชอบเรียนหนังสือ ผมจึงไม่เรียน ผมออกมาช่วยพ่อทำงาน ซึ่งขณะนั้น พี่สาวผม (ปัจจุบันเป็น ดร.แล้ว ชื่อ ดร.จิตกวี กระจ่างเมฆ) ก็กำลังเรียนมัธยมอยู่โรงเรียนสตรีระนองในเมืองระนอง น้องชายผมก็เรียนอยู่มัธยมต้น น้องสาวก็กำลังเรียนอยู่วิทยาลัยเทคนิคระนอง. ถ้าผมเรียนด้วยพ่อคงจะลำบากหนักแน่ผมจึงตัดสินใจหยุดเรียนออกมาช่วยพ่อทำงาน
…อายุ 13 ปีผมคือเด็กที่ต้องทำงานหนักออกทะเล ออกเรือหาปลาในลำคลองกระบุรี ฝั่งทะเลอันดามัน
ทำงานทุกรูปแบบ ที่ผมพอจะทำได้ …ผมทำงานช่วยพ่อมาจนถึงอายุ17ปี
…ถึงตอนนี้หลายคนคงจะสงสัย แล้วชีวิตผมมันเข้าไปเกี่ยวกับการเป็นนักร้องนักดนตรีได้อย่างไร
แน่นอนว่า คำว่าดนตรีนั้น ผมไม่รู้จักอะไรมากนัก เพราะสมัยนั้น ดนตรีที่ผมรู้จัก ก็จะมีแต่ดนตรีหนังตะลุง มโนราห์ และคณะรำวง ที่มีนางรำเยอะๆ ตั้งแต่เด็ก ผมมีความใฝ่ฝันมากๆที่จะเป็นนักร้องลูกทุ่ง เพราะพ่อผมชอบฟังเพลงลูกทุ่ง แต่เส้นทางชีวิตของผมกับคำว่านักร้องมันช่างห่างไกลและ..ไม่มีเอาซะเลย เหตุเพราะระนองบ้านผมในสมัยนั้น อย่าว่าจะเป็นนักร้องเลย แค่จะหาดูนักร้องก็ยังหาดูได้ยากมาก ชีวิตของผมจึงซึมซับคำว่าดนตรีได้เพียงแต่ดนตรีหนังตะลุง มโนราห์ และดนตรีคณะรำวงเท่านั้น ดนตรีที่ผมได้เห็นก็จะมีแต่เพียง ปี่ ซอ ทับ กลองชุด ทอมบ้า กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์เบส ของคณะรำวง และหนังตะลุง
…จนวันหนึ่งได้มีโอกาสเห็นพี่ๆในหมู่บ้านเขาเอากีตาร์โปร่งมานั้นเล่นร้องเพลงจีบสาว เห็นพี่ๆเค้าเล่นแล้วก็มีความรู้สึกว่า อือ... มันเท่ห์ดีจัง กลายเป็นจุดสนใจของคนในสมัยนั้น ก็เลยอยากจะเล่นเป็นบ้าง เลยไปขอพี่ๆเขาจับกีตาร์ถามคอร์ด ให้พี่ๆเขาสอน ซึ่งพอได้จับกีตาร์นั้น มันทำให้ผมมีความสุขมาก ผมก็เลยหาโอกาสขอพี่ๆเขาเล่นอยู่เสมอ ฝึกจับหัดเล่นจนเป็นได้แบบงูๆปลาๆ ก็ยังไม่มีเงินซื้อกีตาร์เป็นของตัวเอง ก็อาศัยยืมเพื่อนมั่ง ยืมของพี่เขามั่ง จนจับคอร์ดร้องเพลงได้ ..ถึงตอนนี้นึกแล้วก็ขำดีไอ้เพื่อนที่มีกีตาร์ทุกวันนี้มันยังเล่นไม่เป็น แต่ไอ้เรายืมเพื่อนเล่นกลับเล่นเป็น..5555
…ถึงจุดพลิกผัน…อายุสัก18ปีกว่าๆ พ่อย้ายที่มาหาทำเลในการทำประมงไปอีกที่หนึ่ง ที่นั้นก็คือหมู่บ้าน หินช้าง..ก็ได้มาอาศัยอยู่บ้านพี่เขยที่เป็นครูในหมู่บ้านนั้น ก็ได้มารู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ใหม่ๆซึ่งก็มีทั้งหมออนามัย คุณครู ที่เขาเล่นกีตาร์เป็นแล้วก็เลยมีโอกาสได้เล่นบ่อยมากขึ้นในตอนค่ำๆ เขานั่งกินเหล้ากันเราก็ร้องเพลงให้เขาฟัง ก็เป็นที่ชื่นชอบของพี่ๆเขาเป็นอย่างมาก เพราะสมัยก่อนความบันเทิงอย่างอื่นมันไม่ค่อยมี ถ้าจะมีก็ต้องไปในเมืองเท่านั้น ซึ่งก็ไกลประมาร20กิโลได้ จึงมีบ้างที่นานๆครั้งพี่ๆเขาก็ไปต่อกันในเมือง แต่ผมไม่ค่อยได้ไป เป็นเพราะยังเด็กและกินเหล้าไม่เป็น ..ผมทำงานอยู่ที่นั้นก็หลายเดือนจนสนิทกับพี่ๆเขามาก .. วันหนึ่ง พี่เขาจะไปต่อกันในเมืองเขาจึงคะยั้นคะยอชวนผมไปในเมืองด้วย ผมจึงตามพี่ๆเขาไปด้วยความกลัวๆ
…ไปถึงก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ทุกคนเมากันหมดมีแต่ผมไม่เมา จำได้ว่าที่ไปคืนนั้นคือคาเฟ่ที่อยู่ในตึก2ชั้น อยู่ตรง3แยกกรุงไทย.มีชื่อว่า ร้าน สาว สาว สาว..เข้าไปข้างในคนพลุกพล่านมาก มีนักร้องกำลังร้องเพลง มีเด็กเสิร์ฟเข้ามาต้อนรับ มีนักร้องที่รู้จักกับพี่ๆเข้ามาทักดูครื่นเครงดีมาก ทุกคนดูมีความสุข แต่ตัวผมนั้นตื่นเต้น เพราะนี้คือครั้งแรกที่ผมเข้ามาในสถานที่แบบนี้
ผมนั่งมองไปบนเวทีเห็นนักร้องร้องเพลงแล้วมีคนเอามาลัยไปคล้องคอ เห็นนักดนตรีนั้นเล่นดนตรีอยู่คนเดียว เห็นนักร้องยกมือไหว้นักดนตรี คิดในใจ โอ๊ย มันช่างเท่ห์จริงๆเลยเป็นนักดนตรี ก็นั่งอยู่เพลินๆ รุ่นพี่ที่พาไปก็สะกิดบอกขึ้นไปร้องเพลงโชว์หน่อย ผมตกใจมาก เฮ้ย มันจะดีเหรอพี่เดี๊ยวเค้าโห่ผมนะ พี่บอกไม่เป็นไรแกสนิทกับเจ้าของร้าน แกเลยให้นักร้องที่นั่งกับแกเดินไปบอกนักดนตรี ไอ้ผมก็ใจเต้นตึกตักตึกตัก พอเค้าเรียกว่าเชิญแขกโต๊ะผมขึ้นร้อง ผมก็ขึ้นไปร้อง บอกเพลงนักดนตรีเสร็จผมก็ร้อง จำได้ว่าเป็นเพลงของครูสุรพล สมบัติเจริญ ชื่อเพลง น้ำตาจ่าโท
…พอผมขึ้นท่อนแรก..สิ้นสุดกันที ไม่ว่าชาตินี้ ชาติไหน เสียงปรบมือก็ดังกึกก้อง ทุกคนในร้านหันมามองผมเป็นตาเดียว แล้วพวงมาลัยก็ล้นที่คอผม จบเพลงแรกมีคนขออีกๆ ผมจำได้ว่าร้องไป สามสี่เพลง …ร้องเสร็จเดินกลับมาที่โต๊ะ เจ้าของร้านเดินมาถามเลย ..น้องร้องอยู่ที่ไหน มาร้องที่นี้มั่ย..โอโฮ ความรู้สึกตอนนั้นหัวใจมันพองโตซะจริงๆ.......... #ติดตามต่อมานะครับ...ยังมีอีกเยอะ...