หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กับ ในหลวงรัชกาลที่ 9


ในหลวงสนทนาธรรมกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ท่านก็ถามถึงธรรมมะไปหลายๆอย่าง เรียกว่าหลายอย่างน่ะละเอียดมาก 
แล้วก็ย้อนกันไปย้อนกันมา แต่ละจุดนี่ท่านถามละเอียดแบบนักเทศน์ก็ไม่เคยถามแบบนั้น 
ถามถึงเรื่องฌาน ถามถึงเรื่องอารมณ์วิปัสสนาญา

ไปๆมาๆท่านก็... ท่านพูดมาคำบอกว่า “เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิ เป็นความจริงไหมครับ...?”

ก็เลยถวายพระพรบอกว่า
“เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน เท่าที่ทราบพระองค์ปรารถนามานาน 
แต่เวลานี้บารมีก็เป็นปรมัตถบารมีแล้ว ก็เหลืออีกเพียง ๕ ชาติ ก็จะไปจบกิจ”

นั่งเฉย...นั่งเฉยไปประเดี๋ยว
บอก “โอ้โฮ! ต้อง ๕ ชาติหรือนี่” ชักหนักใจ!ท่านเลยบอกว่า 
“เอ๊ะ! นี่ผมนึกว่าชาติเดียวนี้ก็เต็มทีแล้วนะครับ ชาตินี้ชาติเดียวก็เต็มที”
หมอเขาดูผม ผมให้หมอดู หมอเขาพยากรณ์บอกว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา 
และต่อไป ๓-๔ ปี บ้านเมืองก็จะอยู่ในเกณฑ์สงบเรียบร้อย ก็เป็นการดี
ผมก็เลยถามเขาว่าถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้วก็ได้อยู่เป็นสุขเสียที ไม่เหน็ดเหนื่อยแล้วใช่ไหม หมอเขาตอบว่าไม่ใช่

ท่านก็เลยถามหมอต่อไปอีกว่า ฉันต้องเหนื่อยจนตายใช่ไหม หมอเขานิ่ง ท่านบอกหมอเขานิ่ง
แล้วท่านก็เลยหันมาถามว่า หลวงพ่อเห็นว่ายังไง ก็เลยตอบไปว่า ถ้าหมอเขาไม่ตอบอาตมาก็ตอบ 
ตอบว่าเหนื่อยยันตาย ท่านก็เลยหัวเราะ ก็เหนื่อยยันตาย! แต่วันนี้รู้สึกว่าท่านรื่นเริงมาก 

เห็นพวกชาววังเขาบอกว่า ตั้งแต่เสด็จไปภูพิงค์ฯนี่ท่านไม่เคยยิ้มกับใครเลย 
รู้สึกว่าพระพักตร์ท่านจะเครียดอยู่ตลอดเวลา แต่วันนั้นคุยกันท่านยิ้มอยู่ตลอดเวลา บางทีก็หัวเราะ 
ก็เล่นมวยวัดกันแล้วนี้น่ะ ท่านหัวเราะ ท่านก็เลยถามต่อ
บอกว่า “ถ้าอย่างผมนี่...”
แต่ความจริงเคยถามมาแล้วตั้งแต่ที่ดอยอ่างขาง
“ถ้าทำไปนี่จะสำเร็จไหม...?”

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ : “ที่พระองค์ปฏิบัติมานี่มันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่สำเร็จ 
พุทธภูมินี่ต้องบำเพ็ญบารมีกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเป็นวิริยาธิกะ 
วิริยาธิกะนี่ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป 
นี่บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว ไอ้แสนกัปอาจจะยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ 

นี่หากว่าถ้าปรารถนาเป็นสาวกภูมิเฉยๆ ไม่ใช่อัครสาวก ก็บำเพ็ญบารมีเพียง ๑ อสงไขยกำไรแสนกัป 
อัครสาวกก็แค่ ๒ อสงไขยกำไรแสนกัป ทีนี้พระองค์ว่ามาตั้ง ๑๖ อสงไขยแล้ว ถ้าจะเป็นอรหันต์ชาตินี้ก็ควรจะได้ ถ้ากลับ”
ท่านยิ้ม ท่านบอกว่า “ผมเบื่อเต็มที ไอ้โลกนี้มันเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ แต่ไอ้ที่ทำไปนี่ทำไปด้วยความเมตตา”
ความจริงท่านมีเมตตาสูงนะ...

ท่านก็เลยถามถึงเรื่องการปฏิบัติ ตั้งแต่พระโสดาบันขั้นต้นถึงเอกพิชี 
แล้วก็ไปสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ท่านถามตามลำดับ 
ก็เลยถวายพระพรไปตามลำดับ แล้วท่านก็ไล่ไปไล่มา 
บอกคนที่จะเป็นอรหันต์นี่ ต้องเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ตามลำดับหรือเปล่า

ก็เลยบอกว่า ตามที่อ่านในพระสูตรหรือในชาติปัจจุบันนี่ เท่าที่เคยพบมาหลายองค์ 
บางองค์ก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร เพราะว่าอารมณ์จิตมีความแรง 
มารู้ตัวกันจริงๆ เอาเมื่อจิตเข้าถึงอรหัตผล นั่นก็หมายความจิตมันตัดกิเลสเวลาเดียวกัน 
ก็หมายความถึงว่าเรานั่งสมาธิเพียงแค่ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที นี่จิตมันตัดเร็ว 
ตัดจนกระทั่งตัวเองไม่รู้ว่าเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เมื่อไร มันเข้าไปจนอรหันต์ทันที 
อย่างนี้ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ หลังมาก็มีเยอะ ในสมัยที่อาตมาบวชแล้วก็มีเยอะ พระที่ได้ระดับนี้ก็ไม่รู้ตัว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่