Namaste Nepal สวัสดีเนปาล ( ตอนที่ 2...เหนื่อยแล้วน๊าาา...แถมปล่อยให้หลงอีก.... )
วัดปศุปฏินาถ เป็นศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู บางครั้งก็เรียกวัดทอง วัดนี้มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้า " ตรีมูรติ " หมายถึงเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ 3 พระองค์ คือพระพรหมซึ่งเป็นผู้สร้าง พระวิษณุ หรือพระพระนารายณ์เป็นผู้รักษา และพระศิวะเป็นผู้ทำลาย
Qq
แต่อย่างไรก็ตาม วัดปศุปฏินาถเป็นวัดที่มีร้านค้าประเภท Delivery ติดตัวแบบ Direct sell กับพี่เขียวโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นสร้อยที่ทำ Amatis
หรือ Turquoise แสนสวยราคาถูกมาก จนอดใจไม่ไหว ส่วนราคาตามที่เราพอใจก็มีความสุขแล้ว ส่วนเรากับรุจาไม่ซื้อ
หลังจากชื่นชมกับความงามของวัดปศุปฏินาถแล้ว ไกด์พาไปถนนทาเมล แหล่งชอปปิ้งของกาฐมาณฑุมีของขายมากมาย รวมทั้งร้านที่ขาย North face เยอะมากใครจะมา Trekking ยอดเขา Everest หรือ Anapurna มาหาซื้อเพิ่มเติมได้เลย และยังมีของประเภทเนป้านเนปาล ก็มีเยอะให้ซื้อไม่ถูกเพราะไม่รู้จะซื้ออะไร ขณะนี้รู้แต่ว่าหิวข้าวแล้ว ไกด์นัดทานข้าว 6.30 pm แต่เวลาของเนปาลช้ากว่าไทย 1.15 h ดังนั้น 6.30 pm ก็คือ 7.45 pm ของไทย ทำให้หิวได้วันนี้ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า มีแค่ข้าวเหนียว 1 ห่อ กับ ขนมปังไส้ ครีมเห็ด เย็นนี้ไกด์บอกอาหารต้อนรับแบบเนปาลีแท้ ๆ ร้านเนปาลี การแสดงแบบเนปาลี ทุกอย่างเนปาลี อร่อยแน่...เนปาลี
หลังจากช้อป...ได้เวลาเดินไปร้านอาหารเนปาลี อาหารพื้นเมืองที่ขาดไม่ได้คือโมโม ( MoMo...เกี้ยวเนปาล..)
เมื่อเดินเข้าร้านอาหารจะมีหญิงสาวเนปาลมาต้อนรับด้วยการ stamp หน้าผากด้วยสีแดง (...น่าจะแปลว่าผ่านด่าน...)โต๊ะอาหารจะวางภาชนะทองเหลืองสำหรับทุกคน เริ่มต้นด้วยน้ำชาในแก้วทองเหลือง ตามด้วย โมโม (เกี้ยว ...เนปาล) เหล้า (Rice Wine ) ประมาณสาโท ในจอกทองเหลืองเล็ก ๆ น่ารัก แล้วตามด้วย main course เสริฟในถาดทองเหลือง หากเนปาลีแท้ ต้องรับประทานอาหารด้วยมือ แต่เราเป็นชาวต่างชาติจึงมีช้อนส้อม มาให้ ระหว่างรับประทานอาหารมีการแสดงพื้นเมืองของเนปาลีให้ชม รู้สึกมืนเมาเล็กน้อย เจ้า Rice wine นี่เอง
อิ่มหนำสำราญเรียบร้อย เดินทางกลับที่พัก The Fern Desidency Hotel พรุ่งนี้ ตื่น 6.00 am แล้วเดินทางต่อไป Bundipur เวลา 8.00 am หลังจากทุกคน check กระเป๋าตัวเองเรียบร้อยแล้วทุกคนขึ้นประจำตำแหน่ง รถเคลื่อนที่ออกจาก Kathmandu to Bundipur
Bundipur เป็นเมืองเล็ก ๆ มีความสูงเฉลี่ย 1,030 m ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 143 km ใช้เวลาในการเดินทาง 4 h แต่ก่อนที่จะไปเมืองบันดิปูร์ หมู่บ้านศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ได้แวะไปสักการะสถูปสวะยัมภูนาถ (Swayambhunath) หรือวัดลิง (...สวะยัมภูนาถหมายถึง “การกำเนิดขึ้นเอง” .. พุทธสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูง ใจกลางหุบเขากาฏมาณฑุ..) เป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ศาสนสถานเเห่งนี้ ถือว่าเก่าเเก่ที่สุดของเนปาลน่าจะมีอายุถึง 2,000 ปี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะ ในปี ค.ศ 420 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกเมื่อปี 1979 ( ...ปีเดียวกับวัดปศุปฏินาถ ) สถูปสวะยัมภูนาถมีรูปทรงคล้ายโอคว่ำขนาดใหญ่สีขาว ( รูปครึ่งทรงกลมคว่ำ...หรือส้มโอผ่าครึ่งคว่ำ....) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธนิกายมหายานหรือวัชรยานแบบทิเบต ด้านบนก่อนถึงยอดสถูปสร้างเป็นฐานสี่เหลี่ยม มีภาพวาดเป็นรูปดวงตาเห็นธรรม หรือ Wisdom Eyes ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นดวงตาเเห่งธรรมของพระพุทธเจ้า และในอีกความหมายหนึ่ง คือ ดวงตาแห่งปัญญาทั้งสี่ทิศหมายถึง พระพุทธเจ้าดูแลทุกข์ สุข และ บันทึกการกระทำ ดี ชั่ว ของมนุษย์ ทั้งสี่ทิศ ส่วน อุนาโลม ( จุด กลางหน้าผาก...) หมายถึง หนึ่ง หรือ เอกะ คือพุทธศาสนารวมใจเป็นหนึโดยรอบๆ จะมีธงมนตราซึ่งจารึกบทสวดมนต์ไว้ปลิวไสวอยู่ตลอดเวลา หากผู้ที่มาเยือนเนปาลวันแรกได้มาสักการะสถูปสวะยัมภูนาถ จะทำให้เป็นสิริมงคล
เคล็ดลับในการสักการะจะมีความคล้ายคลึงกับการกราบไหว้เจดีย์หรือพระบรมธาตุในเมืองไทย คือมีการจุดธูปเทียนแล้วพนมมือไหว้ขอพร จากนั้นก็จะเดินวนรอบองค์สถูปไปตามทิศทางเดียวกับเข็มนาฬิกา จำนวน 3 รอบ เป็นอันเสร็จพิธี
กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เดินทางต่อไปบันดิปูร์ แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ Chinese restaurant แบบเนปาล อร่อยแบบเนปาล ผัดถั่วฝักยาวอร่อยมาก หลังจากนั้นเดินทางไปบันดิปูร์เส้นทางขึ้นเขา ทางขรุขระ รถเหวี่ยงไปมา เรากินยาแก้เมาไปหนึ่งเม็ด หลับสนิท ตื่นพอดีถึงบันดิปูร์ หมู่บ้านเล็ก ๆ แบบหมู่บ้านชาวเขาทางภาคเหนือของไทย บ้านเรือนสองข้างทางแบบชนบท มีสิ่งของทำด้วยมือขาย พวกเราก็เดินชมหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ มีโรงเรียนเลยแวะไปดูนักเรียน ปรากฏว่าเป็น Private school
หลังจากเดินจนเหนื่อยแล้วน๊าาา...กลับที่รถจอดอยู่ที่สนามบอลที่มองเห็นต้นไม้ใหญ่ ไกด์(น้องต๊อก)บอกว่าโรงแรมที่พัก ให้เดินเข้าประตูด้านหน้าทางซ้ายมือเข้าไปเลย Bundipur Mtn Resort เราหยิบของบนรถแล้วเดินเข้าประตูไปโรงแรม รอพวก พี่ ๆ ยังเดินมาไม่ถึงทั้งที่รถและโรงแรมห่างกันไม่เกิน 50 m รอจนครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มา เราก็บอกแจ๊วว่าคงเดินถ่ายรูปกันล่ะ ( หายไปทั้งกลุ่ม พี่เขียว พี่แดง พี่สุ พี่หมู พี่หนุ่ย..มีวิภาด้วย...) ต๊อกไม่อยู่รีบไปทำกับข้าว แจ๊วกังวัลจึงเดินไปตามแล้วไม่พบมาบอกเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าหลงคร้าาาา...เดินไปไกลมาก ...เหนื่อยก็เหนื่อย..ถามชาวเนปาลที่เดินสวนมาก็ไม่รู้เรื่องแถมพี่แดงลากกระเป๋า พี่สุ...ขาไม่ดี ...ทำงัยดี ... พอดีให้เจ้าหน้าที่โรงแรมไปตามกลับ พอมาถึง ได้ยินเสียงโวยใหญ่เลย ...ว่าไม่รู้จักว่าทางเข้าโรงแรม ( ...information..ไม่ดีโรงแรมต้องทำป้ายแล้ว...ขออภัยนะที่ไม่ได้รอพวกพี่ ๆ ...) มองไม่เห็นใครเลย แถมพวกที่ไปด้วยกันบอกเดินไปเถอะเดี๋ยว ๆ ๆ ถึง ไกลมากเลย.เดินไปเสียไกล..แทบเป็นลม..มืดอีกต่างหาก (ดูท่าทางจะมีน้ำโหมาก) ต๊อก ...นัดทานข้าวเย็น 6.30 pm มืดมาก ต๊อกต้องให้เจ้าหน้าที่มารับเดี๋ยวหลงอีก ...ชักกลัวพี่ ๆซะแล้ว...เดินผ่านสนามบอลพระจันทร์ขึ้นค่อนข้างเต็มดวงสวยมาก ( แรม 2 ค่ำ เดือน 12 ใกล้เวลาที่ปิ่นพระศิวะ จะปรากฏแล้ว...เทือกเขาพระศิวะ Anapurna Mt.) อาหารวันนี้ไกด์ตั้งใจมาก ทั้งที่โรงแรมมีบุฟเฟต์ ก็ทำน้ำพริกกะปิ ปลาทู ผักต้ม และยังมีปลาเห็ด(ทอดมันเล็ก ๆ ) อร่อยมาก แต่บรรยากาศไม่ค่อยดีเสียแล้ว ทำงัยได้ ( ...ผิดไปแล้วครับ...ขออภัย...) หลังอาหารไกด์ชี้แจงว่า คืนนี้ให้ทุกคนจัดกระเป๋าเล็ก ( กระเป๋าเป้...) เพราะต้องไปค้างที่ โภครา ( Pokhara ) ส่วนกระเป๋าใหญ่นำไว้ที่รถบัส รถบัส จะไปส่งที่โภครา แล้วจะไปรอรับที่สนามบินกาฐมาณฑุ อีกวันหนึ่ง ดังนั้นที่โภคราจะใช้รถตู้ โดยเช้าพรุ่งนี้เมื่อทุกคนออกไปรับ ประทานอาหาร ให้นำกระเป๋าใหญ่และกระเป๋าเป้วางไว้หน้าห้อง เจ้าหน้าที่จะมาขนไปที่รถบัส เข้าใจตรงกันแล้วนะ...กลับโรงแรมนอน ขณะนี้ เกือบ 8.30 pm ได้ยินเสียงเฮข้างนอก จินกับสามีเดินทางมาถึงแล้วทุกคนดีใจมาก พี่เขียวกับแจ๊ว บอกให้ สองคนทานข้าวและพักผ่อน พรุ่งนี้พบกัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้วทุกคน check กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าใหญ่ กระเป๋าเป้ไว้บนรถ คืนนี้ค้างโภครา เมืองโภคราเป็นเมืองหน้าด่านตากอากาศที่สวยงาม ก่อนที่นักปีนเขาจะเดินทางไป trekking ที่เทือกเขา Anapurna Base Camp บ้านเมืองเป็นระเบียบสวยงาม ชาวเนปาลเปรียบเทียบโภคราเป็นป่าหิมพานต์ เทือกเขา Anapurna ว่าเป็นเขาไกรลาศ ส่วนทะเลสาบเฟวา เป็นสระอโนดาต ระยะทางจาก Bundipur to Pokhara ใช้เวลาประมาณ 4 h ระหว่างทางแวะศูนย์อพยพชาวทิเบต “Tibetan Refugee Camp” ความเป็นอยู่ของชาวธิเบตที่อพยพมาอยู่ทางตอนเหนือของเนปาล ทิเบต ตั้งอยู่ในใจกลางของทวีปเอเชีย[/left
Namaste Nepal สวัสดีเนปาล (ตอนที่ 2)
หรือ Turquoise แสนสวยราคาถูกมาก จนอดใจไม่ไหว ส่วนราคาตามที่เราพอใจก็มีความสุขแล้ว ส่วนเรากับรุจาไม่ซื้อ
หลังจากชื่นชมกับความงามของวัดปศุปฏินาถแล้ว ไกด์พาไปถนนทาเมล แหล่งชอปปิ้งของกาฐมาณฑุมีของขายมากมาย รวมทั้งร้านที่ขาย North face เยอะมากใครจะมา Trekking ยอดเขา Everest หรือ Anapurna มาหาซื้อเพิ่มเติมได้เลย และยังมีของประเภทเนป้านเนปาล ก็มีเยอะให้ซื้อไม่ถูกเพราะไม่รู้จะซื้ออะไร ขณะนี้รู้แต่ว่าหิวข้าวแล้ว ไกด์นัดทานข้าว 6.30 pm แต่เวลาของเนปาลช้ากว่าไทย 1.15 h ดังนั้น 6.30 pm ก็คือ 7.45 pm ของไทย ทำให้หิวได้วันนี้ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า มีแค่ข้าวเหนียว 1 ห่อ กับ ขนมปังไส้ ครีมเห็ด เย็นนี้ไกด์บอกอาหารต้อนรับแบบเนปาลีแท้ ๆ ร้านเนปาลี การแสดงแบบเนปาลี ทุกอย่างเนปาลี อร่อยแน่...เนปาลี
หลังจากช้อป...ได้เวลาเดินไปร้านอาหารเนปาลี อาหารพื้นเมืองที่ขาดไม่ได้คือโมโม ( MoMo...เกี้ยวเนปาล..)
เมื่อเดินเข้าร้านอาหารจะมีหญิงสาวเนปาลมาต้อนรับด้วยการ stamp หน้าผากด้วยสีแดง (...น่าจะแปลว่าผ่านด่าน...)โต๊ะอาหารจะวางภาชนะทองเหลืองสำหรับทุกคน เริ่มต้นด้วยน้ำชาในแก้วทองเหลือง ตามด้วย โมโม (เกี้ยว ...เนปาล) เหล้า (Rice Wine ) ประมาณสาโท ในจอกทองเหลืองเล็ก ๆ น่ารัก แล้วตามด้วย main course เสริฟในถาดทองเหลือง หากเนปาลีแท้ ต้องรับประทานอาหารด้วยมือ แต่เราเป็นชาวต่างชาติจึงมีช้อนส้อม มาให้ ระหว่างรับประทานอาหารมีการแสดงพื้นเมืองของเนปาลีให้ชม รู้สึกมืนเมาเล็กน้อย เจ้า Rice wine นี่เอง
อิ่มหนำสำราญเรียบร้อย เดินทางกลับที่พัก The Fern Desidency Hotel พรุ่งนี้ ตื่น 6.00 am แล้วเดินทางต่อไป Bundipur เวลา 8.00 am หลังจากทุกคน check กระเป๋าตัวเองเรียบร้อยแล้วทุกคนขึ้นประจำตำแหน่ง รถเคลื่อนที่ออกจาก Kathmandu to Bundipur
Bundipur เป็นเมืองเล็ก ๆ มีความสูงเฉลี่ย 1,030 m ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 143 km ใช้เวลาในการเดินทาง 4 h แต่ก่อนที่จะไปเมืองบันดิปูร์ หมู่บ้านศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู ได้แวะไปสักการะสถูปสวะยัมภูนาถ (Swayambhunath) หรือวัดลิง (...สวะยัมภูนาถหมายถึง “การกำเนิดขึ้นเอง” .. พุทธสถานแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูง ใจกลางหุบเขากาฏมาณฑุ..) เป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ศาสนสถานเเห่งนี้ ถือว่าเก่าเเก่ที่สุดของเนปาลน่าจะมีอายุถึง 2,000 ปี สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามานะเทวะ ในปี ค.ศ 420 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกเมื่อปี 1979 ( ...ปีเดียวกับวัดปศุปฏินาถ ) สถูปสวะยัมภูนาถมีรูปทรงคล้ายโอคว่ำขนาดใหญ่สีขาว ( รูปครึ่งทรงกลมคว่ำ...หรือส้มโอผ่าครึ่งคว่ำ....) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธนิกายมหายานหรือวัชรยานแบบทิเบต ด้านบนก่อนถึงยอดสถูปสร้างเป็นฐานสี่เหลี่ยม มีภาพวาดเป็นรูปดวงตาเห็นธรรม หรือ Wisdom Eyes ทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นดวงตาเเห่งธรรมของพระพุทธเจ้า และในอีกความหมายหนึ่ง คือ ดวงตาแห่งปัญญาทั้งสี่ทิศหมายถึง พระพุทธเจ้าดูแลทุกข์ สุข และ บันทึกการกระทำ ดี ชั่ว ของมนุษย์ ทั้งสี่ทิศ ส่วน อุนาโลม ( จุด กลางหน้าผาก...) หมายถึง หนึ่ง หรือ เอกะ คือพุทธศาสนารวมใจเป็นหนึโดยรอบๆ จะมีธงมนตราซึ่งจารึกบทสวดมนต์ไว้ปลิวไสวอยู่ตลอดเวลา หากผู้ที่มาเยือนเนปาลวันแรกได้มาสักการะสถูปสวะยัมภูนาถ จะทำให้เป็นสิริมงคล
เคล็ดลับในการสักการะจะมีความคล้ายคลึงกับการกราบไหว้เจดีย์หรือพระบรมธาตุในเมืองไทย คือมีการจุดธูปเทียนแล้วพนมมือไหว้ขอพร จากนั้นก็จะเดินวนรอบองค์สถูปไปตามทิศทางเดียวกับเข็มนาฬิกา จำนวน 3 รอบ เป็นอันเสร็จพิธี