สวัสดีค่ะ วันนี้เฮเลนจะมาแชร์ประสบการณ์ไส้ติ่งแตกที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆเลยค่ะ
ขอเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มมีอาการปวดท้องเลยนะคะ เฮรู้สึกแน่นท้องช่วงเที่ยงคืนเหมือนอาหารไม่ย่อยบวกกับปวดหน่วงๆบริเเวณท้องน้อย แต่เฮไม่ได้เอะใจอะไรคิดว่าอาหารไม่ย่อยจริงๆและประจำเดือนกำลังจะมา จึงเข้านอนปรกติจนถึงช่วงประมาณตีสี่ ปวดท้องจนนอนไม่หลับ ปวดเหมือนอาหารไม่ย่อยร่วมกับการปวดบีดๆบริเวณสะดือ จึงลุกขึ้นมาทานยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ พอทานไปได้ซักพักก็เริ่มเรอและถ่ายท้องค่ะแต่ไม่ได้หายปวด เฮจึงพยายามนอนต่อตั้งใจจะไปหาหมอตอนเช้าแต่มันนอนไม่ได้จริงๆค่ะ ทั้งปวดบิดทั้งคลื่นไส้ พยายามอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก
หลังจากทนทรมานอยู่หน้าห้องน้ำจนถึง7โมงเช้าถึงตัดสินใจได้ว่าต้องไปหาหมอจริงๆแล้วล่ะ เฮเรียกทุกคนในบ้านให้ช่วยพาเฮไปหาหมอที ทุกคนก็รีบค่ะแต่ติดว่าจะอาบน้ำก่อน เฮเลยบอกไปว่างั้นเฮไปก่อนนะเจอกันที่โรงพยาบาลแล้วกัน ในสถานการณ์นี้เฮเลือกพี่วินมอเตอร์ไซรับจ้างเลยค่ะ บอกพี่วินว่าขอด่วนที่สุด เฮถึงโรงพยาบาลเกือบ8โมง ที่จุดรับคนไข้ก็สอบถามข้อมูลต่างๆ
เฮแทบจะร้องไห้ขอเข้าพบหมอที่ห้องฉุกเฉิน คุณหมอสอบถามระดับความปวดจาก0-10 โดยที่10หมายถึงว่าปวดที่สุดในชีวิต เฮจึงแจ้งว่าปวดที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ คุณหมอถามว่าจะให้หมอทำยังไงดี จ่ายยากลับบ้านหรือให้ฉีดยา นาทีนั้นบอกเลยค่ะว่างงมากจึงตอบหมอไปว่า ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วหรอคะ คุณหมอจึงมาคลำท้องเพื่อระบุจุดที่ปวดให้แน่ชัด จากนั้นคุณหมอจึงบอกว่า ‘หมอว่าไส้ติ่งแล้วล่ะ’ เฮคิดในใจว่าใช่แน่ๆ คุณหมอแนะนำให้ทำซีทีสแกนก่อนเพื่อความแน่ใจ หลังจากคุณหมอแจ้งราคาอันหน้าตกใจแล้วเฮก็ไปทำซีทีค่ะ ผลซีทีเป็นไปตามคาดคือปวดตรงไส้ติ่งจริงๆแถมแตกด้วย ทางห้องฉุกเฉินจึงตามคุณหมอศัลยกรรมมาดูผลซีทีเพื่อเตรียมผ่าตัด
คุณหมอแจ้งว่าไส้ติ่งแตกเนี่ยมันยุ่งยากมากแถมยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆอีกด้วย ให้เรานึกภาพว่าแก้วทั้งใบเนี่ยเราหยิบออกมาง่ายกว่าหยิบเศษแก้วใช่ไหม ไส้ติ่งก็เป็นแบบนั้นเลย จริงๆการผ่าตัดมีสองวิธีคือส่องกล้องค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ200kบวกลบ20%และเปิดหน้าท้อง ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่150kบวกลบ20%เช่นกัน เฮก็โอเคเพราะเฮมีประกัน😂 คุณหมอสอบถามว่าเราทานอาหารมื้อล่าสุดตอนไหนดื่มน้ำครั้งล่าสุดตอนไหน เพราะก่อนผ่าตัดต้องงดน้ำและอาหาร ของเฮระยะเวลาที่ไม่ได้ทานอะไรเข้าไปอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ค่ะเพราะเฮทานมื้อล่าสุดตอนสามทุ่ม
เฮได้คิวผ่าตัดประมาณ11โมง โดยที่เข้าห้องผ่าตัดประมาณ10โมงเพื่อเตรีมดมยาสลบ ก่อนหน้านั้นนักกายภาพบำบัดก็เข้ามาแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังจากผ่าตัด เช่น การหายใจ การจาม การไอ การลุกนั่ง และการเดิน จากนั้นคุณหมอวิสัญญีก็ถามไถ่อาการเฮ บอกให้เฮไม่ต้องเกร็งไม่ต้องเครียด นาทีที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดโดนมัดแขนมัดขา บอกตรงๆเลยค่ะว่าตกผลึกทางความคิดได้หลายอย่าง เฮสัญญากับตัวเองเลยว่าถ้าออกไปจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ เฮจะทำทุกอย่างที่เฮอยากจะทำเพราะความตายมันใกล้แค่นี้เอง หลังจากเริ่มดมยาสลบคุณหมอจะนับเลขค่ะ ขอเฮนี่นับได้แค่1เฮหลับเลยค่ะ55555
หลังจากออกจากห้องผ่าตัดก็มาฟื้นเอาช่วงบ่ายค่ะ รู้สึกหวิวๆที่แผลนิดหน่อยแต่ไม่เจ็บไม่ปวดค่ะ แผลผ่าตัดยาวประมาณ2นิ้ว แล้วยังมีท่ออ่อนที่คุณหมอใส่ไว้ที่หน้าท้องเพื่อระบายของเสียจากไส้ติ่งที่แตก กลายเป็นว่าได้มาสองแผลเลยค่ะ ท่อนี้จะระบายน้ำออกมาตลอด ซึ่งเป็นของเหลวที่ถ้าไม่ระบายออกมาอาจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ คุณหมอยังไม่ให้ทานอะไรจนวันรุ่งขึ้นค่ะ
เช้าวันแรกหลังจากผ่าตัดคุณหมอมาแหวกดูแผลตรงที่เย็บไว้ บอกเลยว่าเจ็บมากฮือออ คุณหมอบอกว่าแผลของเฮดูดีมาก ไม่ได้มีอะไรน่ากังวล ส่วนท่อที่ใส่ไว้ก็ระบายออกมาได้ดี คุณหมอให้เริ่มจิบน้ำค่ะ ตวงน้ำดื่มและปัสสาวะ คุณหมออยากให้เราปัสสาวะได้เองจะได้ไม่ต้องสวนค่ะ โชคดีที่เราสามารถปัสสาวะเองได้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฮดูแลตัวเองไม่ได้ ทำไม่ได้แม่แต่จะเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง เป็นอะไรที่เฮเฟลมาก ยิ่งเฮเห็นตัวเองในกระจกยิ่งหดหู่ค่ะ วันแรกก็จะมีนักกายภาพมาสอนเฮขยับตัวและพาเฮไปเดินค่ะ เค้าแนะนำให้เดินบ่อยๆป้องกันแผลเป็นผังผืด แต่ตอนนั้นเฮเดินไม่ถนัดเท่าไหร่ค่ะ เจ็บแผลมาก
วันต่อๆมาคุณหมอให้เราทานน้ำข้าวต้มและน้ำซุปได้ เหมือนจะดีใจนะคะแต่ก็เศร้าเพราะมันไม่อร่อยเลย บวกกับทานอะไรไม่ค่อยลงด้วย กลังจากทานอาหารทุกมื้อต้องออกไปเดินค่ะ เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้เป็นปรกติ เป็นอย่างอยู่2-3วันค่ะ เห็นตัวเองในกระจกแล้วตกใจ ผอมซูบเหลือแต่กระดูกจริงๆ ชั่งน้ำหนักได้44กว่าๆจาก52กิโลกรัม พอเข้าวันที่4คุณหมอให้ทานข้าวต้มได้ รู้สึกดีใจมากเลยค่ะถึงอาหารโรงพยาบาลจะไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไหร่ แต่นานทีนั้นดีใจมากจริงๆค่ะแต่ก็ทานได้ไม่เท่าไหร่ เฮพยายามเดินให้ได้ระยะทางมากกว่าเดิมในทุกๆรอบ ยอบรับค่ะว่ามีขี้เกียจบ้างง่วงบ้าง แต่คุณพยาบาลก็พยายามแงะเราออกไปเดินให้ได้ ยอมใจเค้าค่ะ5555
เฮนอนอยู่โรงพยาบาล7วัน6คืน พอเริ่มแข็งแรงทานอาหารได้มากขึ้นก็อยากกลับบ้านแล้วค่ะ คุยกับคุณหมอเห็นตรงกันว่ากลับไปพักต่อที่บ้านดีกว่า เพราะเฮสามารถถ่ายอุจจาระได้แล้ว และด้วยความที่เตียงโรงพยาบาลจะมาผ้ายางรองไว้ เรานอนจะผดขึ้นตัวเลยค่ะเลยบอกคุณหมอว่าเฮนอนไม่ไหวแล้วค่ะ คุณหมอให้คาท่อไว้ที่หน้าท้องก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยมาถอดออก คุณหมอถอยสายออกมาให้นิดนึงเพื่อดูว่ามีน้ำไหลตามมามั้ย ของเฮมีน้ำซึมๆออกมาหน่อยค่ะ คุณหมอบอกว่าแผลดีมากข้างในก็ดีมาก วันพรุ่งนี้ค่อยมาถอดสาย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการนอนโรงพยาบาลครั้งนี้อยู่ที่180kค่ะ เคลมประกันได้เกือบหมดเฮจ่ายค่าส่วนต่าง115บาทค่ะ เป็นค่าเวชภัณฑ์ประเภท2ที่เบิกประกันไม่ได้
หลังจากถอดสายในวันรุ่งขึ้นเรียบร้อย วันถัดมาก็ไปตัดไหมอีกครั้งค่ะ คุณหมอให้มาfollow upแผลผ่าตัด และแผลสอดท่อ วันเว้นวันค่ะ เพื่อดูว่ายังมีน้ำไหลออกมาจากแผลที่สอดท่ออีกมั้ย ขนาดแผลยาวประมาณ1เซนติเมตรค่ะ คุณหมอบอกว่าปกติแล้วรู้แบบนี้จะสมานกันเองไม่ต้องเย็บ แต่ต้องดูแลความสะอาดให้ดีค่ะ คุณหมอแจ้งว่ากล้ามเนื้อส่วนที่โดนผ่าตัดจะสมานกันดีใกล้เคียงก่อนผ่าตัดใช้เวลา3เดือนค่ะ ระหว่างนี้ต้องพยายามทำกายภาพตามที่เค้าสอน เช่น เดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำก็ได้ตามที่เราสะดวก
ท้ายนี้อยากบอกทุกคนว่าเราต้องสังเกตตัวเองให้มากๆนะคะ อย่านิ่งนอนใจกับเรื่องเล็กน้อย พบแพทย์ดีที่สุดค่ะ แล้วถ้าสามารถซื้อประกันได้ก็ให้ซื้อดีกว่าค่ะ อย่างเฮนี่ถ้าไม่มีประกันก็จุกเหมือนกัน5555 ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ❤️
แชร์ประสบการณ์ไส้ติ่งแตกเจ็บนี้จำไปอีกนาน
ขอเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มมีอาการปวดท้องเลยนะคะ เฮรู้สึกแน่นท้องช่วงเที่ยงคืนเหมือนอาหารไม่ย่อยบวกกับปวดหน่วงๆบริเเวณท้องน้อย แต่เฮไม่ได้เอะใจอะไรคิดว่าอาหารไม่ย่อยจริงๆและประจำเดือนกำลังจะมา จึงเข้านอนปรกติจนถึงช่วงประมาณตีสี่ ปวดท้องจนนอนไม่หลับ ปวดเหมือนอาหารไม่ย่อยร่วมกับการปวดบีดๆบริเวณสะดือ จึงลุกขึ้นมาทานยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ พอทานไปได้ซักพักก็เริ่มเรอและถ่ายท้องค่ะแต่ไม่ได้หายปวด เฮจึงพยายามนอนต่อตั้งใจจะไปหาหมอตอนเช้าแต่มันนอนไม่ได้จริงๆค่ะ ทั้งปวดบิดทั้งคลื่นไส้ พยายามอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก
หลังจากทนทรมานอยู่หน้าห้องน้ำจนถึง7โมงเช้าถึงตัดสินใจได้ว่าต้องไปหาหมอจริงๆแล้วล่ะ เฮเรียกทุกคนในบ้านให้ช่วยพาเฮไปหาหมอที ทุกคนก็รีบค่ะแต่ติดว่าจะอาบน้ำก่อน เฮเลยบอกไปว่างั้นเฮไปก่อนนะเจอกันที่โรงพยาบาลแล้วกัน ในสถานการณ์นี้เฮเลือกพี่วินมอเตอร์ไซรับจ้างเลยค่ะ บอกพี่วินว่าขอด่วนที่สุด เฮถึงโรงพยาบาลเกือบ8โมง ที่จุดรับคนไข้ก็สอบถามข้อมูลต่างๆ
เฮแทบจะร้องไห้ขอเข้าพบหมอที่ห้องฉุกเฉิน คุณหมอสอบถามระดับความปวดจาก0-10 โดยที่10หมายถึงว่าปวดที่สุดในชีวิต เฮจึงแจ้งว่าปวดที่สุดในชีวิตแล้วค่ะ คุณหมอถามว่าจะให้หมอทำยังไงดี จ่ายยากลับบ้านหรือให้ฉีดยา นาทีนั้นบอกเลยค่ะว่างงมากจึงตอบหมอไปว่า ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้วหรอคะ คุณหมอจึงมาคลำท้องเพื่อระบุจุดที่ปวดให้แน่ชัด จากนั้นคุณหมอจึงบอกว่า ‘หมอว่าไส้ติ่งแล้วล่ะ’ เฮคิดในใจว่าใช่แน่ๆ คุณหมอแนะนำให้ทำซีทีสแกนก่อนเพื่อความแน่ใจ หลังจากคุณหมอแจ้งราคาอันหน้าตกใจแล้วเฮก็ไปทำซีทีค่ะ ผลซีทีเป็นไปตามคาดคือปวดตรงไส้ติ่งจริงๆแถมแตกด้วย ทางห้องฉุกเฉินจึงตามคุณหมอศัลยกรรมมาดูผลซีทีเพื่อเตรียมผ่าตัด
คุณหมอแจ้งว่าไส้ติ่งแตกเนี่ยมันยุ่งยากมากแถมยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆอีกด้วย ให้เรานึกภาพว่าแก้วทั้งใบเนี่ยเราหยิบออกมาง่ายกว่าหยิบเศษแก้วใช่ไหม ไส้ติ่งก็เป็นแบบนั้นเลย จริงๆการผ่าตัดมีสองวิธีคือส่องกล้องค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ200kบวกลบ20%และเปิดหน้าท้อง ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่150kบวกลบ20%เช่นกัน เฮก็โอเคเพราะเฮมีประกัน😂 คุณหมอสอบถามว่าเราทานอาหารมื้อล่าสุดตอนไหนดื่มน้ำครั้งล่าสุดตอนไหน เพราะก่อนผ่าตัดต้องงดน้ำและอาหาร ของเฮระยะเวลาที่ไม่ได้ทานอะไรเข้าไปอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ค่ะเพราะเฮทานมื้อล่าสุดตอนสามทุ่ม
เฮได้คิวผ่าตัดประมาณ11โมง โดยที่เข้าห้องผ่าตัดประมาณ10โมงเพื่อเตรีมดมยาสลบ ก่อนหน้านั้นนักกายภาพบำบัดก็เข้ามาแนะนำวิธีการดูแลตัวเองหลังจากผ่าตัด เช่น การหายใจ การจาม การไอ การลุกนั่ง และการเดิน จากนั้นคุณหมอวิสัญญีก็ถามไถ่อาการเฮ บอกให้เฮไม่ต้องเกร็งไม่ต้องเครียด นาทีที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัดโดนมัดแขนมัดขา บอกตรงๆเลยค่ะว่าตกผลึกทางความคิดได้หลายอย่าง เฮสัญญากับตัวเองเลยว่าถ้าออกไปจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ เฮจะทำทุกอย่างที่เฮอยากจะทำเพราะความตายมันใกล้แค่นี้เอง หลังจากเริ่มดมยาสลบคุณหมอจะนับเลขค่ะ ขอเฮนี่นับได้แค่1เฮหลับเลยค่ะ55555
หลังจากออกจากห้องผ่าตัดก็มาฟื้นเอาช่วงบ่ายค่ะ รู้สึกหวิวๆที่แผลนิดหน่อยแต่ไม่เจ็บไม่ปวดค่ะ แผลผ่าตัดยาวประมาณ2นิ้ว แล้วยังมีท่ออ่อนที่คุณหมอใส่ไว้ที่หน้าท้องเพื่อระบายของเสียจากไส้ติ่งที่แตก กลายเป็นว่าได้มาสองแผลเลยค่ะ ท่อนี้จะระบายน้ำออกมาตลอด ซึ่งเป็นของเหลวที่ถ้าไม่ระบายออกมาอาจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ คุณหมอยังไม่ให้ทานอะไรจนวันรุ่งขึ้นค่ะ
เช้าวันแรกหลังจากผ่าตัดคุณหมอมาแหวกดูแผลตรงที่เย็บไว้ บอกเลยว่าเจ็บมากฮือออ คุณหมอบอกว่าแผลของเฮดูดีมาก ไม่ได้มีอะไรน่ากังวล ส่วนท่อที่ใส่ไว้ก็ระบายออกมาได้ดี คุณหมอให้เริ่มจิบน้ำค่ะ ตวงน้ำดื่มและปัสสาวะ คุณหมออยากให้เราปัสสาวะได้เองจะได้ไม่ต้องสวนค่ะ โชคดีที่เราสามารถปัสสาวะเองได้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฮดูแลตัวเองไม่ได้ ทำไม่ได้แม่แต่จะเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง เป็นอะไรที่เฮเฟลมาก ยิ่งเฮเห็นตัวเองในกระจกยิ่งหดหู่ค่ะ วันแรกก็จะมีนักกายภาพมาสอนเฮขยับตัวและพาเฮไปเดินค่ะ เค้าแนะนำให้เดินบ่อยๆป้องกันแผลเป็นผังผืด แต่ตอนนั้นเฮเดินไม่ถนัดเท่าไหร่ค่ะ เจ็บแผลมาก
วันต่อๆมาคุณหมอให้เราทานน้ำข้าวต้มและน้ำซุปได้ เหมือนจะดีใจนะคะแต่ก็เศร้าเพราะมันไม่อร่อยเลย บวกกับทานอะไรไม่ค่อยลงด้วย กลังจากทานอาหารทุกมื้อต้องออกไปเดินค่ะ เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้เป็นปรกติ เป็นอย่างอยู่2-3วันค่ะ เห็นตัวเองในกระจกแล้วตกใจ ผอมซูบเหลือแต่กระดูกจริงๆ ชั่งน้ำหนักได้44กว่าๆจาก52กิโลกรัม พอเข้าวันที่4คุณหมอให้ทานข้าวต้มได้ รู้สึกดีใจมากเลยค่ะถึงอาหารโรงพยาบาลจะไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไหร่ แต่นานทีนั้นดีใจมากจริงๆค่ะแต่ก็ทานได้ไม่เท่าไหร่ เฮพยายามเดินให้ได้ระยะทางมากกว่าเดิมในทุกๆรอบ ยอบรับค่ะว่ามีขี้เกียจบ้างง่วงบ้าง แต่คุณพยาบาลก็พยายามแงะเราออกไปเดินให้ได้ ยอมใจเค้าค่ะ5555
เฮนอนอยู่โรงพยาบาล7วัน6คืน พอเริ่มแข็งแรงทานอาหารได้มากขึ้นก็อยากกลับบ้านแล้วค่ะ คุยกับคุณหมอเห็นตรงกันว่ากลับไปพักต่อที่บ้านดีกว่า เพราะเฮสามารถถ่ายอุจจาระได้แล้ว และด้วยความที่เตียงโรงพยาบาลจะมาผ้ายางรองไว้ เรานอนจะผดขึ้นตัวเลยค่ะเลยบอกคุณหมอว่าเฮนอนไม่ไหวแล้วค่ะ คุณหมอให้คาท่อไว้ที่หน้าท้องก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยมาถอดออก คุณหมอถอยสายออกมาให้นิดนึงเพื่อดูว่ามีน้ำไหลตามมามั้ย ของเฮมีน้ำซึมๆออกมาหน่อยค่ะ คุณหมอบอกว่าแผลดีมากข้างในก็ดีมาก วันพรุ่งนี้ค่อยมาถอดสาย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการนอนโรงพยาบาลครั้งนี้อยู่ที่180kค่ะ เคลมประกันได้เกือบหมดเฮจ่ายค่าส่วนต่าง115บาทค่ะ เป็นค่าเวชภัณฑ์ประเภท2ที่เบิกประกันไม่ได้
หลังจากถอดสายในวันรุ่งขึ้นเรียบร้อย วันถัดมาก็ไปตัดไหมอีกครั้งค่ะ คุณหมอให้มาfollow upแผลผ่าตัด และแผลสอดท่อ วันเว้นวันค่ะ เพื่อดูว่ายังมีน้ำไหลออกมาจากแผลที่สอดท่ออีกมั้ย ขนาดแผลยาวประมาณ1เซนติเมตรค่ะ คุณหมอบอกว่าปกติแล้วรู้แบบนี้จะสมานกันเองไม่ต้องเย็บ แต่ต้องดูแลความสะอาดให้ดีค่ะ คุณหมอแจ้งว่ากล้ามเนื้อส่วนที่โดนผ่าตัดจะสมานกันดีใกล้เคียงก่อนผ่าตัดใช้เวลา3เดือนค่ะ ระหว่างนี้ต้องพยายามทำกายภาพตามที่เค้าสอน เช่น เดิน วิ่ง หรือว่ายน้ำก็ได้ตามที่เราสะดวก
ท้ายนี้อยากบอกทุกคนว่าเราต้องสังเกตตัวเองให้มากๆนะคะ อย่านิ่งนอนใจกับเรื่องเล็กน้อย พบแพทย์ดีที่สุดค่ะ แล้วถ้าสามารถซื้อประกันได้ก็ให้ซื้อดีกว่าค่ะ อย่างเฮนี่ถ้าไม่มีประกันก็จุกเหมือนกัน5555 ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ❤️