สวัสดีค่ะ ทุกคน
นี่เป็นกระทู้แรกของเรา เป็นกระทู้การบอกเล่าประสบการณ์ '
ไส้ติ่งแตก' ของเราค่ะ
ก่อนอื่นเลยคือ เราคิดว่าเราอยากจะแชร์เรื่องนี้ให้หลายคนรับทราบ เราอยากบอกเล่าประสบการณ์ที่เราเผชิญมา เผื่อใครสงสัยว่ามันเป็นยังไง อาจเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้หลายคนได้ค่ะ
: เริ่มรู้สึกปวดครั้งแรก
มันเกิดขึ้นตอนเราอายุได้ 12 ปีค่ะ ตอนนั้นเราอยู่ป.6 แต่เราจำเหตุการณ์ได้ค่อนข้างดีค่ะ
ตอนนั้นเราเป็นเด็กที่ตัวค่อนข้างสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกัน สูงประมาณ 158-160 นิดๆ (ปัจจุบันเราสูง 164 ซม.) น้ำหนักประมาณ 54-56 (อย่าถามน้ำหนักตอนนี้นะคะ
)
ตอนสมัยเด็ก เราเชื่อว่าเกือบทุกคนเป็นกัน คือใส่ของในกระเป๋านักเรียนเยอะมาก หนังสือนี่สี่ห้าเล่ม มีอะไรเรียนเราใส่หมดค่ะ แล้วเราใช้กระเป๋าสะพายข้าง เวลาสะพายมันเลยเทน้ำหนักไปอยู่ข้างเดียว และมันหนักมาก! แต่ตอนเด็กไม่คิดอะไรค่ะ แบกหมด
เราเริ่มมีอาการปวด ตึงด้านข้างลำตัว ความรู้สึกเหมือนการสะพายของหนักๆไว้ข้างเดียวเลยค่ะ ซึ่งเรารู้สึกแบบนี้มาเกือบ 1 สัปดาห์ แต่เราคิดว่าเป็นเพราะเราสะพายกระเป๋านักเรียนหนักเกินไป เลยทำให้เราปวดตึง อาการมันออก ปวดตัว ตัวตึวๆ เมื่อยๆตัวค่ะ แต่เป็นข้างเดียว เวลาเราเดิน เราจะเดินตัวเอียงตลอดเลยค่ะ แต่ด้วยความเด็กเราก็เล่นซนปกติ วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน กระโดดยางกับเพื่อน แล้วคิดว่าเดี๋ยวอาการเหล่านั้นจะหายไป แต่เปล่าค่ะ..
: แรงกระเทือน
วันนั้นเราจำได้ดีเลยค่ะ คือเราไปทัศนศึกษากับที่โรงเรียน เค้าให้ไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งจะต้องเดินขึ้นเนินเขาไปจนถึงยอด แล้วมันเป็นทางลาดค่ะ ไม่ใช่บันได ขาลงมา นึกออกใช้มั๊ยคะ ว่าเวลาเราเดินลงทางลาด มันจะค่อนข้างใช้แรง แล้วเราเดินกึ่งวิ่ง ร่างกายภายในเราเลยค่อยข้างกระเทือนจากแรงเดินลงทางลาดนั้น ความรู้สึกจะคล้ายกับการกระโดดเชือกค่ะ ซึ่งเราว่าที่เป็นสาเหตุเลยที่ทำให้ไส้ติ่งเราแตกในวันนั้น..
: เริ่มเป็นไข้
หลังจากนั้นมาเรากลับบ้าน โชคดีมากที่วันนั้นเป็นวันศุกร์ เราจำได้แม่นเลยค่ะ เพราะปกติเราจะเข้าค่ายกับทางโรงเรียน เกือบๆทุกอาทิตย์เลยที่เค้าจัด แต่วันนั้นรู้สึกยังไงไม่รู้ เราเลือกที่จะไม่ไป เป็นการตัดสินใจที่ดีมาก
เราเริ่มมีไข้ขึ้นสูง อยู่ดีๆก็จับสั่นขึ้นมาเลยค่ะ แบบไม่มีอาการแรกเริ่มมาก่อนเลยว่าจะเป็นไข้ แม่เลยให้ยาพารามากิน ซึ่งขอบอกเลยว่า นี่ก็เป็นปัจจัยหลักเลยที่เร่งให้มันแตกเร็วค่ะ
: ไส้ติ่งแตก
วันนั้นเราก็กินยา เป็นไข้สูงอยู่แบบนั้น แล้วก็หลับไปค่ะ อยู่ดีๆตื่นมาตอนตีสองกว่าๆ เรารู้สึกหิวน้ำมาก เราเลยตะโกนเรียกให้แม่หยิบน้ำมาให้ แต่เราไม่มีแรงตะโกนค่ะ แถมเรานอนอยู่ชั้นสอง พ่อกับแม่อยู่ชั้นหนึ่ง เขาเลยไม่ได้ยินเสียงเรากัน เราก็ตะโกนอยู่สองสามที แล้วคิดว่าจะพยายามหลับไป แต่แล้ว! มันก็แตกค่ะ
ใช่ค่ะ ความรู้สึกมันเหมือนพลุแตกอยู่ในท้องเรา เรารู้สึกได้เลยว่ามันเหมือนมีอะไรไหลออกจากไส้เรา นึกภาพเวลากินซาลาเปาลาวา แล้วใช้ตระเกียบเจาะรูลงไปแล้วไส้ลาวามันไหลออกมา
(ขอโทษถ้าเปรียบเทียบไม่น่าชมนะคะ เราอยากให้เหตุภาพ
)
มันรู้สึกได้เลยว่าไหลแบบนั้น ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บนะคะ แต่มันร้องออกมาอัตโนมัติเลย เราร้องเสียงดังเลยค่ะ เรารู้ว่าเราหายใจไม่ค่อยออก แน่นที่หน้าอก อยากจะอาเจียนออกมาก็ไม่ได้ อยากจะถ่ายก็ไม่เชิง เราเลยวิ่งลงมะเข้าห้องน้ำข้างล่างค่ะ คิดว่าลองถ่ายดูอาจจะหาย แต่ก็ไม่หายค่ะ เราร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ จนพ่อมาเคาะประตู เพราะเค้าได้ยินเสียงเราร้องดังมาก พอเราออกมาจากห้องน้ำ เรารู้สึกแน่นหน้าอก แม่ก็เลยเอายาลมมาให้คิดว่าอาจจะช่วยได้ เรานั่งพักสักพัก คิดว่าอาจจะดีขึ้นเลยขึ้นไปนอนและหลับไปเลยค่ะ เพราะมันรู้สึกเพลียมาก
: เช้าวันถัดมา
ตื่นเช้ามา พูดได้เลยค่ะว่าเราเดินตัวตรงไม่ได้เลย เพราะมันรู้สึกเจ็บมากเวลาที่พยายามจะยืนตรงๆ แม่บอกว่าเราตัวคดเหมือนกุ้งเลยค่ะ ยืนตรงไม่ได้เลย ตอนแรกพ่อคิดว่าเดี๋ยวเราก็หาย แต่แม่บอกว่าควรพาเราไปหาหมอ คือมันดูเหมือนไม่เป็นไรนะคะ ตอนนั้นไข้ไม่มีแล้วด้วยค่ะ หายเลยตั้งแต่มันแตก
เราแค่ดูอ่อนเพลีย และยืนตรงไม่ได้ กินข้าวได้นิดหน่อยค่ะ ไม่เจ็บแต่รู้สึกไม่อยากกิน และเราคิดว่าเราไม่ได้อาเจียนเลยนะคะ ตกเย็นก็ทนไม่ไหวค่ะ ไปหาหมอ
: หาหมอ และผ่าตัด
ไปหาหมอเย็นวันนั้น หมอก็จดไปที่บริเวณท้องตามจุดต่างๆ แล้วถามเราว่าเจ็บที่กดตรงไหนมากที่สุด ชัดเจนค่ะ เราเจ็บตรงท้องด้านขวาล่างมากที่สุด พอบอกหมอ หมอก็รู้เลยค่ะ ยังจำท่าทีหมอได้เลยค่ะ บอกหมอว่า 'เอ้อ หมอรู้ละ เดี๋ยวเตรียมตัวต้องผ่าตัดเลย' ซึ่งคุณหมอพูดชิวมาก
วันนั้นก็นอนรพ.เลยค่ะ หมอสั่งห้ามไม่ให้กินน้ำและอาหารเลย 12 ชม. เพื่อที่จะเตรียมผ่าตัดตอนเช้า พอตอนเช้าคุณพยาบาลก็มาเรียกค่ะ แล้วเราก็เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด เอาจริงนะ คือตอนนั้นงงมาก เลยไม่รู้สึกกลัวเลยว่าจะต้องเข้าห้องผ่าตัด อาจจะด้วยความเด็กด้วยเลยไม่ค่อยจินตนาการเท่าไหร่ แล้วก็ความเจ็บปวดของเราเองด้วย พอเข้าห้องผ่าตัดคุณหมอก็จะให้เราดมยาสลบ เราจำได้เลยว่าเราถามหมอว่า 'อีกนานมั๊ยคะกว่าจะหลับ' หมอก็หัวเราะนิดนึงแล้วบอกว่า 'แปบเดียว ไม่นานหรอก' แค่นั้นแหล่ะ ภาพตัดเลยค่ะ
: พักฟื้น
จากนั้นเราไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชม. แต่เราตื่นขึ้นมาคือเหมือนยังอยู่ในห้องผ่าตัด แต่เป็นส่วนพักฟื้นผู้ป่วยหลังผ่าตัด คุณหมอยังให้เราอยู่ห้องนั้นจนเราฟื้นค่ะ พอเราฟื้นก็มีคุณพยาบาลมาดูนี่ ดูนั่นหน่อย พอเห็นว่าเราโอเค ไม่ผิดปกติอะไร เค้าก็พาเราเข็นออกจากห้องเพื่อย้ายไปห้องพักเราค่ะ ตอนนั้นจำได้เลยว่าตอนเข็นออกมา เห็นพ่อนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วย คิดว่าพ่อน่าจะเห็นตั้งแต่เรานอนพักฟื้นแล้วแหล่ะ เพราะกระจกมันใส คุณหมอเค้าคงอยากให้ญาติๆเห็นว่าเรารอพักฟื้นอยู่ พอได้นอนพีกที่ห้องแล้ว คุณหมอก็มาบอกอาการเราให้พ่อกับแม่ฟัง ประเด็นคือ ตอนแรกเค้าคิดว่า เราไส้ติ่งอักเสบเฉยๆ ซึ่งถ้าแค่อักเสบ เค้าสามารถผ่าตัดและเย็บแผลเราได้เลย แค่พักฟื้นวันเดียวเราก็สามารถออกจากรพ.ได้ แต่เคสเรานั้นคือไส้ติ่งแตกค่ะ คุณหมอเค้าจะไม่รู้เลยจนกระทั่งเค้าผ่า พอเป็นแบบนี้ เค้ายังจะไม่เย็บแผลเรา จะต้องเปิดปากแผลไว้ก่อน เพื่อซับพวกเลือดหนองที่แตกออกจากไส้ติ่ง แล้วมันกระจายอยู่ในท้องเรา วิธีการคือ เค้าจะยัดผ้าก็อตเพื่อซับหนอง แล้วปิดปากแผลด้วยผ้าก็อตทับอีกที แล้วทุกวันจะมีคุณพยาบาลมาล้างแผล เปลี่ยนผ้าก็อตให้ทุกวัน ซึ่งไม่ใช่ว่าต้องทำแค่วันเดียวนะคะ ต้องทำจนกว่าจะเห็นว่าเค้าซับหนองออกจนหมดแล้ว
> ยังไม่จบ อ่านต่อหน้าถัดไปนะคะ >>
Experience ME : Chapter 1 มาแชร์ประสบการณ์ 'ไส้ติ่งแตก' กันค่ะ
นี่เป็นกระทู้แรกของเรา เป็นกระทู้การบอกเล่าประสบการณ์ 'ไส้ติ่งแตก' ของเราค่ะ
ก่อนอื่นเลยคือ เราคิดว่าเราอยากจะแชร์เรื่องนี้ให้หลายคนรับทราบ เราอยากบอกเล่าประสบการณ์ที่เราเผชิญมา เผื่อใครสงสัยว่ามันเป็นยังไง อาจเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้หลายคนได้ค่ะ
: เริ่มรู้สึกปวดครั้งแรก
มันเกิดขึ้นตอนเราอายุได้ 12 ปีค่ะ ตอนนั้นเราอยู่ป.6 แต่เราจำเหตุการณ์ได้ค่อนข้างดีค่ะ
ตอนนั้นเราเป็นเด็กที่ตัวค่อนข้างสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกัน สูงประมาณ 158-160 นิดๆ (ปัจจุบันเราสูง 164 ซม.) น้ำหนักประมาณ 54-56 (อย่าถามน้ำหนักตอนนี้นะคะ )
ตอนสมัยเด็ก เราเชื่อว่าเกือบทุกคนเป็นกัน คือใส่ของในกระเป๋านักเรียนเยอะมาก หนังสือนี่สี่ห้าเล่ม มีอะไรเรียนเราใส่หมดค่ะ แล้วเราใช้กระเป๋าสะพายข้าง เวลาสะพายมันเลยเทน้ำหนักไปอยู่ข้างเดียว และมันหนักมาก! แต่ตอนเด็กไม่คิดอะไรค่ะ แบกหมด
เราเริ่มมีอาการปวด ตึงด้านข้างลำตัว ความรู้สึกเหมือนการสะพายของหนักๆไว้ข้างเดียวเลยค่ะ ซึ่งเรารู้สึกแบบนี้มาเกือบ 1 สัปดาห์ แต่เราคิดว่าเป็นเพราะเราสะพายกระเป๋านักเรียนหนักเกินไป เลยทำให้เราปวดตึง อาการมันออก ปวดตัว ตัวตึวๆ เมื่อยๆตัวค่ะ แต่เป็นข้างเดียว เวลาเราเดิน เราจะเดินตัวเอียงตลอดเลยค่ะ แต่ด้วยความเด็กเราก็เล่นซนปกติ วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน กระโดดยางกับเพื่อน แล้วคิดว่าเดี๋ยวอาการเหล่านั้นจะหายไป แต่เปล่าค่ะ..
: แรงกระเทือน
วันนั้นเราจำได้ดีเลยค่ะ คือเราไปทัศนศึกษากับที่โรงเรียน เค้าให้ไปที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งจะต้องเดินขึ้นเนินเขาไปจนถึงยอด แล้วมันเป็นทางลาดค่ะ ไม่ใช่บันได ขาลงมา นึกออกใช้มั๊ยคะ ว่าเวลาเราเดินลงทางลาด มันจะค่อนข้างใช้แรง แล้วเราเดินกึ่งวิ่ง ร่างกายภายในเราเลยค่อยข้างกระเทือนจากแรงเดินลงทางลาดนั้น ความรู้สึกจะคล้ายกับการกระโดดเชือกค่ะ ซึ่งเราว่าที่เป็นสาเหตุเลยที่ทำให้ไส้ติ่งเราแตกในวันนั้น..
: เริ่มเป็นไข้
หลังจากนั้นมาเรากลับบ้าน โชคดีมากที่วันนั้นเป็นวันศุกร์ เราจำได้แม่นเลยค่ะ เพราะปกติเราจะเข้าค่ายกับทางโรงเรียน เกือบๆทุกอาทิตย์เลยที่เค้าจัด แต่วันนั้นรู้สึกยังไงไม่รู้ เราเลือกที่จะไม่ไป เป็นการตัดสินใจที่ดีมาก
เราเริ่มมีไข้ขึ้นสูง อยู่ดีๆก็จับสั่นขึ้นมาเลยค่ะ แบบไม่มีอาการแรกเริ่มมาก่อนเลยว่าจะเป็นไข้ แม่เลยให้ยาพารามากิน ซึ่งขอบอกเลยว่า นี่ก็เป็นปัจจัยหลักเลยที่เร่งให้มันแตกเร็วค่ะ
: ไส้ติ่งแตก
วันนั้นเราก็กินยา เป็นไข้สูงอยู่แบบนั้น แล้วก็หลับไปค่ะ อยู่ดีๆตื่นมาตอนตีสองกว่าๆ เรารู้สึกหิวน้ำมาก เราเลยตะโกนเรียกให้แม่หยิบน้ำมาให้ แต่เราไม่มีแรงตะโกนค่ะ แถมเรานอนอยู่ชั้นสอง พ่อกับแม่อยู่ชั้นหนึ่ง เขาเลยไม่ได้ยินเสียงเรากัน เราก็ตะโกนอยู่สองสามที แล้วคิดว่าจะพยายามหลับไป แต่แล้ว! มันก็แตกค่ะ ใช่ค่ะ ความรู้สึกมันเหมือนพลุแตกอยู่ในท้องเรา เรารู้สึกได้เลยว่ามันเหมือนมีอะไรไหลออกจากไส้เรา นึกภาพเวลากินซาลาเปาลาวา แล้วใช้ตระเกียบเจาะรูลงไปแล้วไส้ลาวามันไหลออกมา
(ขอโทษถ้าเปรียบเทียบไม่น่าชมนะคะ เราอยากให้เหตุภาพ )
มันรู้สึกได้เลยว่าไหลแบบนั้น ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บนะคะ แต่มันร้องออกมาอัตโนมัติเลย เราร้องเสียงดังเลยค่ะ เรารู้ว่าเราหายใจไม่ค่อยออก แน่นที่หน้าอก อยากจะอาเจียนออกมาก็ไม่ได้ อยากจะถ่ายก็ไม่เชิง เราเลยวิ่งลงมะเข้าห้องน้ำข้างล่างค่ะ คิดว่าลองถ่ายดูอาจจะหาย แต่ก็ไม่หายค่ะ เราร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ จนพ่อมาเคาะประตู เพราะเค้าได้ยินเสียงเราร้องดังมาก พอเราออกมาจากห้องน้ำ เรารู้สึกแน่นหน้าอก แม่ก็เลยเอายาลมมาให้คิดว่าอาจจะช่วยได้ เรานั่งพักสักพัก คิดว่าอาจจะดีขึ้นเลยขึ้นไปนอนและหลับไปเลยค่ะ เพราะมันรู้สึกเพลียมาก
: เช้าวันถัดมา
ตื่นเช้ามา พูดได้เลยค่ะว่าเราเดินตัวตรงไม่ได้เลย เพราะมันรู้สึกเจ็บมากเวลาที่พยายามจะยืนตรงๆ แม่บอกว่าเราตัวคดเหมือนกุ้งเลยค่ะ ยืนตรงไม่ได้เลย ตอนแรกพ่อคิดว่าเดี๋ยวเราก็หาย แต่แม่บอกว่าควรพาเราไปหาหมอ คือมันดูเหมือนไม่เป็นไรนะคะ ตอนนั้นไข้ไม่มีแล้วด้วยค่ะ หายเลยตั้งแต่มันแตก
เราแค่ดูอ่อนเพลีย และยืนตรงไม่ได้ กินข้าวได้นิดหน่อยค่ะ ไม่เจ็บแต่รู้สึกไม่อยากกิน และเราคิดว่าเราไม่ได้อาเจียนเลยนะคะ ตกเย็นก็ทนไม่ไหวค่ะ ไปหาหมอ
: หาหมอ และผ่าตัด
ไปหาหมอเย็นวันนั้น หมอก็จดไปที่บริเวณท้องตามจุดต่างๆ แล้วถามเราว่าเจ็บที่กดตรงไหนมากที่สุด ชัดเจนค่ะ เราเจ็บตรงท้องด้านขวาล่างมากที่สุด พอบอกหมอ หมอก็รู้เลยค่ะ ยังจำท่าทีหมอได้เลยค่ะ บอกหมอว่า 'เอ้อ หมอรู้ละ เดี๋ยวเตรียมตัวต้องผ่าตัดเลย' ซึ่งคุณหมอพูดชิวมาก
วันนั้นก็นอนรพ.เลยค่ะ หมอสั่งห้ามไม่ให้กินน้ำและอาหารเลย 12 ชม. เพื่อที่จะเตรียมผ่าตัดตอนเช้า พอตอนเช้าคุณพยาบาลก็มาเรียกค่ะ แล้วเราก็เตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด เอาจริงนะ คือตอนนั้นงงมาก เลยไม่รู้สึกกลัวเลยว่าจะต้องเข้าห้องผ่าตัด อาจจะด้วยความเด็กด้วยเลยไม่ค่อยจินตนาการเท่าไหร่ แล้วก็ความเจ็บปวดของเราเองด้วย พอเข้าห้องผ่าตัดคุณหมอก็จะให้เราดมยาสลบ เราจำได้เลยว่าเราถามหมอว่า 'อีกนานมั๊ยคะกว่าจะหลับ' หมอก็หัวเราะนิดนึงแล้วบอกว่า 'แปบเดียว ไม่นานหรอก' แค่นั้นแหล่ะ ภาพตัดเลยค่ะ
: พักฟื้น
จากนั้นเราไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชม. แต่เราตื่นขึ้นมาคือเหมือนยังอยู่ในห้องผ่าตัด แต่เป็นส่วนพักฟื้นผู้ป่วยหลังผ่าตัด คุณหมอยังให้เราอยู่ห้องนั้นจนเราฟื้นค่ะ พอเราฟื้นก็มีคุณพยาบาลมาดูนี่ ดูนั่นหน่อย พอเห็นว่าเราโอเค ไม่ผิดปกติอะไร เค้าก็พาเราเข็นออกจากห้องเพื่อย้ายไปห้องพักเราค่ะ ตอนนั้นจำได้เลยว่าตอนเข็นออกมา เห็นพ่อนั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วย คิดว่าพ่อน่าจะเห็นตั้งแต่เรานอนพักฟื้นแล้วแหล่ะ เพราะกระจกมันใส คุณหมอเค้าคงอยากให้ญาติๆเห็นว่าเรารอพักฟื้นอยู่ พอได้นอนพีกที่ห้องแล้ว คุณหมอก็มาบอกอาการเราให้พ่อกับแม่ฟัง ประเด็นคือ ตอนแรกเค้าคิดว่า เราไส้ติ่งอักเสบเฉยๆ ซึ่งถ้าแค่อักเสบ เค้าสามารถผ่าตัดและเย็บแผลเราได้เลย แค่พักฟื้นวันเดียวเราก็สามารถออกจากรพ.ได้ แต่เคสเรานั้นคือไส้ติ่งแตกค่ะ คุณหมอเค้าจะไม่รู้เลยจนกระทั่งเค้าผ่า พอเป็นแบบนี้ เค้ายังจะไม่เย็บแผลเรา จะต้องเปิดปากแผลไว้ก่อน เพื่อซับพวกเลือดหนองที่แตกออกจากไส้ติ่ง แล้วมันกระจายอยู่ในท้องเรา วิธีการคือ เค้าจะยัดผ้าก็อตเพื่อซับหนอง แล้วปิดปากแผลด้วยผ้าก็อตทับอีกที แล้วทุกวันจะมีคุณพยาบาลมาล้างแผล เปลี่ยนผ้าก็อตให้ทุกวัน ซึ่งไม่ใช่ว่าต้องทำแค่วันเดียวนะคะ ต้องทำจนกว่าจะเห็นว่าเค้าซับหนองออกจนหมดแล้ว
> ยังไม่จบ อ่านต่อหน้าถัดไปนะคะ >>