สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
เป็นอดีตอาจารย์ ที่ลาออก เมื่อ มหาวิทยาลัย ออกนอกระบบ เป็นลักษณะมหาวิทยาลัยในกำกับของรํฐ คือเป็นกึ่งเอกชน อาจารย์กลายเป็นพนักงานไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มีบำนาญ ได้แต่ประกันสังคม รักษาพยาบาลก็อยู่กับประกันสังคม คิดดูแล้วกัน รัฐเห็นอาจารย์ เป็นเพียงแรงงาน ที่ไม่สำคัญ เราจะเป็นอาจารย์ไปทำไม เมื่อเด็กจบใหม่ ทำงานอิสระเป็นติวเตอร์ ได้เงินเดือน ละแสน ขณะที่อาจารย์ ก็ไปตามขั้น กว่าจะได้เป็น ศาสตราจารย์ เงินเดือน หลายหมื่นก็คงแก่แล้ว นอกจากนั้น มหาวิทยาลัย ต้องทำเงิน เพื่อเลี้ยงตัวเองด้วย วิชาไหนมีคนเรียนน้อยอาจถูกปิดลง สาขาไหน ภาคไหน ทีผู้เรียนน้อยได้ค่าลงทะเบียนน้อย ก็จะถูกหมายหัวว่า ขาดทุน เรื่องนี้ขัดกับอุดมการณ์เราโดยสิ้นเชิง และอาจารย์มีสิทธิ์ถูกไล่ออก เหมือนพนักงาน เพราะ อธิการบดีเป็น CEO มีอำนาจสูงสุด เห็นแย่งตำแหน่งกันจะเป็นจะตาย
รวมทั้ง กฎระเบียบ ในการประกันคุณภาพ ที่เน้นแต่เอกสาร แบบfake ทำให้ขัดเคืองใจมาก ลาออกมาทำงานอิสระ เป็นตัวของตัวเองดีกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเชื่อเรา บางคน ยังเห็นอาชีพอาจารย์ เป็นอาชีพที่สบาย มีเกียรติ ยั่งยืนอยู่ได้ยาว(ถ้าเขาไม่ไล่ออก) และไม่ถูกกดดันมากสุดๆ เหมือนทำงานเอกชน อาจออกมาสอนหาเงิน หรือเป็นที่ปรึกษา(พวกวิศว สถาปนิก) นอกเวลาราชการ หรือในเวลาราชการ ตามชั่วโมงที่กำหนดได้ เพื่อเพิ่มรายได้ บางคนตั้งใจเข้าไปเป็นอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนสาธิต เพื่อให้ลูกได้สิทธิในการเข้าเรียน ซะงั้น
ต้องถามตัวเอง ว่า มองหาอะไรในชีวิต
รวมทั้ง กฎระเบียบ ในการประกันคุณภาพ ที่เน้นแต่เอกสาร แบบfake ทำให้ขัดเคืองใจมาก ลาออกมาทำงานอิสระ เป็นตัวของตัวเองดีกว่า
แต่เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเชื่อเรา บางคน ยังเห็นอาชีพอาจารย์ เป็นอาชีพที่สบาย มีเกียรติ ยั่งยืนอยู่ได้ยาว(ถ้าเขาไม่ไล่ออก) และไม่ถูกกดดันมากสุดๆ เหมือนทำงานเอกชน อาจออกมาสอนหาเงิน หรือเป็นที่ปรึกษา(พวกวิศว สถาปนิก) นอกเวลาราชการ หรือในเวลาราชการ ตามชั่วโมงที่กำหนดได้ เพื่อเพิ่มรายได้ บางคนตั้งใจเข้าไปเป็นอาจารย์ ในมหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนสาธิต เพื่อให้ลูกได้สิทธิในการเข้าเรียน ซะงั้น
ต้องถามตัวเอง ว่า มองหาอะไรในชีวิต
ความคิดเห็นที่ 14
สำหรับปัจจุบัน ต้องมีใจรักจริงๆถึงจะทนอยู่กับระบบนี้ได้ค่ะ
เพราะเงื่อนไขของการอยู่รอดในอาชีพนี้กดดันมากๆ สมองไม่มีวันพัก ทั้งสอน เตรียมสอน (เอกสารจุกจิกไร้สาระ) เขียนโครงการของบวิจัย (ซึ่งเปลี่ยนแปลงจนงงไปหมด) ทำวิจัย ทำpaperคุณภาพสูง เขียนตำรา เขียนหนังสือ ดูแลวิทยานิพนธ์นิสิตทั้งตรี โท เอก
ตัวเองเป็นอาจารย์ทำงานวันละอย่างน้อย 10 ชั่วโมง เสาร์อาทิตย์แทบไม่เคยพัก
แต่ด้วยใจรักในอาชีพถึงอยู่ได้ค่ะ และเงินเดือนก็จัดว่าสูงนะคะสำหรับผู้ที่มีตำแหน่งวิชาการ
แต่ก็อีกถ้าไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆในวงการอื่นที่มีวันหยุดบ่อยได้พักผ่อนส่วนตัวบางครั้งก็อิจฉาเล็กน้อย
สรุปคือ ถ้าใจรักและมีไฟ ก็เข้ามาทำเถอะค่ะ เป็นงานที่ดีสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนและพัฒนาสมองตัวเองได้ตลอดเวลา
เพราะเงื่อนไขของการอยู่รอดในอาชีพนี้กดดันมากๆ สมองไม่มีวันพัก ทั้งสอน เตรียมสอน (เอกสารจุกจิกไร้สาระ) เขียนโครงการของบวิจัย (ซึ่งเปลี่ยนแปลงจนงงไปหมด) ทำวิจัย ทำpaperคุณภาพสูง เขียนตำรา เขียนหนังสือ ดูแลวิทยานิพนธ์นิสิตทั้งตรี โท เอก
ตัวเองเป็นอาจารย์ทำงานวันละอย่างน้อย 10 ชั่วโมง เสาร์อาทิตย์แทบไม่เคยพัก
แต่ด้วยใจรักในอาชีพถึงอยู่ได้ค่ะ และเงินเดือนก็จัดว่าสูงนะคะสำหรับผู้ที่มีตำแหน่งวิชาการ
แต่ก็อีกถ้าไปเปรียบเทียบกับเพื่อนๆในวงการอื่นที่มีวันหยุดบ่อยได้พักผ่อนส่วนตัวบางครั้งก็อิจฉาเล็กน้อย
สรุปคือ ถ้าใจรักและมีไฟ ก็เข้ามาทำเถอะค่ะ เป็นงานที่ดีสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนและพัฒนาสมองตัวเองได้ตลอดเวลา
ความคิดเห็นที่ 44
ผมว่าถ้าจะมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้วละก็ไปหาอะไรที่มันสร้างสรรค์ชีวิตและประเทืองอารมณ์ยังจะดีกว่าครับ
- เงินเดือนที่จริงแล้วควรได้มากกว่าราชการ 1.7 เท่า แต่ในความเป็นจริงแล้วจะให้เท่าใดขึ้นกับผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัย ปริญญาเอกจบใหม่ควรได้ 3 หมื่น 4 ราว ๆ นี้ แต่ส่วนมากได้น้อยกว่านั้น บางมหาวิทยาลัยได้ 2 หมื่นกว่า
- การขึ้นเงินเดือน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเด็กใคร บางคนทำดีแค่ไหนก็ยังขึ้นน้อยกว่าเด็กปั้นผู้บริหาร บางปีมหาวิทยาลัยงบน้อย ได้ขึ้นเงินเดือน 100 กว่าบาทก็ยังมี บางปีขึ้น 400 กว่าบาท นาน ๆ ทีจะได้ถึงพัน
- ข้าราชการในมหาวิทยาลัยมีน้อย แต่ก็ใหญ่กว่าใคร มีสวัสดิการเหนือกว่าพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งหมด แต่ก็ยังเป็นลูกเมียน้อยถ้าเทียบกับข้าราชการสังกัดอื่น ตอนนี้ยังรอเงินขึ้น 8% มาตั้งแต่ปี 55 แล้ว และไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้หรือไม่
- สถานะภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยแทบไม่มีตัวตน ไปทำธุรกรรมต่าง ๆ มีสถานะไม่ชัดเจน ข้าราชการก็ไม่ใช่ งานเอกชนก็ไม่ใช่ บางทีไปทำธุรกรรม เจ้าหน้าที่ระบุให้มีอาชีพรับจ้าง
- สวัสดิการอาจารย์พนักงานมหาวิทยาลัยแทบเป็นศูนย์ บ้านพักมีไม่เพียงพอ คนที่ไม่ได้บ้านพักซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีสิทธิได้ค่าเช่าบ้านเหมือนข้าราชการ ฉะนั้นเงินเดือนส่วนหนึ่งก็หมดไปกับค่าเช่าที่พัก เจ็บไข้ได้ป่วยก็ใช้สิทธิประกันสังคม
- ข้าราชการเงินเดือนน้อยกว่าอาจารย์พนักงานตอนเริ่มต้นก็จริง แต่นาน ๆ ไปเดี๋ยวก็แซง แถมมีสวัสดิการเต็มเปี่ยมไปยังพ่อแม่ ลูก ภรรยา แม้กระทั่งเกษียณแล้วก็ยังมีบำเน็จบำนาญ ค่ารักษาพยาบาลอีก ส่วนอาจารย์พนักงานไม่มีอะไรเลย อนาคตอันไม่ไกลจะมีอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เกษียณแล้วแต่ยังอยู่อย่างลำบากอีกเยอะแน่
- เงินเดือนที่ได้ไม่เต็ม 1.7 นอกจากจะเสียไปกับค่าเช่าที่พักแล้ว ยังจะต้องเสียไปกับการควักเนื้อในการทำวิจัยต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนการสอน และอื่น ๆ อีก เนื่องจากหลาย ๆ อย่างเบิกไม่ได้
- งานวิจัยเหรอ สมัยนี้ขอไปเถอะ โอกาสได้ยาก ปัจจุบันนี้กรอบวิจัยเยอะ ต้องทำเป็นโครงการชุด ต้องทำแบบบูรณาการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้คนที่มาวางกรอบวิจัยนี่มันวางตรงเป้าหรือเปล่า ส่วนมากก็จะเป็นกรอบวิจัยเพ้อฝัน เอามาทำจริงไม่ได้ ทุกวันนี้หลายมหาวิทยาลัยไม่ได้ทุนวิจัยเลยก็มี
- คนที่ได้ทุนวิจัยก็มักเป็นคนในแวดวงของเมธีวิจัยเอง คิดกันเอง วางกรอบกันเอง ครื้นเครงกันในกะลา ไอ้พวกมาใหม่ ๆ ไม่ได้เกิดง่าย ๆ หรอก เคยขอทุนวิจัยไปก็ไม่ให้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี มีการตีพิมพ์ออกมาเลย สงสัยว่าเมธีวิจัยบางคนก็แอบเอาเค้าโครงวิจัยคนอื่นไปทำเอง
- ระบบการเรียนการสอนทุกวันนี้อวยเด็กมาก เด็กหลาย ๆ คนจบไปอย่างไม่มีคุณภาพ เนื่องจากทุกวันนี้เป็นธุรกิจการศึกษาเสียหมด มหาวิทยาลัยต้องหารายได้กับนักศึกษา ต้องรับเด็กเยอะ ๆ จนบางครั้งก็ละเลยเรื่องคุณภาพของเด็กที่จะมาเรียน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเคยสอนเด็กที่อ่านหนังสือเกือบไม่ออก ตกใจเลยว่าเข้ามาเรียนได้อย่างไร แต่ที่น่าตกใจกว่าคือเวลาส่งเกรดถ้ามีเด็กติด F นี่อาจารย์ผู้สอนโดนให้กลับไปแก้เกรดเลยนะครับ แถมโดนเพ่งเล็งอีกว่าสอนยังไงถึงมีเด็กติด F แสดงว่าไม่ใส่ใจเด็ก ทั้งที่จริงทำทุกทางแล้ว แต่ได้แค่นี้จริง ๆ แต่เขาอาจคิดไว้ว่าการที่ให้เด็กติด F แล้วเผื่อเกิดรีไทร์ไป มหาวิทยาลัยก็ต้องขาดรายได้อีก สุดท้ายก็ต้องปรับให้เด็กผ่าน จนทำให้เด็กที่ไม่มีคุณภาพจบออกไป กลายเป็นบัณฑิตที่ไม่พึงประสงค์ สร้างตราบาปให้กับประเทศชาติอีก
- ยังมีอีกเยอะครับ ผมพิมพ์จนเหนื่อยแล้ว พอดีพิมพ์ในมือถือ สรุปเอาเป็นว่าไปทำอาชีพอื่นที่สร้างสรรค์กับชีวิตดีกว่าครับ อีกไม่นานใช้ทุนเสร็จผมก็ลาออกแล้ว แต่ถ้าคุณอยากมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ขอให้โชคดี
- เงินเดือนที่จริงแล้วควรได้มากกว่าราชการ 1.7 เท่า แต่ในความเป็นจริงแล้วจะให้เท่าใดขึ้นกับผู้บริหารและสภามหาวิทยาลัย ปริญญาเอกจบใหม่ควรได้ 3 หมื่น 4 ราว ๆ นี้ แต่ส่วนมากได้น้อยกว่านั้น บางมหาวิทยาลัยได้ 2 หมื่นกว่า
- การขึ้นเงินเดือน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเด็กใคร บางคนทำดีแค่ไหนก็ยังขึ้นน้อยกว่าเด็กปั้นผู้บริหาร บางปีมหาวิทยาลัยงบน้อย ได้ขึ้นเงินเดือน 100 กว่าบาทก็ยังมี บางปีขึ้น 400 กว่าบาท นาน ๆ ทีจะได้ถึงพัน
- ข้าราชการในมหาวิทยาลัยมีน้อย แต่ก็ใหญ่กว่าใคร มีสวัสดิการเหนือกว่าพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งหมด แต่ก็ยังเป็นลูกเมียน้อยถ้าเทียบกับข้าราชการสังกัดอื่น ตอนนี้ยังรอเงินขึ้น 8% มาตั้งแต่ปี 55 แล้ว และไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้หรือไม่
- สถานะภาพของพนักงานมหาวิทยาลัยแทบไม่มีตัวตน ไปทำธุรกรรมต่าง ๆ มีสถานะไม่ชัดเจน ข้าราชการก็ไม่ใช่ งานเอกชนก็ไม่ใช่ บางทีไปทำธุรกรรม เจ้าหน้าที่ระบุให้มีอาชีพรับจ้าง
- สวัสดิการอาจารย์พนักงานมหาวิทยาลัยแทบเป็นศูนย์ บ้านพักมีไม่เพียงพอ คนที่ไม่ได้บ้านพักซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีสิทธิได้ค่าเช่าบ้านเหมือนข้าราชการ ฉะนั้นเงินเดือนส่วนหนึ่งก็หมดไปกับค่าเช่าที่พัก เจ็บไข้ได้ป่วยก็ใช้สิทธิประกันสังคม
- ข้าราชการเงินเดือนน้อยกว่าอาจารย์พนักงานตอนเริ่มต้นก็จริง แต่นาน ๆ ไปเดี๋ยวก็แซง แถมมีสวัสดิการเต็มเปี่ยมไปยังพ่อแม่ ลูก ภรรยา แม้กระทั่งเกษียณแล้วก็ยังมีบำเน็จบำนาญ ค่ารักษาพยาบาลอีก ส่วนอาจารย์พนักงานไม่มีอะไรเลย อนาคตอันไม่ไกลจะมีอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เกษียณแล้วแต่ยังอยู่อย่างลำบากอีกเยอะแน่
- เงินเดือนที่ได้ไม่เต็ม 1.7 นอกจากจะเสียไปกับค่าเช่าที่พักแล้ว ยังจะต้องเสียไปกับการควักเนื้อในการทำวิจัยต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนการสอน และอื่น ๆ อีก เนื่องจากหลาย ๆ อย่างเบิกไม่ได้
- งานวิจัยเหรอ สมัยนี้ขอไปเถอะ โอกาสได้ยาก ปัจจุบันนี้กรอบวิจัยเยอะ ต้องทำเป็นโครงการชุด ต้องทำแบบบูรณาการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าไอ้คนที่มาวางกรอบวิจัยนี่มันวางตรงเป้าหรือเปล่า ส่วนมากก็จะเป็นกรอบวิจัยเพ้อฝัน เอามาทำจริงไม่ได้ ทุกวันนี้หลายมหาวิทยาลัยไม่ได้ทุนวิจัยเลยก็มี
- คนที่ได้ทุนวิจัยก็มักเป็นคนในแวดวงของเมธีวิจัยเอง คิดกันเอง วางกรอบกันเอง ครื้นเครงกันในกะลา ไอ้พวกมาใหม่ ๆ ไม่ได้เกิดง่าย ๆ หรอก เคยขอทุนวิจัยไปก็ไม่ให้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปี มีการตีพิมพ์ออกมาเลย สงสัยว่าเมธีวิจัยบางคนก็แอบเอาเค้าโครงวิจัยคนอื่นไปทำเอง
- ระบบการเรียนการสอนทุกวันนี้อวยเด็กมาก เด็กหลาย ๆ คนจบไปอย่างไม่มีคุณภาพ เนื่องจากทุกวันนี้เป็นธุรกิจการศึกษาเสียหมด มหาวิทยาลัยต้องหารายได้กับนักศึกษา ต้องรับเด็กเยอะ ๆ จนบางครั้งก็ละเลยเรื่องคุณภาพของเด็กที่จะมาเรียน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเคยสอนเด็กที่อ่านหนังสือเกือบไม่ออก ตกใจเลยว่าเข้ามาเรียนได้อย่างไร แต่ที่น่าตกใจกว่าคือเวลาส่งเกรดถ้ามีเด็กติด F นี่อาจารย์ผู้สอนโดนให้กลับไปแก้เกรดเลยนะครับ แถมโดนเพ่งเล็งอีกว่าสอนยังไงถึงมีเด็กติด F แสดงว่าไม่ใส่ใจเด็ก ทั้งที่จริงทำทุกทางแล้ว แต่ได้แค่นี้จริง ๆ แต่เขาอาจคิดไว้ว่าการที่ให้เด็กติด F แล้วเผื่อเกิดรีไทร์ไป มหาวิทยาลัยก็ต้องขาดรายได้อีก สุดท้ายก็ต้องปรับให้เด็กผ่าน จนทำให้เด็กที่ไม่มีคุณภาพจบออกไป กลายเป็นบัณฑิตที่ไม่พึงประสงค์ สร้างตราบาปให้กับประเทศชาติอีก
- ยังมีอีกเยอะครับ ผมพิมพ์จนเหนื่อยแล้ว พอดีพิมพ์ในมือถือ สรุปเอาเป็นว่าไปทำอาชีพอื่นที่สร้างสรรค์กับชีวิตดีกว่าครับ อีกไม่นานใช้ทุนเสร็จผมก็ลาออกแล้ว แต่ถ้าคุณอยากมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็ขอให้โชคดี
ความคิดเห็นที่ 6
จริงๆผมว่าอาชีพนี้เป็นใบเบิกทางที่ดีถ้าชอบงานวิชาการครับ ผมเป็นอาจารย์ใหม่เงินเดือนก็พอใช้ได้คับ ไม่ลำบาก สาขาที่สอนก็สำคัญครับ อาจารย์บางท่านเก่งถูกเชิญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ บรรยายพิเศษ กรรมการบรัษัท บางท่านขยันทำWorkshop อบรมคนภายนอก บางท่านเน้นทำวิจัยหาgrant รับเด็กทำงานวิจัยมีเครือข่ายต่างประเทศ จุดสำคัญผมมองว่าไม่ว่าจะอาชีพอะไร ถ้าคุณมีความรักในอาชีพ พัฒนาตัวเองเสมอ คุณจะอยู่ได้ วันนึงถ้าคุณเก่งที่ไหนก็ต้องการ คุณย้ายไปม.อื่น ไปทำงานต่างประเทศก็ยังได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
อาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นอาชีพที่ยังน่าทำอยู่ไหมครับ หรือว่าคนในอยากออกคนนอกอยากเข้า
กับผลตอบแทน 1.7 เท่า และสวัสดิการซึ่งแทบไม่มีนอกจากสหกรณ์กับประกันสังคม
จบป.เอก อายุคงประมาณ 30 คงสัก 35-36 ถึงจะตั้งตัวได้ (คือได้ tenure จ้างเรื่อยๆ)
ถามว่าปัจจุบันยังน่าทำหรือไม่ ขอความเห็นจากคนในวงการครับ
-จขกท เรียนสาขาฟิสิกส์ ป.ตรี ชั้นปีที่ 2 ครับ
-ที่เข้ามาเพราะเล็งเห็นว่าสาขานี้มัน adapt ได้สูงต่อยุคแห่งการ disruption โดย Automation และ Quantum Computing
-จขกท ตั้งใจอยากจะมาเป็นอาจารย์ตั้งแต่ขึ้นม.ปลายแล้ว โดยรับทุนเรียนมาอย่างต่อเนื่อง
-ไม่ได้ตั้งใจจะมาแสวงหาลาภยศสรรเสริญหรือทำงานสบายๆ มาเพราะอยากสร้างสรรค์ผลงานวิจัย และเพือสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง
-สิ่งที่กังวลคือ ความมั่นคง สวัสดิภาพ ในการประกอบสัมมาชีพ และสถานภาพทางกฎหมาย
ไม่ได้มองที่เม็ดเงินเป็นหลัก
คือเงื่อนไขสัญญาสั่งว่ายังไงก็ผมจะทำตามนั้นแหละ มันต้องอ่านก่อนเข้าทำงานแล้ว เห็นด้วยกับระบบประเมินด้วยซ้ำ ถ้าประเมินจากประสิทธิภาพการทำงานและผลงานจริงๆ 100%
อาจจะมองว่าช่วงก่อนการขอ รศ. เป็นช่วงทดลองงาน ตอนได้ รศ. แล้วเป็นการผ่านโปร เหมือนกับอาชีพอื่นๆ นั่นแหละ