สวัสดีค่ะ จขกท.เคยเป็นหนึ่งในเหยื่อของการบูลลี่(ออกแนวบ่นนะคะ)ออกแนวหดหู่นะคะ
สมัยเด็กจขกท.เกิดมาก็ไปประเทศอื่นเลยทำให้พูดไทยไม่ได้
ตอนอายุ 7 ปี : แม่พากลับมาไทยส่งเข้าเรียนอ.3(ทางรร.อยากให้ปรับตัวได้เลยให้ซ้ำอ.3)
และเป็นจุดเริ่มต้นของการบูลลี่ ในตอนนั้นไม่มีใครยุ่งกับเรา เราก็เฉยๆเพราะไม่ได้สนอะไร แต่หลังๆเพื่อนเริ่มโยนของใส่เราแล้วหัวเราะ
หลังเข้ารร.ได้3เดือน จขกท.เริ่มพูดไทยได้ อ่านได้(ไม่คล่อง) ทุกคนพูดอะไรเราก็เริ่มฟังออก เพื่อนเล่นอะไรเราก็ขอเล่นด้วยแต่ตอนที่เราไปขอเล่นด้วยมักจะบอกเราว่า"เราไม่เล่นแล้ว"เหมือนเพื่อนรังเกียจเรา
ตอนอายุ8ปี : ตอนนี้เรื่องที่เก่งสุดก็ต้องคณิตศาสตร์เต็มทุกรอบ ครูก็บอกว่าให้เราสอนเพื่อนแต่เพื่อนก็บอกว่า"มันอวดเก่งแน่เลย"เราก็ยังไม่เข้าใจว่า อวดเก่งคืออะไร จนตอนที่เราสอบกลางภาคเราป่วยหนักมาก 42° จนไม่ได้ไปสอบเลยหยุดไป วันต่อมา(เค้าสอบกันเสร็จละ)เราเคยเห็นเพื่อนไม่มารร.แล้วเค้าจะมาถามว่าเป็นอะไรมั้ย ดีขึ้นยัง เราก็คิดว่าเราจะเป็นแบบนั้นบ้างสุดท้ายเพื่อนบอกว่า"ไม่รู้หรอไง เค้าสอบกันแล้วอย่าหยุดเยอะได้ปะ"
เราก็ตอบ"เราป่วย 42° เลยไม่ได้มา"เพื่อนก็ชักสีหน้าแล้วสวนมาว่า"เอ่อเราก็เคยเป็นเรา50°ด้วยเรายังมาสอบได้เลย"
ในตอนนั้นเราเรียกว่าเป็นเด็กที่โตกว่าคำว่าเด็กแล้ว วิเคราะห์เป็น และมีความรู้ค่อนข้างเยอะกว่าเด็กทั่วไป แม่เคยสอนว่า 45° คนก็ช็อคตายได้แล้ว เพระาฉะนั้น50° เป็นไปไม่ได้) เราตอบไป"50°ไม่มีทางที่เธอจะมาสอบได้นะ"เพื่อนอีกคนก็บอกว่า"โอ้ย แกจะโง่ไปไหนคนเราตัวร้อนสุดได้90°"เราเลยเงียบไม่เถียงต่อ ข้ามช่วงนี้ไปเพราะโดนบูลลี่เล็กๆน้อยๆ
ตอนอายุ 9 ปี :แม่พาย้ายรร.เพราะทนไม่ได้ที่เราจิตตกขนาดนี้ เข้ารร.ลูกคุณหนูเทอมนึง 35,000บาท แม่คิดว่าจะเป็นรร.ดี และเป็นช่วงที่เราจำไม่ได้เลยว่าเกิดไรขึ้น(มันเลือนลางที่สุดของความจำทั้งหมด) และถูกบูลลี่หนักสุด เราเป็นคนที่ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป เรียนดีกว่า ในรร.นั้นครูเห็นเราโดนบูลลี่นะแต่ครูไม่สนใจเราเลย ไม่มีเพื่อนคบ เพื่อนนินทาเราตลอด ทำอะไรเราก็ผิด เช่น
1.เราทำการบ้านมาเพื่อนขอลอกเราโดนด่าและตี เพราะครูเชื่อว่าเราโง่ทำงานเองไม่ได้
2.งานกลุ่มเราทำคนเดียว สุดท้ายเพื่อนเคลมงานแล้วว่าเราไม่ทำงาน
น่าจะมีอีกแต่ความทรงจำเลือนลางเกินไป
ตอนนั้นครูด่าเราว่า"เกิดมาทำไม เปลือกเงินพ่อแม่ เกิดมาเป็นขยะสังคมหรอ"แล้วเพื่อนทั้งห้องก็หัวเราะเยาะเรา ตอนนั้นเราซึมสุดๆ แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ในรร.นั้นเราอยู่ได้แค่ครึ่งเทอมจากนั้นก็ย้ายออกไปเข้าอีกรร.
ตอนอายุ 10 ปี : เราจบจากรร.นี้เป็นรร.แรกที่เราไม่โดนบูลลี่ ข้ามไปเลยช่วงนี้มีความสุขมาก
ตอนอายุ 14 ปี : เราจบแล้วเข้ามัธยมได้เข้าห้อง 1 โดยที่เราสอบแค่รอบเดียว ปีนี้ไม่มีไรมาก
ตอนอายุ 15 ปี(ปัจจุบัน) : เราไม่ชอบแสดงออกเพราะกลัวว่าเราทำผิดแล้วเพื่อนจะหัวเราะเยาะ ครูจะด่า ครูก็บอกว่า"ครูไม่ชอบคนประเภทนี้เลย ถามอะไรไม่ตอบเป็นอะไรมากมั้ยคะ" เรารู้สึกใจสลายอีกครั้งเพราะเราเกลียดแบบนี้มาก แต่เพื่อนห้องเรานิสัยดีไม่มีหัวเราะเยาะเลย เราไม่กล้าตอบคำถาม นั่งเรียนเงียบๆ
นิสัยจะออกแนวเสแสร้งว่า ร่าเริง รักเพื่อน เชื่อใจทุกคน ใจดี แข็งแกร่ง
แต่ในความจริงเรา สุขุม เย็นชา แค้น ใจแคบ
(เดี๋ยวเราเล่าอีกครั้งว่าทำไม)ใจร้าย ไม่เชื่อใจใครเลย อ่อนแอ
ทุกวันนี้เราไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก และจะไม่แสดงความอ่อนแอเวลาโดนเหยียดหยามอีก
ย้อนทำไมเราใจแคบ ตอนอายุ 9 ปี : เราเป็นคนขี้สงสารเห็นผู้ชายคนนึง นอนอยู่เราเห็นว่าเขาไม่ใส่เสื้อเขาใส่กางเกงอยู่ตัวเดียวและเนื้อตัวมอมแมมก็เลยเอาตังค์ ค่าขนมของตัวเองให้เขาไป 70 บาท ( แต่ก่อนเด็กๆแม่ให้ตังเป็นอาทิตย์ได้100บาท) เราเลยเอาตังค์ 70 บาทวางไว้ข้างๆเขาและเอาศอกเขาทับไว้ ในช่วงเย็นเราเดินกลับมาทางเดิม เพื่อที่จะไปขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านเราก็คิดว่าเขาน่าจะยังอยู่ที่เดิมเลยเดินไปดู เราเห็นว่าเขาไม่ได้นอนแล้วเขานั่งขึ้นมาในท่าขัดสมาธิ แล้วในมือเขาถือขวดเหล้าอยู่ 1 ขวด ชายคนนั้นเห็นเรายืนมอง ก็ตะโกนขึ้นมาว่า "ดีใจจังโว้ย วันนี้มีคนเอาเงิน 70 มาให้กูฟรี รวมกับเงินเก่ากูแล้ว พอที่จะซื้อเหล้าไปอีกวันแล้วโว้ย" เท่านั้นแหละโดนใจสลายเลย และนับแต่นั้นใครมาขอให้เราบริจาคมาขอให้เราซื้อนู่นนี่นั่นให้กับคนจรคนที่ไม่มีบ้านคนที่นอนข้างถนนเราจะไม่ช่วยเด็ดขาดเพราะเรามีบทเรียนนี้แล้วและเราก็ไม่เลือกที่จะเชื่อใจใครด้วย เพราะที่คนในชีวิตที่เราช่วย คนนั้นมักจะใช้ประโยชน์จากเราเสมอ ครั้งนั้นของเราทำให้เราไม่อยากช่วยใครอีกเลยถ้าไม่ใช่คนที่เราสนิทด้วยรู้จักด้วยและอยากช่วยจริงๆ เวลาเดินผ่านคนเหล่านั้นเพื่อนก็จะบอกว่าแกไปเซเว่นไหมไปซื้อพวกของกินให้เขาหน่อยไหมเขาน่าสงสารนะ ถ้าหากคนเหล่านั้นไม่ใช่คนแก่หรือคนพิการ เราจะชวนเพื่อนไปทันทีว่ามีมือเหมือนกันมีขาเหมือนกันทำไมไม่ทำมาหากินการที่คุณมานอนแบบนี้มันน่าสมเพชแทนคำว่าน่าสงสาร แล้วเพื่อนมักจะด่าเราตอบว่าก็คนมันไม่มีงานทำจะให้ทำยังไงแกอย่าใจดำได้ไหม
จากประสบการณ์ชีวิตของเราได้บอกกับเราไว้ว่าในช่วงเวลาที่คุณลำบากที่สุดไม่มีใครมาเหลียวแลคุณแล้วหากคุณบอกว่าก็เขาอยู่ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดคุณควรจะดูแลเขางั้นลองมาดูชีวิตของเรา แต่ก่อนบ้านเราก็เป็นบ้านที่ไม่มีเงินแต่เรามาถึงทุกวันนี้ได้เพราะตัวของเราเองในช่วงเวลาที่เราตกต่ำที่สุดในช่วงเวลาที่เราถูกบูลลี่ในโรงเรียนมีใครมาเหลียวแลเราหรือเปล่าคําตอบคือไม่มี แล้วก็ไม่เคยมีด้วย
ขอถามคำถามนะคะ
1.ที่เราลืมความทรงจำบางส่วนของการบูลี่เป็นกลไกของสมองหรือเปล่าคะ
2.การที่เราไร้ความมั่นใจในตอนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
3.เราไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าความสุข เราไม่รู้จักมันเลย เหมือนต่อมความสุขถูกทำลายแล้วโดนสิ้นเชิง ความรู้สึกอื่นอยู่บ้างแต่ไม่เคยรู้จักความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องบูลลี่นี้หรือเปล่า(เราอยากรู้สึกว่าความสุขกันเป็นยังไงทุกครั้งที่เพื่อนๆหัวเราะ มีคนชมเราเก่งเรารู้สึกได้แค่อาการหนักๆในใจหรือไม่ก็ว่างเปล่า ในบางครั้งความรู้สึกอื่นก็เหมือนจะขาดเหมือนกัน เหมือนว่าจขกท.ไร้ความรู้สึกยังไงยังงั้น)
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอขอบคุณที่อ่านจนจบแล้วก็ขออภัยนะคะที่อาจทำให้บางคนรู้สึกหดหู่ใจตามหรือบางคนอาจจะมองว่ามันก็ไม่ได้อะไรมากก็ยังไงก็ขอขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
ประสบการณ์บูลลี่ และย่ำแย่ที่สุด
สมัยเด็กจขกท.เกิดมาก็ไปประเทศอื่นเลยทำให้พูดไทยไม่ได้
ตอนอายุ 7 ปี : แม่พากลับมาไทยส่งเข้าเรียนอ.3(ทางรร.อยากให้ปรับตัวได้เลยให้ซ้ำอ.3)
และเป็นจุดเริ่มต้นของการบูลลี่ ในตอนนั้นไม่มีใครยุ่งกับเรา เราก็เฉยๆเพราะไม่ได้สนอะไร แต่หลังๆเพื่อนเริ่มโยนของใส่เราแล้วหัวเราะ
หลังเข้ารร.ได้3เดือน จขกท.เริ่มพูดไทยได้ อ่านได้(ไม่คล่อง) ทุกคนพูดอะไรเราก็เริ่มฟังออก เพื่อนเล่นอะไรเราก็ขอเล่นด้วยแต่ตอนที่เราไปขอเล่นด้วยมักจะบอกเราว่า"เราไม่เล่นแล้ว"เหมือนเพื่อนรังเกียจเรา
ตอนอายุ8ปี : ตอนนี้เรื่องที่เก่งสุดก็ต้องคณิตศาสตร์เต็มทุกรอบ ครูก็บอกว่าให้เราสอนเพื่อนแต่เพื่อนก็บอกว่า"มันอวดเก่งแน่เลย"เราก็ยังไม่เข้าใจว่า อวดเก่งคืออะไร จนตอนที่เราสอบกลางภาคเราป่วยหนักมาก 42° จนไม่ได้ไปสอบเลยหยุดไป วันต่อมา(เค้าสอบกันเสร็จละ)เราเคยเห็นเพื่อนไม่มารร.แล้วเค้าจะมาถามว่าเป็นอะไรมั้ย ดีขึ้นยัง เราก็คิดว่าเราจะเป็นแบบนั้นบ้างสุดท้ายเพื่อนบอกว่า"ไม่รู้หรอไง เค้าสอบกันแล้วอย่าหยุดเยอะได้ปะ"
เราก็ตอบ"เราป่วย 42° เลยไม่ได้มา"เพื่อนก็ชักสีหน้าแล้วสวนมาว่า"เอ่อเราก็เคยเป็นเรา50°ด้วยเรายังมาสอบได้เลย"ในตอนนั้นเราเรียกว่าเป็นเด็กที่โตกว่าคำว่าเด็กแล้ว วิเคราะห์เป็น และมีความรู้ค่อนข้างเยอะกว่าเด็กทั่วไป แม่เคยสอนว่า 45° คนก็ช็อคตายได้แล้ว เพระาฉะนั้น50° เป็นไปไม่ได้) เราตอบไป"50°ไม่มีทางที่เธอจะมาสอบได้นะ"เพื่อนอีกคนก็บอกว่า"โอ้ย แกจะโง่ไปไหนคนเราตัวร้อนสุดได้90°"เราเลยเงียบไม่เถียงต่อ ข้ามช่วงนี้ไปเพราะโดนบูลลี่เล็กๆน้อยๆ
ตอนอายุ 9 ปี :แม่พาย้ายรร.เพราะทนไม่ได้ที่เราจิตตกขนาดนี้ เข้ารร.ลูกคุณหนูเทอมนึง 35,000บาท แม่คิดว่าจะเป็นรร.ดี และเป็นช่วงที่เราจำไม่ได้เลยว่าเกิดไรขึ้น(มันเลือนลางที่สุดของความจำทั้งหมด) และถูกบูลลี่หนักสุด เราเป็นคนที่ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป เรียนดีกว่า ในรร.นั้นครูเห็นเราโดนบูลลี่นะแต่ครูไม่สนใจเราเลย ไม่มีเพื่อนคบ เพื่อนนินทาเราตลอด ทำอะไรเราก็ผิด เช่น
1.เราทำการบ้านมาเพื่อนขอลอกเราโดนด่าและตี เพราะครูเชื่อว่าเราโง่ทำงานเองไม่ได้
2.งานกลุ่มเราทำคนเดียว สุดท้ายเพื่อนเคลมงานแล้วว่าเราไม่ทำงาน
น่าจะมีอีกแต่ความทรงจำเลือนลางเกินไป
ตอนนั้นครูด่าเราว่า"เกิดมาทำไม เปลือกเงินพ่อแม่ เกิดมาเป็นขยะสังคมหรอ"แล้วเพื่อนทั้งห้องก็หัวเราะเยาะเรา ตอนนั้นเราซึมสุดๆ แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ในรร.นั้นเราอยู่ได้แค่ครึ่งเทอมจากนั้นก็ย้ายออกไปเข้าอีกรร.
ตอนอายุ 10 ปี : เราจบจากรร.นี้เป็นรร.แรกที่เราไม่โดนบูลลี่ ข้ามไปเลยช่วงนี้มีความสุขมาก
ตอนอายุ 14 ปี : เราจบแล้วเข้ามัธยมได้เข้าห้อง 1 โดยที่เราสอบแค่รอบเดียว ปีนี้ไม่มีไรมาก
ตอนอายุ 15 ปี(ปัจจุบัน) : เราไม่ชอบแสดงออกเพราะกลัวว่าเราทำผิดแล้วเพื่อนจะหัวเราะเยาะ ครูจะด่า ครูก็บอกว่า"ครูไม่ชอบคนประเภทนี้เลย ถามอะไรไม่ตอบเป็นอะไรมากมั้ยคะ" เรารู้สึกใจสลายอีกครั้งเพราะเราเกลียดแบบนี้มาก แต่เพื่อนห้องเรานิสัยดีไม่มีหัวเราะเยาะเลย เราไม่กล้าตอบคำถาม นั่งเรียนเงียบๆ
นิสัยจะออกแนวเสแสร้งว่า ร่าเริง รักเพื่อน เชื่อใจทุกคน ใจดี แข็งแกร่ง
แต่ในความจริงเรา สุขุม เย็นชา แค้น ใจแคบ
(เดี๋ยวเราเล่าอีกครั้งว่าทำไม)ใจร้าย ไม่เชื่อใจใครเลย อ่อนแอ
ทุกวันนี้เราไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก และจะไม่แสดงความอ่อนแอเวลาโดนเหยียดหยามอีก
ย้อนทำไมเราใจแคบ ตอนอายุ 9 ปี : เราเป็นคนขี้สงสารเห็นผู้ชายคนนึง นอนอยู่เราเห็นว่าเขาไม่ใส่เสื้อเขาใส่กางเกงอยู่ตัวเดียวและเนื้อตัวมอมแมมก็เลยเอาตังค์ ค่าขนมของตัวเองให้เขาไป 70 บาท ( แต่ก่อนเด็กๆแม่ให้ตังเป็นอาทิตย์ได้100บาท) เราเลยเอาตังค์ 70 บาทวางไว้ข้างๆเขาและเอาศอกเขาทับไว้ ในช่วงเย็นเราเดินกลับมาทางเดิม เพื่อที่จะไปขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้านเราก็คิดว่าเขาน่าจะยังอยู่ที่เดิมเลยเดินไปดู เราเห็นว่าเขาไม่ได้นอนแล้วเขานั่งขึ้นมาในท่าขัดสมาธิ แล้วในมือเขาถือขวดเหล้าอยู่ 1 ขวด ชายคนนั้นเห็นเรายืนมอง ก็ตะโกนขึ้นมาว่า "ดีใจจังโว้ย วันนี้มีคนเอาเงิน 70 มาให้กูฟรี รวมกับเงินเก่ากูแล้ว พอที่จะซื้อเหล้าไปอีกวันแล้วโว้ย" เท่านั้นแหละโดนใจสลายเลย และนับแต่นั้นใครมาขอให้เราบริจาคมาขอให้เราซื้อนู่นนี่นั่นให้กับคนจรคนที่ไม่มีบ้านคนที่นอนข้างถนนเราจะไม่ช่วยเด็ดขาดเพราะเรามีบทเรียนนี้แล้วและเราก็ไม่เลือกที่จะเชื่อใจใครด้วย เพราะที่คนในชีวิตที่เราช่วย คนนั้นมักจะใช้ประโยชน์จากเราเสมอ ครั้งนั้นของเราทำให้เราไม่อยากช่วยใครอีกเลยถ้าไม่ใช่คนที่เราสนิทด้วยรู้จักด้วยและอยากช่วยจริงๆ เวลาเดินผ่านคนเหล่านั้นเพื่อนก็จะบอกว่าแกไปเซเว่นไหมไปซื้อพวกของกินให้เขาหน่อยไหมเขาน่าสงสารนะ ถ้าหากคนเหล่านั้นไม่ใช่คนแก่หรือคนพิการ เราจะชวนเพื่อนไปทันทีว่ามีมือเหมือนกันมีขาเหมือนกันทำไมไม่ทำมาหากินการที่คุณมานอนแบบนี้มันน่าสมเพชแทนคำว่าน่าสงสาร แล้วเพื่อนมักจะด่าเราตอบว่าก็คนมันไม่มีงานทำจะให้ทำยังไงแกอย่าใจดำได้ไหม
จากประสบการณ์ชีวิตของเราได้บอกกับเราไว้ว่าในช่วงเวลาที่คุณลำบากที่สุดไม่มีใครมาเหลียวแลคุณแล้วหากคุณบอกว่าก็เขาอยู่ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดคุณควรจะดูแลเขางั้นลองมาดูชีวิตของเรา แต่ก่อนบ้านเราก็เป็นบ้านที่ไม่มีเงินแต่เรามาถึงทุกวันนี้ได้เพราะตัวของเราเองในช่วงเวลาที่เราตกต่ำที่สุดในช่วงเวลาที่เราถูกบูลลี่ในโรงเรียนมีใครมาเหลียวแลเราหรือเปล่าคําตอบคือไม่มี แล้วก็ไม่เคยมีด้วย
ขอถามคำถามนะคะ
1.ที่เราลืมความทรงจำบางส่วนของการบูลี่เป็นกลไกของสมองหรือเปล่าคะ
2.การที่เราไร้ความมั่นใจในตอนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ
3.เราไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าความสุข เราไม่รู้จักมันเลย เหมือนต่อมความสุขถูกทำลายแล้วโดนสิ้นเชิง ความรู้สึกอื่นอยู่บ้างแต่ไม่เคยรู้จักความรู้สึกที่เรียกว่าความสุขเลย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องบูลลี่นี้หรือเปล่า(เราอยากรู้สึกว่าความสุขกันเป็นยังไงทุกครั้งที่เพื่อนๆหัวเราะ มีคนชมเราเก่งเรารู้สึกได้แค่อาการหนักๆในใจหรือไม่ก็ว่างเปล่า ในบางครั้งความรู้สึกอื่นก็เหมือนจะขาดเหมือนกัน เหมือนว่าจขกท.ไร้ความรู้สึกยังไงยังงั้น)
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ขอขอบคุณที่อ่านจนจบแล้วก็ขออภัยนะคะที่อาจทำให้บางคนรู้สึกหดหู่ใจตามหรือบางคนอาจจะมองว่ามันก็ไม่ได้อะไรมากก็ยังไงก็ขอขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ