หลายท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องเล่า หรือตำนานต่างๆของภูเขาควายกันมาบ้างแล้ว ผมจะเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวในมุมมองที่ได้พบเห็นสู่กันฟัง ..
เดือนมิถุนายน ปี 2557 ผมได้มีโอกาสไปส่งหลวงพ่อ (เรียกว่าหลวงตาก็ได้ครับ เพราะท่านอายุ 70 กว่าปี ) เพื่อไปจำพรรษาบนถ้ำสะแนนภูเขาควาย โดยเดินทางไปหนองคาย เข้าเวียงจันทร์ แล้วออกมาอีกเป็นระยะทางประมาณร้อยกิโลเมตร ไปยังบ้านนาไซ ผ่านทางญาท่านอธิการบุญ .. วิ.. (ไม่ขอเอ่ยนาม) ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่และประธานคณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์แห่งชาติ แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว แห่งวัดท่าบxx .. ไปยังวัดโพไซยาลาม บ้านนาไซ เมืองพะพุดทะบาด แขวงบอลิคำไซ .. ในปัจจุบันนี้ การขึ้นไปอยู่ข้ามวันข้ามคืนกลางป่ารกทึบบนภูเขาควายนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เหตุเพราะว่าภูเขาควายนั้นเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติลาว ไม่เหมือนสมัยเมื่อ 50-80 ปีก่อน ที่ใครก็สามารถขึ้นไปได้ ถ้าให้อธิบายก็คงยาว เอาเป็นว่าแม้แต่ชาวบ้านคนลาวหรือพระลาวแท้ๆแถวนั้น ก็ยังไม่กล้าขึ้นไปนอนไปอยู่บนภูเขาควายกันข้ามวัน เพราะไม่เกินบ่าย 4 โมงเย็น ชาวบ้านที่หาของป่าล่าสัตว์และพระลาวเขาก็จะลงไปจากเขาลูกนี้กันหมดแล้ว ถือเป็นเรื่องที่แปลกคับ .. ส่วนผมและผู้ติดตามอีกสองคนก็ได้เดินทางกลับไทยในวันต่อมา
แผนที่อาณาบริเวณภูเขาควาย - จากกูเกิ้ลแมพ
ภูเขาควายเป็นนั้นเขตป่าสงวนแห่งชาติลาว ซึ่งกินพื้นที่กว่า 2,400 ตารางกิโลเมตร (ไม่ใช่ 2,000 ไร่นะครับ) เป็นธรรมชาติเหมือนบ้านเราเมื่อ 60 ปีก่อน ที่ต้นไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ต้นไม้ใหญ่ๆชนิดสิบคนโอบไม่มิดก็มีขึ้นให้เห็นได้ทั่วไป หาป่าแบบนี้ในบ้านเราแทบจะไม่มีแล้ว ภูเขาควายมีอาณาเขตทอดยาวกว่า 120 กิโลเมตร เริ่มจากเวียงจันทร์(หนองคาย) ถึงเมืองปากซัน เมืองบอลิคำ(บึงกาฬ) แขวงบอลิคำไซ ..
แถวเมืองธุรคมที่คนส่วนใหญ่ไปกันนั้น เป็นเพียงส่วนต้นๆของภูเขาควายครับ ที่ป่าแถบนั้นโดยมากไม่มีอะไรเท่าไหร่ ออกร้อนแห้งแล้งหน่อย มีโขดหินซะเป็นส่วนใหญ่และเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวตามโขดหินทั่วๆไป เทียบกับป่าทางแขวงบอลิคำไซไม่ได้เลย เพราะทางนี้เป็นภูเขาสูงชันเป็นป่ารกและชื้นมาก ชนิดที่ว่าตากผ้าบนภูเขา 2 วัน ยังไม่แห้งสนิทเลย ..
ซึ่งการเป็นพระแล้วออกมาธุดงค์เดินทางตามถิ่นทุรกันดารต่างๆ อยู่กินตามป่าตามเขา ไม่มีไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆใช้ อยู่เพื่อการละซึ่งกิเลสนั้นเป็นเรื่องที่แสนยากลำบากมากครับ เราๆท่านๆที่เป็นเพียงผู้ติดตามยังเหนื่อยยังท้อใจเองเลย ไม่ได้สุขสบายแม้แต่น้อยเหมือนพระตามบ้านหรือพระในเมืองทั่วๆไป ที่กินอยู่อย่างสุขสบายกันซะส่วนใหญ่ ทั้งแย่งกิจนิมนต์ แย่งซองปัจจัยกันตามงานสวดต่างๆ .. กล่าวกันตรงๆว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่นั้น มีกิเลสมากและหนากว่าคนธรรมดามากครับ เพราะมาบวชเพื่อแสวงหาชื่อเสียงเงินทอง ตำแหน่งพัดยศ สะสมกิเลส .. น้อยนักที่จะมาบวชเพื่อละกิเลสกัน ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ในประเทศลาวก็เช่นเดียวกัน เห็นแล้วก็ปลงคับ
เมฆปกคลุมภูเขาควาย - แขวงบอลิคำไซ
หลวงพ่อท่านก็อยู่บนภูเขาควายที่บริเวณถ้ำสะแนน เพื่อปฏิบัติธรรมในพรรษานั้นเพียงรูปเดียวเพราะพระสงฆ์ลาวรูปอื่นๆต่างก็ไม่กล้าขึ้นไปอยู่ด้วย โดยขึ้นมาอยู่ห่างจากวัดโพไซยาลามซึ่งอยู่ตรงตีนเขากลางหมู่บ้านข้างล่าง ซึ่งต้องเดินเท้าไปกลับเป็นระยะทางกว่า 6 กิโลเมตร (กิโลแม้ว เพราะเป็นถ้ำเขาสูงชัน) ทุกวัน เพื่อมาฉันอาหารเช้าเพียงครั้งเดียว อาทิตย์แรกท่านก็พอเดินไหว แต่ต่อมาท่านเดินทุกวันไม่ค่อยจะไหวเพราะเริ่มชราอายุมากแล้ว เลยอาศัยว่า 2-3 วัน จึงค่อยลงมาฉันอาหารภายในวัดสักครั้งหนึ่ง !!!!
.. ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่บนภูเขาควายเป็นเวลาหลายเดือนนั้น ท่านก็ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องชีวิตประจำวันตั้งแต่วันแรกที่ท่านออกบวชมา และเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับต่างๆ ผมไม่ขอเปิดเผยข้อมูลเพราะท่านบันทึกไว้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ท่านสั่งห้ามเผยแพร่ใดๆทั้งสิ้น แต่จะขอกล่าวเพียงสั้นๆว่า ภูมิ เทวดา นรก สวรรค์ สิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นนั้นมีจริงครับ ใครจะเชื่อก็เชือ ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่ากันเพราะสุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน ..
ท่านบอกผมว่า บนภูเขาควายนั้นมีสิ่งศักดื์สิทธิ์และของมีค่ามากมาย ที่ดูแลรักษาอยู่โดยภูมิ เทวดา และสิ่งที่มองไม่เห็นหรือพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือวัดทางวิทยาศาตร์สมัยใหม่ หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรกับบรรดาของเหล่านี้ รวมทั้งพวกเรื่องเหล็กไหลด้วย
ท่านบอกแต่เพียงว่า มันไม่ใช่สิ่งที่ควรใส่ใจ และไม่ใช่หนทางธรรม .. ท่านเพียงต้องการไปเพื่อปฏิบัติธรรม ภาวนาและบำเพ็ญเพียรเท่านั้น .. ส่วนใครที่อยากจะได้หรืออยากไปเอาของมีค่าต่างๆ ท่านก็บอกได้แค่เพียงว่าก็ห้ามกันไม่ได้ แต่ก็ต้องเจอกับอันตรายมากมายทั้งจากคน สัตว์ หรือทหารลาวจับกุมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นซึ่งจะเข้ามาขัดขวางผู้ที่มีกิเลสหนา จนแทบรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ ทั้งคนทั้งพระหายสาปสูญไปก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ หลายที่หลายแห่งก็เจอโครงกระดูกมนุษย์อยู่ตามซอกหลีบผาต่างๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติอีกนั่นแหล่ะครับ ..
.. ประเทศลาวนั้นเขาหวงแหนภูเขาลูกนี้มากครับ ไม่ได้มีการขายภูเขาลูกนี้ให้กับประเทศญี่ปุ่นตามคำกล่าวอ้างต่างๆดังนิทานหลอกเด็กแต่อย่างใด ทั้งหน่วยงานราชการต่างๆ ตำรวจ ทหารลาว เขาเข้มงวดมากๆและมากที่สุดคับ คนธรรมดาทั่วๆไปไม่มีทางสุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นไปอยู่ได้เลย แค่โดนกองหลอน (คล้ายๆตำรวจบ้าน) เล่นงานก็เหนื่อยจะแย่แล้ว เขาจะคอยจับตาดูกลุ่มคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ของเขาเพื่อรายงานกับทางราชการโดยตลอด และก็อาจเกิตเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ (เป็นธรรมดาของประเทศคอมมิวนิสต์) ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของเขาโดยเฉพาะภูเขาควาย ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติลาวด้วยแล้ว
ภาพถ่ายบนภูเขาควาย - บริเวณถ้ำสะแนน
หลวงพ่อท่านไม่ได้สนใจเรื่องลาภยศ ไม่เอา ไม่รับ ไม่สร้างวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ไม่สะสมเงินทองหรืออะไรทั้งสิ้น ท่านไม่ได้เป็นเกจิหรือมีชื่อเสียงใดๆ เป็นเพียงพระแก่ชรารูปหนึ่งเท่านั้น .. ปัจจุบันนี้ท่านไปๆมาๆระหว่างไทยลาวอยู่ตลอด โดยบางพรรษาท่านก็ออกธุดงค์เข้าไปถึงในเขตประเทศเขมรเพียงลำพัง ผ่านทางเมืองปากเซเรื่อยเข้าไป .. พักหลังๆมานี้ส่วนมากก็จะพำนักอยู่ที่บ้านเกิดทางภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะตอนนี้ท่านก็อายุได้ 70 กว่าปี แล้ว ยังแข็งแรงดีมาก เป็นบุญให้ลูกหลานครับ
เขมร - ปี 2559
ปล.ขอไม่เอ่ยนามหลวงพ่อนะครับ ถ้าอยากรู้จริงๆและก็ถ้าใครมีโอกาสได้ไปแถวนั้น ก็ลองไปถามชาวบ้านนาไซ หรือพระวัดโพไซยาลาม เมิองพะพุดทะบาด แขวงบอริคำไซ ว่า .. เคยมีญาท่าน(คนลาวเขาเรียกแบบนี้) ที่มาจากไทยแล้วไปจำพรรษาบนถ้ำสะแนนภูเขาควายคนเดียวจนหมดพรรษา ว่าท่านชื่ออะไร ชาวบ้านแถวนั้นรู้จักหมดครับ เพราะเป็นที่เล่าขานกันเลยทีเดียว ..
คล้อยหลังมาอีกหลายเดือนขณะที่หลวงพ่อกลับมาจำพรรษาที่วัดนาหลวง อำเภอบ้านผือ เรื่องเล่านี้ก็ไปไกลถึงหูสังฆราชลาว และที่ปรึกษาใหญ่คณะสงฆ์แห่งชาติลาว (ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าคณะใหญ่อีกทีหนึ่ง) ทำให้พระผู้ใหญ่ในประเทศลาวได้มีการเรียกประชุมเจ้าคณะแขวงและเจ้าอาวาสวัดทั่วแขวงบอลิคำไซ สอบถามว่าจริงหรือไม่ที่มีพระไทยรูปหนึ่งไปจำพรรษาคนเดียวบนถ้ำสะแนนภูเขาควาย แล้วรอดกลับลงมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร และมีคำสั่งเป็นเด็ดขาดว่า ห้ามหลวงพ่อท่านนี้เข้าไปบนภูเขาควายอีก .. จากการสอบถามแล้วก็ได้ความว่า เขาเกรงว่าจะมีคนนอกไปเอาทรัพย์สมบัติและของมีค่าของเขา หรือทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามบนนั้น เพราะเคยมีคณะสงฆ์และพระสงฆ์จากไทยรวมทั้งพระสงฆ์ของลาวเองจำนวนหนึ่ง ได้ขึ้นไปทำสิ่งไม่ดีงามบนภูเขาควายไว้หลายครั้งครา .. !! แต่ถ้าเราปฏิบัติดี มีศีลธรรมที่ดีก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ..
สุดท้ายเรื่องวุ่นวายก็จบลงด้วยดี เพราะที่ปรึกษาใหญ่คณะสงฆ์แห่งชาติลาวนั้นท่านก็ได้เข้าใจเจตนาของหลวงพ่อท่านเป็นอย่างดี ด้วยท่านนั้นได้สอบถามจากหน่วยงานราชการ ตำรวจ ทหารและผู้นำชุมชม ซึ่งเป็นหูเป็นตาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเชิญให้กลับมาพำนักต่ออย่างมีมิตรไมตรีเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ และท่านปรึกษาใหญ่คณะสงฆ์แห่งชาติลาวก็ได้มรณะภาพไปในปีต่อมา .. โดยทางประเทศลาวเองก็ยังเคร่งครัด กับการที่บุคคลใดจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้เหมือนเช่นเดิม
ที่เล่ามาเพียงเพราะอยากแชร์ประสบการณ์เท่านั้น เพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาเพื่อดำรงพระพุทธศาสนาและประพฤติชอบในทางที่ดี ..
รายละเอียดเรื่องราวต่างๆ นั้นมีมาก .. แต่ขอเล่าเพียงเท่านี้ละกันคับ
ปัจจุบัน - ที่บ้านเกิด
ครั้งหนึ่งบนภูเขาควาย กับการไปจำพรรษาของหลวงพ่อชาวไทย
เดือนมิถุนายน ปี 2557 ผมได้มีโอกาสไปส่งหลวงพ่อ (เรียกว่าหลวงตาก็ได้ครับ เพราะท่านอายุ 70 กว่าปี ) เพื่อไปจำพรรษาบนถ้ำสะแนนภูเขาควาย โดยเดินทางไปหนองคาย เข้าเวียงจันทร์ แล้วออกมาอีกเป็นระยะทางประมาณร้อยกิโลเมตร ไปยังบ้านนาไซ ผ่านทางญาท่านอธิการบุญ .. วิ.. (ไม่ขอเอ่ยนาม) ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่และประธานคณะกรรมการพุทธศาสนาสัมพันธ์แห่งชาติ แขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว แห่งวัดท่าบxx .. ไปยังวัดโพไซยาลาม บ้านนาไซ เมืองพะพุดทะบาด แขวงบอลิคำไซ .. ในปัจจุบันนี้ การขึ้นไปอยู่ข้ามวันข้ามคืนกลางป่ารกทึบบนภูเขาควายนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เหตุเพราะว่าภูเขาควายนั้นเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติลาว ไม่เหมือนสมัยเมื่อ 50-80 ปีก่อน ที่ใครก็สามารถขึ้นไปได้ ถ้าให้อธิบายก็คงยาว เอาเป็นว่าแม้แต่ชาวบ้านคนลาวหรือพระลาวแท้ๆแถวนั้น ก็ยังไม่กล้าขึ้นไปนอนไปอยู่บนภูเขาควายกันข้ามวัน เพราะไม่เกินบ่าย 4 โมงเย็น ชาวบ้านที่หาของป่าล่าสัตว์และพระลาวเขาก็จะลงไปจากเขาลูกนี้กันหมดแล้ว ถือเป็นเรื่องที่แปลกคับ .. ส่วนผมและผู้ติดตามอีกสองคนก็ได้เดินทางกลับไทยในวันต่อมา
แผนที่อาณาบริเวณภูเขาควาย - จากกูเกิ้ลแมพ
ภูเขาควายเป็นนั้นเขตป่าสงวนแห่งชาติลาว ซึ่งกินพื้นที่กว่า 2,400 ตารางกิโลเมตร (ไม่ใช่ 2,000 ไร่นะครับ) เป็นธรรมชาติเหมือนบ้านเราเมื่อ 60 ปีก่อน ที่ต้นไม้ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ต้นไม้ใหญ่ๆชนิดสิบคนโอบไม่มิดก็มีขึ้นให้เห็นได้ทั่วไป หาป่าแบบนี้ในบ้านเราแทบจะไม่มีแล้ว ภูเขาควายมีอาณาเขตทอดยาวกว่า 120 กิโลเมตร เริ่มจากเวียงจันทร์(หนองคาย) ถึงเมืองปากซัน เมืองบอลิคำ(บึงกาฬ) แขวงบอลิคำไซ ..
แถวเมืองธุรคมที่คนส่วนใหญ่ไปกันนั้น เป็นเพียงส่วนต้นๆของภูเขาควายครับ ที่ป่าแถบนั้นโดยมากไม่มีอะไรเท่าไหร่ ออกร้อนแห้งแล้งหน่อย มีโขดหินซะเป็นส่วนใหญ่และเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวตามโขดหินทั่วๆไป เทียบกับป่าทางแขวงบอลิคำไซไม่ได้เลย เพราะทางนี้เป็นภูเขาสูงชันเป็นป่ารกและชื้นมาก ชนิดที่ว่าตากผ้าบนภูเขา 2 วัน ยังไม่แห้งสนิทเลย ..
ซึ่งการเป็นพระแล้วออกมาธุดงค์เดินทางตามถิ่นทุรกันดารต่างๆ อยู่กินตามป่าตามเขา ไม่มีไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆใช้ อยู่เพื่อการละซึ่งกิเลสนั้นเป็นเรื่องที่แสนยากลำบากมากครับ เราๆท่านๆที่เป็นเพียงผู้ติดตามยังเหนื่อยยังท้อใจเองเลย ไม่ได้สุขสบายแม้แต่น้อยเหมือนพระตามบ้านหรือพระในเมืองทั่วๆไป ที่กินอยู่อย่างสุขสบายกันซะส่วนใหญ่ ทั้งแย่งกิจนิมนต์ แย่งซองปัจจัยกันตามงานสวดต่างๆ .. กล่าวกันตรงๆว่าพระสงฆ์ส่วนใหญ่นั้น มีกิเลสมากและหนากว่าคนธรรมดามากครับ เพราะมาบวชเพื่อแสวงหาชื่อเสียงเงินทอง ตำแหน่งพัดยศ สะสมกิเลส .. น้อยนักที่จะมาบวชเพื่อละกิเลสกัน ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ในประเทศลาวก็เช่นเดียวกัน เห็นแล้วก็ปลงคับ
เมฆปกคลุมภูเขาควาย - แขวงบอลิคำไซ
หลวงพ่อท่านก็อยู่บนภูเขาควายที่บริเวณถ้ำสะแนน เพื่อปฏิบัติธรรมในพรรษานั้นเพียงรูปเดียวเพราะพระสงฆ์ลาวรูปอื่นๆต่างก็ไม่กล้าขึ้นไปอยู่ด้วย โดยขึ้นมาอยู่ห่างจากวัดโพไซยาลามซึ่งอยู่ตรงตีนเขากลางหมู่บ้านข้างล่าง ซึ่งต้องเดินเท้าไปกลับเป็นระยะทางกว่า 6 กิโลเมตร (กิโลแม้ว เพราะเป็นถ้ำเขาสูงชัน) ทุกวัน เพื่อมาฉันอาหารเช้าเพียงครั้งเดียว อาทิตย์แรกท่านก็พอเดินไหว แต่ต่อมาท่านเดินทุกวันไม่ค่อยจะไหวเพราะเริ่มชราอายุมากแล้ว เลยอาศัยว่า 2-3 วัน จึงค่อยลงมาฉันอาหารภายในวัดสักครั้งหนึ่ง !!!!
.. ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่บนภูเขาควายเป็นเวลาหลายเดือนนั้น ท่านก็ได้เขียนบันทึกเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ทั้งเรื่องชีวิตประจำวันตั้งแต่วันแรกที่ท่านออกบวชมา และเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับต่างๆ ผมไม่ขอเปิดเผยข้อมูลเพราะท่านบันทึกไว้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ท่านสั่งห้ามเผยแพร่ใดๆทั้งสิ้น แต่จะขอกล่าวเพียงสั้นๆว่า ภูมิ เทวดา นรก สวรรค์ สิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นนั้นมีจริงครับ ใครจะเชื่อก็เชือ ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่ากันเพราะสุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน ..
ท่านบอกผมว่า บนภูเขาควายนั้นมีสิ่งศักดื์สิทธิ์และของมีค่ามากมาย ที่ดูแลรักษาอยู่โดยภูมิ เทวดา และสิ่งที่มองไม่เห็นหรือพิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือวัดทางวิทยาศาตร์สมัยใหม่ หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้สนใจอะไรกับบรรดาของเหล่านี้ รวมทั้งพวกเรื่องเหล็กไหลด้วย ท่านบอกแต่เพียงว่า มันไม่ใช่สิ่งที่ควรใส่ใจ และไม่ใช่หนทางธรรม .. ท่านเพียงต้องการไปเพื่อปฏิบัติธรรม ภาวนาและบำเพ็ญเพียรเท่านั้น .. ส่วนใครที่อยากจะได้หรืออยากไปเอาของมีค่าต่างๆ ท่านก็บอกได้แค่เพียงว่าก็ห้ามกันไม่ได้ แต่ก็ต้องเจอกับอันตรายมากมายทั้งจากคน สัตว์ หรือทหารลาวจับกุมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็นซึ่งจะเข้ามาขัดขวางผู้ที่มีกิเลสหนา จนแทบรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ ทั้งคนทั้งพระหายสาปสูญไปก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ หลายที่หลายแห่งก็เจอโครงกระดูกมนุษย์อยู่ตามซอกหลีบผาต่างๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติอีกนั่นแหล่ะครับ ..
.. ประเทศลาวนั้นเขาหวงแหนภูเขาลูกนี้มากครับ ไม่ได้มีการขายภูเขาลูกนี้ให้กับประเทศญี่ปุ่นตามคำกล่าวอ้างต่างๆดังนิทานหลอกเด็กแต่อย่างใด ทั้งหน่วยงานราชการต่างๆ ตำรวจ ทหารลาว เขาเข้มงวดมากๆและมากที่สุดคับ คนธรรมดาทั่วๆไปไม่มีทางสุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นไปอยู่ได้เลย แค่โดนกองหลอน (คล้ายๆตำรวจบ้าน) เล่นงานก็เหนื่อยจะแย่แล้ว เขาจะคอยจับตาดูกลุ่มคนแปลกหน้าที่เข้ามาในพื้นที่ของเขาเพื่อรายงานกับทางราชการโดยตลอด และก็อาจเกิตเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ (เป็นธรรมดาของประเทศคอมมิวนิสต์) ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของเขาโดยเฉพาะภูเขาควาย ซึ่งเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติลาวด้วยแล้ว
ภาพถ่ายบนภูเขาควาย - บริเวณถ้ำสะแนน
หลวงพ่อท่านไม่ได้สนใจเรื่องลาภยศ ไม่เอา ไม่รับ ไม่สร้างวัตถุหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ไม่สะสมเงินทองหรืออะไรทั้งสิ้น ท่านไม่ได้เป็นเกจิหรือมีชื่อเสียงใดๆ เป็นเพียงพระแก่ชรารูปหนึ่งเท่านั้น .. ปัจจุบันนี้ท่านไปๆมาๆระหว่างไทยลาวอยู่ตลอด โดยบางพรรษาท่านก็ออกธุดงค์เข้าไปถึงในเขตประเทศเขมรเพียงลำพัง ผ่านทางเมืองปากเซเรื่อยเข้าไป .. พักหลังๆมานี้ส่วนมากก็จะพำนักอยู่ที่บ้านเกิดทางภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะตอนนี้ท่านก็อายุได้ 70 กว่าปี แล้ว ยังแข็งแรงดีมาก เป็นบุญให้ลูกหลานครับ
เขมร - ปี 2559
ปล.ขอไม่เอ่ยนามหลวงพ่อนะครับ ถ้าอยากรู้จริงๆและก็ถ้าใครมีโอกาสได้ไปแถวนั้น ก็ลองไปถามชาวบ้านนาไซ หรือพระวัดโพไซยาลาม เมิองพะพุดทะบาด แขวงบอริคำไซ ว่า .. เคยมีญาท่าน(คนลาวเขาเรียกแบบนี้) ที่มาจากไทยแล้วไปจำพรรษาบนถ้ำสะแนนภูเขาควายคนเดียวจนหมดพรรษา ว่าท่านชื่ออะไร ชาวบ้านแถวนั้นรู้จักหมดครับ เพราะเป็นที่เล่าขานกันเลยทีเดียว ..
คล้อยหลังมาอีกหลายเดือนขณะที่หลวงพ่อกลับมาจำพรรษาที่วัดนาหลวง อำเภอบ้านผือ เรื่องเล่านี้ก็ไปไกลถึงหูสังฆราชลาว และที่ปรึกษาใหญ่คณะสงฆ์แห่งชาติลาว (ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าคณะใหญ่อีกทีหนึ่ง) ทำให้พระผู้ใหญ่ในประเทศลาวได้มีการเรียกประชุมเจ้าคณะแขวงและเจ้าอาวาสวัดทั่วแขวงบอลิคำไซ สอบถามว่าจริงหรือไม่ที่มีพระไทยรูปหนึ่งไปจำพรรษาคนเดียวบนถ้ำสะแนนภูเขาควาย แล้วรอดกลับลงมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร และมีคำสั่งเป็นเด็ดขาดว่า ห้ามหลวงพ่อท่านนี้เข้าไปบนภูเขาควายอีก .. จากการสอบถามแล้วก็ได้ความว่า เขาเกรงว่าจะมีคนนอกไปเอาทรัพย์สมบัติและของมีค่าของเขา หรือทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามบนนั้น เพราะเคยมีคณะสงฆ์และพระสงฆ์จากไทยรวมทั้งพระสงฆ์ของลาวเองจำนวนหนึ่ง ได้ขึ้นไปทำสิ่งไม่ดีงามบนภูเขาควายไว้หลายครั้งครา .. !! แต่ถ้าเราปฏิบัติดี มีศีลธรรมที่ดีก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร ..
สุดท้ายเรื่องวุ่นวายก็จบลงด้วยดี เพราะที่ปรึกษาใหญ่คณะสงฆ์แห่งชาติลาวนั้นท่านก็ได้เข้าใจเจตนาของหลวงพ่อท่านเป็นอย่างดี ด้วยท่านนั้นได้สอบถามจากหน่วยงานราชการ ตำรวจ ทหารและผู้นำชุมชม ซึ่งเป็นหูเป็นตาอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเชิญให้กลับมาพำนักต่ออย่างมีมิตรไมตรีเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ และท่านปรึกษาใหญ่คณะสงฆ์แห่งชาติลาวก็ได้มรณะภาพไปในปีต่อมา .. โดยทางประเทศลาวเองก็ยังเคร่งครัด กับการที่บุคคลใดจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้เหมือนเช่นเดิม
ที่เล่ามาเพียงเพราะอยากแชร์ประสบการณ์เท่านั้น เพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาเพื่อดำรงพระพุทธศาสนาและประพฤติชอบในทางที่ดี ..
รายละเอียดเรื่องราวต่างๆ นั้นมีมาก .. แต่ขอเล่าเพียงเท่านี้ละกันคับ
ปัจจุบัน - ที่บ้านเกิด