สวัสดีค่ะ เจ้าของกระทู้เพิ่งไปผ่าตัดเนื้องอกและถุงน้ำในรังไข่มา ซึ่งตอนตรวจเจอแรกๆเข้ามาหาข้อมูลในนี้เยอะมาก เลยคิดว่าถ้าตัวเองผ่าเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมาแชร์ประสบการณ์บ้าง กระทู้นี้เป็นการเล่าเรื่องของเราให้ฟังนะคะ อาจไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ ถือว่ามาฟังเราเล่าขำๆก็แล้วกันนะคะ
1. ตรวจเจอได้อย่างไร
ขอเกริ่นนำก่อนว่าจขกท.ปีนี้อายุ 34 แล้ว เป็นประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุ 11-12 เป็นครั้งละ 7 วัน และทุกครั้งที่เป็นประจำเดือนจะปวดท้องหนักมากเป็นปกติทุกเดือน ประจำเดือนมาเยอะทุกเดือน มีลิ่มเลือดทุกเดือน ตรงนี้ทำให้ไม่รู้เลยว่าเริ่มผิดปกติตั้งแต่ตอนไหน เพราะก็ปวดท้องมาก ปวดแบบร้าวลงขา ปวดหลังปวดจนเหงื่อออก ตัวเย็น แล้วประจำเดือนก็มาเยอะแบบ 3-4 วันแรกนี่ใช้ผ้าอนามัยแผ่นกลางคืนแบบ 6-7 แผ่นแบบเต็มปริ่มตลอด ตั้งแต่เด็กๆจนปัจจุบัน แต่ปีนี้เราเริ่มออกกำลังกายค่ะ เทรนเนอร์เคยทักแบบบ่นๆขำๆว่า "ตรงอื่นก็เริ่มยุบลงแล้วนะ ทำไมท้องไม่ยุบลงเลย ทั้งๆที่ก็เล่นท้องเยอะนะ" เราก็ขำๆอ่ะ คือก็กินเยอะไม่ได้คิดว่าอะไร ก็คิดว่าเออก็อ้วนแหละ แล้วเราอ้วนขึ้นจริงๆช่วง 3-4 ปีมานี้คือน้ำหนักขึ้นมา 7-8 กิโล พุงป่องมากกก ยิ่งเวลาจะเป็นประจำเดือนคือยิ่งป่อง ป่องเหมือนคนท้องจนเราแซวตัวเองว่านี่คอสเพลย์คนท้องอยู่ 555 เคๆกลับมาต่อๆ หลักจากที่เทรนเนอร์ทักเราก็ไม่ได้อะไรจนวันนึงเราคลำที่ท้องแล้วเจอก้อนตรงท้องน้อยก็เลยตัดสินใจไปตรวจดู ที่แรกที่เรามาตรวจก็คือโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนี่แหละ (ไม่ขอบอกชื่อนะคะ)
มาที่แผนกสูตินรีเวช ก็ตามการตรวจภายในปกติค่ะ แต่เพิ่มมาคืออัลตราซาวช่องท้อง (ทั้งแบบหน้าท้องและทางช่องคลอดค่ะ) ผลคือเจอเนื้องอกในมดลูกขนาด 6 cm (เส้นผ่าศูนย์กลางนะคะ) กับถุงน้ำที่รังไข่ด้านขวาขนาดเท่ากัน คุณหมอให้ความเห็นว่าควรผ่าเพราะไม่มีทางอื่นที่จะเล็กลงแล้ว ถามเราว่านัดวันเลยไหม ค่าผ่ารวมทุกอย่างอยู่ที่ประมาณ 250,000 เป็นผ่าแบบเปิดหน้าท้องนะ เราถามว่าของเราส่องกล้องได้ไหมคุณหมอบอกว่ายังพอได้แต่เหมือนจะอยากผ่าแบบเปิดหน้าท้องอยู่เพราะบอกว่าจะเห็นชัดกว่า แผนการรักษาคือเปิดเข้าไปแล้วเลาะแค่ก้อนเนื้อ ด้วยความที่ขนาดเนื้องอกเราค่อนข้างใหญ่คุณหมอจะพยายามเลาะแค่ก้อนเนื้อเก็บมดลูกเอาไว้ ส่วนตรงรังไข่ถ้าเลาะไม่ได้จริงๆคงต้องตัดออก พอฟังตรงนี้จบปุ๊ป ใจหายว๊าบเลยค่าาา คือนี่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการมีรังไข่เลยเด้อพอเจอว่าอาจต้องตัดนี่เหวอไปเลย (แต่เข้าใจคุณหมอนะคะว่าก็ต้องบอกสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดให้ทำใจ) วันนั้นเราตัดสินใจยังไม่นัดค่ะ เราคิดว่าเราต้องมี second opinion
2. การตรวจอีกครั้งเพื่อหา second opinion
เราหาข้อมูลอยู่เยอะพอสมควรค่ะ ถามหลายคนมากว่าไปที่ไหนดี และจากการถามหานี่แหละทำให้เรารู้ว่าโรคนี้นี่ผู้หญิงเป็นกันเยอะจริงๆ มีทั้งตรวจเจอแล้วตามดูอาการ เคยผ่ามาแล้ว บางคนผ่ามาแล้ว 2 รอบก็มี สุดท้ายเราเลือกไปที่รามาพรีเมี่ยมค่ะ เพราะไม่ไกลจากที่พักเรามาก อาคารสถานที่สะดวกสบาย มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆแนะนำมาหลายคน และอีกอย่างคือเรารู้สึกอุ่นใจกับที่นี่เป็นการส่วนตัว เพราะจากข้างต้นคุณหมอที่แรกบอกว่าเราอาจต้องโดนตัดรังไข่ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากไปผ่าตัดในที่ที่ทำให้เราอุ่นใจว่าถ้าสุดท้ายเราต้องโดนตัดจริงๆเราจะโอเค (อันนี้เป็นอาการทางใจนะคะ จริงๆอาการที่เราเป็นเพื่อนบอกมันชิลและง่ายมาก หมอสูติทุกคนทำได้แบบชิลๆมาก แต่อย่างที่บอกค่ะมันเป็นการการทางใจ) ก็เลยตัดสินใจมาตรวจที่นี่มาเริ่มนับ 1 ใหม่ การมาตรวจที่รามาพรีเมี่ยมคือต้องโทรจองเท่านั้นนะคะ ไม่มี walk in ซึ่งโทรติดยากมากแต่ต้องโทรต่อไปค่ะอย่าหยุด และคิวที่นี่ยาวมากค่ะ ของเราไม่ได้ระบุคุณหมอคนไหนเป็นพิเศษ แค่ขอคิวที่เร็วที่สุด ซึ่งก็เดือนกว่าค่ะ 555
วันตรวจก็เริ่มกระบวนการเเหมือนเดิมค่ะ ซักประวัติแล้วอัลตราซาวดูก้อนเนื้อ ครั้งนี้เจอเพิ่มอีก 2 ก้อน 555 กลายเป็นก้อนเนื้องอก 3 ก้อน 6 cm กับ 2 cm อยู่ติดกันทาางด้านหน้าและขนาด 1 cm ตรงด้านหลัง ครั้งนี้หมอไม่เห็นถุงน้ำที่รังไข่นะคะ แต่การตรวจที่นี่ต่างจากที่ก่อนหน้าคือไม่ได้ซาวหน้าท้องค่ะ สันนิษฐานว่ารังไข่ที่เห็นตอนครั้งนั้นน่าจะโตขึ้นมากเพราะฮอโมนค่ะ (ครั้งก่อนไปตรวจก่อนเป็นประจำเดือน แต่ครั้งนี้มาตรวจหลังเป็นประจำเกือนไปแล้วเกือบอาทิตย์ และเราคลำไม่เจอก้อนที่หน้าท้องแล้วด้วย) คุณหมอก็อธิบายแผนการรักษาบอกว่าถ้าไม่ผ่าก็ฉีดยาแต่ขนาดจะลดลงแค่ 30% และทำได้แค่ 6 เดือน เสี่ยงกระดูกพรุน ถ้าผ่าตัดมี 2 แบบคือผ่าเปิดหน้าท้องกับส่องกล้อง คุณหมออธิบายข้อดีข้อเสียของทั้งสองวิธี ซึ่งคุณหมอแนะนำการผ่าส่องกล้อง เพราะแผลเล็กขนาดแค่ 5-10 มิล เจาะที่ท้อง3-4 รู เสียเลือดน้อยกว่า ลดอาการเป็นพังผืด ลดอาการอักเสบ การติดเชื้อ การพักฟื้นก็น้อยกว่า พอส่องกล้องเข้าไปถ้าเห็นก้อนเพิ่มเติมจากที่ซาวก็จะเอาออกมาให้หมดไม่ต้องห่วง การรักษาก็เอาแต่ก้อนเนื้อออกเก็บมดลูกไว้ ค่ารักษารวมทุกอย่างคือ 100,000-120,000 พักฟื้นประมาณ 2 คืน คุณหมออธิบายเสร็จก็หยุด จนเรางงว่าคือยังไงจะผ่าไม่ผ่าอ่ะจนต้องถามหมอว่างั้นผ่าเลยได้ไหม คุณหมอก็ได้ งั้นนัดผ่าเลยนะ เปิดปฏิทินดูบอกคิวเร็วสุดก็เดือนกว่า แต่เราเปรี้ยวกว่านั้นถามกลับไปว่าขอไปเที่ยวก่อนได้ไหม คุณหมอตอบมา "ด้ายยย ไปเที่ยวเลยให้สบาย" สรุปก็นัดวันผ่าหลังเรากลับจากไปเที่ยว ก็ประมาณ 2 เดือนกว่าๆจากวันตรวจ แต่ก่อนจะผ่าก็มีกระบวนการเตรียมตัวอีกหลายอย่างเหมือนกันค่ะ
3. การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
ประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนผ่าเราต้องมาตรวจร่างกายพร้อมกับพบวิสัญญีแพทย์เพื่อประเมิณความพร้อมก่อนผ่า ก็ตรวจเลือด ตรวจปัสวะ x-ray ปอดตามปกติ แล้วก็ตามคาดผลเลือดเราก็เละๆเทะๆ 555 คือซีดมาก ค่าเลือดคือ 10.2 เม็ดเลือดแดงก็เล็ก คุณหมอก็บอกให้เราไปบำรุงเยอะๆนะ เพราะเราซีดมันเสี่ยงว่าต้องให้เลือดตอนผ่า ผ่าตัดลักษณะแบบนี้มันคือการเลาะชิ้นเนื้อมันเสี่ยงที่จะเสียเลือดเยอะ ถ้าไม่จำเป็นคุณหมอไม่อยากให้ได้รับเลือดคนอื่น แต่ผลอย่างอื่นดีหมด
พูดถึงผลเลือดที่เราไม่แปลกใจเพราะเราซีดมาตั้งแต่เด็กๆ เคยตรวจธาลัตซีเมียแล้วก็ไม่ได้เป็นไม่เป็นพาหะด้วย แต่ครั้งนี้คือไหนๆละก็เลยมาหาคุณหมอเฉพาะทางโรคเลือดอีกด้วยเลยแล้วกัน ผลตรวจก็เหมือนเดิมค่ะ เลือดจาง เม็ดเลือดแดงเล็ก แต่ไม่ได้เป็นโรคเลือดอะไรไม่ได้เป็นพาหะ คุณหมอก็บอกว่าแปลกดีแต่สันนิษฐานว่าน่าจะเพราะเป็นเนื้องอกนี่แหละ เพราะมันทำให้ประจำเดือนเรามาเยอะมาก พอเสียเลือดมากๆทุกเดือนก็อาจขาดธาตุเหล็กเรื้อรัง จนทำให้เม็ดเลือดแดงเล็ก คุณหมอก็บอกว่าให้กินยาบำรุงเลือดไปก่อนแล้วรอดูว่าหลังผ่าจะดีขึ้นไหม
4. เมื่อถึงเวลาต้องผ่าตัด
บอกเลยว่าตั้งแต่การพบคุณหมอที่นี้ครั้งแรกเราคือชิลมากกก ไม่กังวลอะไรเลย เพราะคุณหมอก็ชิลๆมากเหมือนกัน เราเลยรู้สึกสบายใจไร้กังวล 5555 แต่พอมันใกล้ถึงวันที่จะต้องผ่านี่แหละค่ะ มันตื่นเต้นเด้อออ 5555 วันที่ต้องมา admit เพื่อเตรียมตัวก่อนผ่า 1 คืน เราเนี่ยมาแบบชิลๆ กะ check in เข้าห้องแล้วจะออกไปหาของกิน คุณพยาบาลบอก "check in แล้วคนป่วยออกไปจากวอร์ดไม่ได้แล้วนะคะ" 55 ประโยคนี้คือทำเราปลดล็อคความชิลเลยจ้า ฮื่ออออ ไม่ชิลแล้วตื่นเต้นเว่อ แล้วหลังจากนั้นคุณพยาบาลมาวัดความดันกับชีพจรกี่รอบคือสูงทุกรอบ จนเรากับคุณพยาบาลขำ เราต้องบอกว่าตื่นเต้นค่ะ 55 คืนนี้มีคุณพยาบาลมาซักประวัติกับคุณหมออีกท่านที่เป็นทีมผ่าแต่ไม่ใช่คุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาคุย คุณหมอบอกว่าขนาดก้อนเนื้อของเราถือว่ากลางๆไม่เล็กไม่ใหญ่ไม่น่ากังวล หมอเคยเจอถึงขนาด 15 cm แล้วคุณหมอก็บอกว่าต้องมีเหน็บยานะคืนนี้ ให้ปากมดลูกขยายตัวหรืออ่อนตัวนี่แหละเราจำได้ไม่ชัดค่ะขออภัย เพราะจะมีการสอดเครื่องมือเข้าไปทางช่องคลอด อันนี้พีคค่ะเพราะไม่รู้มาก่อน หน้าตาเราคงออกอาการ คุณหมอเลยปลอบว่าไม่ต้องห่วงจะสอดไปตอนเราหลับแล้วแค่ตื่นมาอาจเจ็บๆหน่อย ฟังแล้วก็ยังไม่ได้รู้สึกเบาใจเลยเด้ออออ 5555
คืนนั้นคุณพยาบาลก็เข้าๆออกๆเรื่อยๆค่ะ วัดความดัน+ชีพจร (เหมือนเดิมค่ะตื่นเต้นจนสูงทุกรอบ) มาเหน็บยาให้บอกว่าอาจปวดหน่วงที่ท้องถ้าปวดมากให้ขอยาไม่ต้องทน ซึ่งเราไม่ปวดเลยโชคดีมากเพราะเคยอ่านมาบางคนปวดมากจนทนเกือบไม่ไหว เราถามพยาบาลทุกรอบว่าจะมีให้ยาคลายเครียดไหม เพราะตอนพบคุณหมอวิสัญญีคุณหมอว่าจะให้ แต่ไปๆมาๆคุณหมอไม่ได้สั่งให้ค่ะ เราก็นอนเล่นมือถือไป คุณพยาบาลเข้ามารอบสุดท้ายตอนเที่ยงคืนบอกว่าต้องงดน้ำแล้วนะคะ (เราผ่าแปดโมงเช้าค่ะ) ยังถามหายาคลายเครียดอีกรอบสรุปอดค่ะคุณหมอไม่สั่ง ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับกว่าจะหลับนู้นนนนนน ตีสองจ้า
พอเวลาประมาณ 05.30 คุณพยาบาลมาปลุกเพื่อเตรียมตัวแล้วค่ะ ก็มาเช็ดทำความสะอาดสะดือ แล้วเราก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอเวลา พอ 07.00 ห้องผ่าตัดก็มารับ คือตื่นเต้นอีกแล้วจ้าาาา จังหวะการนอนบนเตียงแล้วโดนเข็นนี่คือตื่นเต้นจริงๆ พอมาถึงห้องผ่าตัดก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ คุณพยาบาลมาเจาะให้น้ำเกลือ เหมือนเดิมวัดความดัน+ชีพจรก็สูงอีกนั้นแหละ บอกคุณพยาบาลทุกรอบตื่นเต้นค่าาา 55 07.30 หรือ 07.45 ประมาณนี้จำไม่ได้ละ คุณหมอเจ้าของไข้มาคุยด้วยเรื่องแผนการผ่า ก็เหมือนเดิมจะเอาแค่ก้อนเนื้อออกเก็บทุกอย่างไว้ นี่บอกคุณหมอไปตื่นเต้นค่ะ (คือน่าจะพูดประโยคนี้เป็นร้อยรอบแล้วล่ะตั้งแต่มา) คุณหมอก็ขำๆบอกไม่ต้องตื่นเต้น ตื่นเต้นทำไมไม่มีอะไรเลย พอ 08.00 ก็โดนเข็นเข้าห้องผ่าตัด อันนี้ตลกเราแอบยิ้มเลยเพราะตอนกำลังเข็นเข้าห้องคือไปพร้อมเสียงเพลงชาติเลยจ้า 55
ตอนนี้เข้ามาในห้องละก็เปลี่ยนมาขึ้นเตียงผ่าตัด ตรงนี้เราว่าพีคและตื่นเต้นสุดแล้วสำหรับเรา โดนแปะสายอะไรไม่รู้เยอะแยะ แล้วก็มีหน้ากากมาให้ดม คิดว่าคงเริ่มกระบวนการทำให้สลบจากตรงนี้แหละ พี่ๆที่มีประสบการณ์บอกว่าเค้านับกันว่านับถึงเท่าไหร่ถึงวูบดับเราก็พยายามนับบ้างได้ที่ 6 แหละ แต่อะไรหลายอย่างไม่เหมือนกับที่เราจินตนาการไว้เลย พอเริ่มสูดจังหวะแรกๆคือเราหูอื้อแบบวิ้งๆอื้อๆขึ้นมาเลย จังหวะนั้นคือเลิ่กลั่กมากตกใจ 555 คือไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าจะหูอื้อ มันปกติไหมวะ ต้องบอกหมอไหมวะ จังหวะต่อมาคือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เรารู้สึกเลยว่าขากับเท้าตกแบบนอนเท้าตั้งอยู่ดีๆมันตกตุบลงมาเลย ต่อมาก็แขน ต่อมาก็ที่ตา ซึ่งมันไม่ง่วงนะแต่มันเหมือนโดนบังคับให้หลับตา แบบเราไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อตาให้ลืมได้ แต่มันไม่ง่วง จังหวะนั้นเอาอีกละเลิ่กลั่กอีกแล้ว คิดในใจทำไมไม่ง่วงมันต้องง่วงไหม เกิดหลับตาไปแต่ไม่สลบล่ะจะเจ็บไหม แต่ไม่นานค่ะ พยายามฝืนลืมตาอยู่ 2-3 ครั้งก็ตาปิดแล้ววูบยาวไปเลยจ้าาาา
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้เราก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ “คุณ....ๆๆ” อยู่ 3 ครั้ง (ตอนแรกเราคิดว่าฝันแต่แม่บอกว่าน่าจะคุณหมอปลุกแหละใครจะมาเรียกเธอนอกจากหมอ) ความรู้สึกมันเหมือนฝันเลยค่ะ ทุกอย่างเป็นสีดำมืดไปหมดแล้วเหมือนมีคนมาเรียกชื่อจากที่ไกลๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเราตอบอะไรไปไหม แต่จังหวะนั้นเหมือนยังเบลอๆในใจคือคิดว่า “ต้องตื่นแล้วเหรอ ง่วงอ่ะ ยังไม่อยากตื่น” แล้วก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า “โอเคนอนต่อได้ หลับต่อได้” แล้วเราก็หลับต่อจริงๆ 55 (ตอนนี้คือภาวนาว่าขอแค่คิดในใจทีเหอะอย่าพูดออกไปเลย อายยยย) หลังจากนั้นนานแค่ไหนไม่รู้เราก็ตื่นค่ะ มันไม่ได้รู้สึกเหมือนคนตื่นนอนนะคะ แต่แค่รู้สึกว่าร่างกายมันตื่นเองตามันลืมเอง แต่ตากับตัวยังรู้สึกหนักๆยังบังคับอะไรไม่ได้มากอยู่ พยายามดูนาฬิกาก็สายตาสั้นมองไม่เห็น 55
พอเราตื่นคุณพยาบาลก็เดินมาหา คิดว่าน่าจะรู้จากสัญญาณชีพเพราะเราแค่ตื่นมานอนกระพริบตาปริบๆ พอแบบตื่นจริงๆปุ๊ปคุณพยาบาลก็เดินมาหาปั๊ปเลย เดินมาก็มาฉีดยาแก้ปวดให้ คำถามเราที่ถามคือ “ได้ให้เลือดไหมคะ” คุณพยาบาลบอกไม่ได้ให้ก็โล่งไป กับบอกไปอีกว่า “ปวดฉี่อ่ะค่ะ” คุณพยาบาลบอกว่าใส่สายปัสสาวะให้แล้วมันจะออกมาเอง แต่นี่ไม่จบยังพูดต่อ “แต่มันปวดอ่ะค่ะ” คุณพยาบาลคงรำคาญเลยบอกว่า “ปวดก็ปล่อยออกมาเลยครับ” 555 ตื่นได้สักพักก็ได้เวลากลับห้อง ถามเวลาแล้วประมาณ 12.30 ตอนกำลังจะเข็นเตียงออกมาคุณพยาบาลมาดูแล้วก็คุยกัน “อ้าว...คนไข้ซีดป่าวเนี่ย” พูดจบหยิบมือเราขึ้นมาดูเล็บ “อ่อ...ไม่ได้ซีด คนไข้ขาว” 555
*ข้อความเต็มต่อด้านล่างนะคะ
เล่าประสบการณ์: ผ่าตัดเนื้องอกที่มดลูกและถุงน้ำที่รังไข่ มันไม่ได้น่ากลัวแบบที่หลายคนคิด
1. ตรวจเจอได้อย่างไร
ขอเกริ่นนำก่อนว่าจขกท.ปีนี้อายุ 34 แล้ว เป็นประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุ 11-12 เป็นครั้งละ 7 วัน และทุกครั้งที่เป็นประจำเดือนจะปวดท้องหนักมากเป็นปกติทุกเดือน ประจำเดือนมาเยอะทุกเดือน มีลิ่มเลือดทุกเดือน ตรงนี้ทำให้ไม่รู้เลยว่าเริ่มผิดปกติตั้งแต่ตอนไหน เพราะก็ปวดท้องมาก ปวดแบบร้าวลงขา ปวดหลังปวดจนเหงื่อออก ตัวเย็น แล้วประจำเดือนก็มาเยอะแบบ 3-4 วันแรกนี่ใช้ผ้าอนามัยแผ่นกลางคืนแบบ 6-7 แผ่นแบบเต็มปริ่มตลอด ตั้งแต่เด็กๆจนปัจจุบัน แต่ปีนี้เราเริ่มออกกำลังกายค่ะ เทรนเนอร์เคยทักแบบบ่นๆขำๆว่า "ตรงอื่นก็เริ่มยุบลงแล้วนะ ทำไมท้องไม่ยุบลงเลย ทั้งๆที่ก็เล่นท้องเยอะนะ" เราก็ขำๆอ่ะ คือก็กินเยอะไม่ได้คิดว่าอะไร ก็คิดว่าเออก็อ้วนแหละ แล้วเราอ้วนขึ้นจริงๆช่วง 3-4 ปีมานี้คือน้ำหนักขึ้นมา 7-8 กิโล พุงป่องมากกก ยิ่งเวลาจะเป็นประจำเดือนคือยิ่งป่อง ป่องเหมือนคนท้องจนเราแซวตัวเองว่านี่คอสเพลย์คนท้องอยู่ 555 เคๆกลับมาต่อๆ หลักจากที่เทรนเนอร์ทักเราก็ไม่ได้อะไรจนวันนึงเราคลำที่ท้องแล้วเจอก้อนตรงท้องน้อยก็เลยตัดสินใจไปตรวจดู ที่แรกที่เรามาตรวจก็คือโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนี่แหละ (ไม่ขอบอกชื่อนะคะ)
มาที่แผนกสูตินรีเวช ก็ตามการตรวจภายในปกติค่ะ แต่เพิ่มมาคืออัลตราซาวช่องท้อง (ทั้งแบบหน้าท้องและทางช่องคลอดค่ะ) ผลคือเจอเนื้องอกในมดลูกขนาด 6 cm (เส้นผ่าศูนย์กลางนะคะ) กับถุงน้ำที่รังไข่ด้านขวาขนาดเท่ากัน คุณหมอให้ความเห็นว่าควรผ่าเพราะไม่มีทางอื่นที่จะเล็กลงแล้ว ถามเราว่านัดวันเลยไหม ค่าผ่ารวมทุกอย่างอยู่ที่ประมาณ 250,000 เป็นผ่าแบบเปิดหน้าท้องนะ เราถามว่าของเราส่องกล้องได้ไหมคุณหมอบอกว่ายังพอได้แต่เหมือนจะอยากผ่าแบบเปิดหน้าท้องอยู่เพราะบอกว่าจะเห็นชัดกว่า แผนการรักษาคือเปิดเข้าไปแล้วเลาะแค่ก้อนเนื้อ ด้วยความที่ขนาดเนื้องอกเราค่อนข้างใหญ่คุณหมอจะพยายามเลาะแค่ก้อนเนื้อเก็บมดลูกเอาไว้ ส่วนตรงรังไข่ถ้าเลาะไม่ได้จริงๆคงต้องตัดออก พอฟังตรงนี้จบปุ๊ป ใจหายว๊าบเลยค่าาา คือนี่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการมีรังไข่เลยเด้อพอเจอว่าอาจต้องตัดนี่เหวอไปเลย (แต่เข้าใจคุณหมอนะคะว่าก็ต้องบอกสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดให้ทำใจ) วันนั้นเราตัดสินใจยังไม่นัดค่ะ เราคิดว่าเราต้องมี second opinion
2. การตรวจอีกครั้งเพื่อหา second opinion
เราหาข้อมูลอยู่เยอะพอสมควรค่ะ ถามหลายคนมากว่าไปที่ไหนดี และจากการถามหานี่แหละทำให้เรารู้ว่าโรคนี้นี่ผู้หญิงเป็นกันเยอะจริงๆ มีทั้งตรวจเจอแล้วตามดูอาการ เคยผ่ามาแล้ว บางคนผ่ามาแล้ว 2 รอบก็มี สุดท้ายเราเลือกไปที่รามาพรีเมี่ยมค่ะ เพราะไม่ไกลจากที่พักเรามาก อาคารสถานที่สะดวกสบาย มีเพื่อนๆพี่ๆน้องๆแนะนำมาหลายคน และอีกอย่างคือเรารู้สึกอุ่นใจกับที่นี่เป็นการส่วนตัว เพราะจากข้างต้นคุณหมอที่แรกบอกว่าเราอาจต้องโดนตัดรังไข่ เราเลยรู้สึกว่าเราอยากไปผ่าตัดในที่ที่ทำให้เราอุ่นใจว่าถ้าสุดท้ายเราต้องโดนตัดจริงๆเราจะโอเค (อันนี้เป็นอาการทางใจนะคะ จริงๆอาการที่เราเป็นเพื่อนบอกมันชิลและง่ายมาก หมอสูติทุกคนทำได้แบบชิลๆมาก แต่อย่างที่บอกค่ะมันเป็นการการทางใจ) ก็เลยตัดสินใจมาตรวจที่นี่มาเริ่มนับ 1 ใหม่ การมาตรวจที่รามาพรีเมี่ยมคือต้องโทรจองเท่านั้นนะคะ ไม่มี walk in ซึ่งโทรติดยากมากแต่ต้องโทรต่อไปค่ะอย่าหยุด และคิวที่นี่ยาวมากค่ะ ของเราไม่ได้ระบุคุณหมอคนไหนเป็นพิเศษ แค่ขอคิวที่เร็วที่สุด ซึ่งก็เดือนกว่าค่ะ 555
วันตรวจก็เริ่มกระบวนการเเหมือนเดิมค่ะ ซักประวัติแล้วอัลตราซาวดูก้อนเนื้อ ครั้งนี้เจอเพิ่มอีก 2 ก้อน 555 กลายเป็นก้อนเนื้องอก 3 ก้อน 6 cm กับ 2 cm อยู่ติดกันทาางด้านหน้าและขนาด 1 cm ตรงด้านหลัง ครั้งนี้หมอไม่เห็นถุงน้ำที่รังไข่นะคะ แต่การตรวจที่นี่ต่างจากที่ก่อนหน้าคือไม่ได้ซาวหน้าท้องค่ะ สันนิษฐานว่ารังไข่ที่เห็นตอนครั้งนั้นน่าจะโตขึ้นมากเพราะฮอโมนค่ะ (ครั้งก่อนไปตรวจก่อนเป็นประจำเดือน แต่ครั้งนี้มาตรวจหลังเป็นประจำเกือนไปแล้วเกือบอาทิตย์ และเราคลำไม่เจอก้อนที่หน้าท้องแล้วด้วย) คุณหมอก็อธิบายแผนการรักษาบอกว่าถ้าไม่ผ่าก็ฉีดยาแต่ขนาดจะลดลงแค่ 30% และทำได้แค่ 6 เดือน เสี่ยงกระดูกพรุน ถ้าผ่าตัดมี 2 แบบคือผ่าเปิดหน้าท้องกับส่องกล้อง คุณหมออธิบายข้อดีข้อเสียของทั้งสองวิธี ซึ่งคุณหมอแนะนำการผ่าส่องกล้อง เพราะแผลเล็กขนาดแค่ 5-10 มิล เจาะที่ท้อง3-4 รู เสียเลือดน้อยกว่า ลดอาการเป็นพังผืด ลดอาการอักเสบ การติดเชื้อ การพักฟื้นก็น้อยกว่า พอส่องกล้องเข้าไปถ้าเห็นก้อนเพิ่มเติมจากที่ซาวก็จะเอาออกมาให้หมดไม่ต้องห่วง การรักษาก็เอาแต่ก้อนเนื้อออกเก็บมดลูกไว้ ค่ารักษารวมทุกอย่างคือ 100,000-120,000 พักฟื้นประมาณ 2 คืน คุณหมออธิบายเสร็จก็หยุด จนเรางงว่าคือยังไงจะผ่าไม่ผ่าอ่ะจนต้องถามหมอว่างั้นผ่าเลยได้ไหม คุณหมอก็ได้ งั้นนัดผ่าเลยนะ เปิดปฏิทินดูบอกคิวเร็วสุดก็เดือนกว่า แต่เราเปรี้ยวกว่านั้นถามกลับไปว่าขอไปเที่ยวก่อนได้ไหม คุณหมอตอบมา "ด้ายยย ไปเที่ยวเลยให้สบาย" สรุปก็นัดวันผ่าหลังเรากลับจากไปเที่ยว ก็ประมาณ 2 เดือนกว่าๆจากวันตรวจ แต่ก่อนจะผ่าก็มีกระบวนการเตรียมตัวอีกหลายอย่างเหมือนกันค่ะ
3. การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
ประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนผ่าเราต้องมาตรวจร่างกายพร้อมกับพบวิสัญญีแพทย์เพื่อประเมิณความพร้อมก่อนผ่า ก็ตรวจเลือด ตรวจปัสวะ x-ray ปอดตามปกติ แล้วก็ตามคาดผลเลือดเราก็เละๆเทะๆ 555 คือซีดมาก ค่าเลือดคือ 10.2 เม็ดเลือดแดงก็เล็ก คุณหมอก็บอกให้เราไปบำรุงเยอะๆนะ เพราะเราซีดมันเสี่ยงว่าต้องให้เลือดตอนผ่า ผ่าตัดลักษณะแบบนี้มันคือการเลาะชิ้นเนื้อมันเสี่ยงที่จะเสียเลือดเยอะ ถ้าไม่จำเป็นคุณหมอไม่อยากให้ได้รับเลือดคนอื่น แต่ผลอย่างอื่นดีหมด
พูดถึงผลเลือดที่เราไม่แปลกใจเพราะเราซีดมาตั้งแต่เด็กๆ เคยตรวจธาลัตซีเมียแล้วก็ไม่ได้เป็นไม่เป็นพาหะด้วย แต่ครั้งนี้คือไหนๆละก็เลยมาหาคุณหมอเฉพาะทางโรคเลือดอีกด้วยเลยแล้วกัน ผลตรวจก็เหมือนเดิมค่ะ เลือดจาง เม็ดเลือดแดงเล็ก แต่ไม่ได้เป็นโรคเลือดอะไรไม่ได้เป็นพาหะ คุณหมอก็บอกว่าแปลกดีแต่สันนิษฐานว่าน่าจะเพราะเป็นเนื้องอกนี่แหละ เพราะมันทำให้ประจำเดือนเรามาเยอะมาก พอเสียเลือดมากๆทุกเดือนก็อาจขาดธาตุเหล็กเรื้อรัง จนทำให้เม็ดเลือดแดงเล็ก คุณหมอก็บอกว่าให้กินยาบำรุงเลือดไปก่อนแล้วรอดูว่าหลังผ่าจะดีขึ้นไหม
4. เมื่อถึงเวลาต้องผ่าตัด
บอกเลยว่าตั้งแต่การพบคุณหมอที่นี้ครั้งแรกเราคือชิลมากกก ไม่กังวลอะไรเลย เพราะคุณหมอก็ชิลๆมากเหมือนกัน เราเลยรู้สึกสบายใจไร้กังวล 5555 แต่พอมันใกล้ถึงวันที่จะต้องผ่านี่แหละค่ะ มันตื่นเต้นเด้อออ 5555 วันที่ต้องมา admit เพื่อเตรียมตัวก่อนผ่า 1 คืน เราเนี่ยมาแบบชิลๆ กะ check in เข้าห้องแล้วจะออกไปหาของกิน คุณพยาบาลบอก "check in แล้วคนป่วยออกไปจากวอร์ดไม่ได้แล้วนะคะ" 55 ประโยคนี้คือทำเราปลดล็อคความชิลเลยจ้า ฮื่ออออ ไม่ชิลแล้วตื่นเต้นเว่อ แล้วหลังจากนั้นคุณพยาบาลมาวัดความดันกับชีพจรกี่รอบคือสูงทุกรอบ จนเรากับคุณพยาบาลขำ เราต้องบอกว่าตื่นเต้นค่ะ 55 คืนนี้มีคุณพยาบาลมาซักประวัติกับคุณหมออีกท่านที่เป็นทีมผ่าแต่ไม่ใช่คุณหมอเจ้าของไข้เข้ามาคุย คุณหมอบอกว่าขนาดก้อนเนื้อของเราถือว่ากลางๆไม่เล็กไม่ใหญ่ไม่น่ากังวล หมอเคยเจอถึงขนาด 15 cm แล้วคุณหมอก็บอกว่าต้องมีเหน็บยานะคืนนี้ ให้ปากมดลูกขยายตัวหรืออ่อนตัวนี่แหละเราจำได้ไม่ชัดค่ะขออภัย เพราะจะมีการสอดเครื่องมือเข้าไปทางช่องคลอด อันนี้พีคค่ะเพราะไม่รู้มาก่อน หน้าตาเราคงออกอาการ คุณหมอเลยปลอบว่าไม่ต้องห่วงจะสอดไปตอนเราหลับแล้วแค่ตื่นมาอาจเจ็บๆหน่อย ฟังแล้วก็ยังไม่ได้รู้สึกเบาใจเลยเด้ออออ 5555
คืนนั้นคุณพยาบาลก็เข้าๆออกๆเรื่อยๆค่ะ วัดความดัน+ชีพจร (เหมือนเดิมค่ะตื่นเต้นจนสูงทุกรอบ) มาเหน็บยาให้บอกว่าอาจปวดหน่วงที่ท้องถ้าปวดมากให้ขอยาไม่ต้องทน ซึ่งเราไม่ปวดเลยโชคดีมากเพราะเคยอ่านมาบางคนปวดมากจนทนเกือบไม่ไหว เราถามพยาบาลทุกรอบว่าจะมีให้ยาคลายเครียดไหม เพราะตอนพบคุณหมอวิสัญญีคุณหมอว่าจะให้ แต่ไปๆมาๆคุณหมอไม่ได้สั่งให้ค่ะ เราก็นอนเล่นมือถือไป คุณพยาบาลเข้ามารอบสุดท้ายตอนเที่ยงคืนบอกว่าต้องงดน้ำแล้วนะคะ (เราผ่าแปดโมงเช้าค่ะ) ยังถามหายาคลายเครียดอีกรอบสรุปอดค่ะคุณหมอไม่สั่ง ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับกว่าจะหลับนู้นนนนนน ตีสองจ้า
พอเวลาประมาณ 05.30 คุณพยาบาลมาปลุกเพื่อเตรียมตัวแล้วค่ะ ก็มาเช็ดทำความสะอาดสะดือ แล้วเราก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ารอเวลา พอ 07.00 ห้องผ่าตัดก็มารับ คือตื่นเต้นอีกแล้วจ้าาาา จังหวะการนอนบนเตียงแล้วโดนเข็นนี่คือตื่นเต้นจริงๆ พอมาถึงห้องผ่าตัดก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบ คุณพยาบาลมาเจาะให้น้ำเกลือ เหมือนเดิมวัดความดัน+ชีพจรก็สูงอีกนั้นแหละ บอกคุณพยาบาลทุกรอบตื่นเต้นค่าาา 55 07.30 หรือ 07.45 ประมาณนี้จำไม่ได้ละ คุณหมอเจ้าของไข้มาคุยด้วยเรื่องแผนการผ่า ก็เหมือนเดิมจะเอาแค่ก้อนเนื้อออกเก็บทุกอย่างไว้ นี่บอกคุณหมอไปตื่นเต้นค่ะ (คือน่าจะพูดประโยคนี้เป็นร้อยรอบแล้วล่ะตั้งแต่มา) คุณหมอก็ขำๆบอกไม่ต้องตื่นเต้น ตื่นเต้นทำไมไม่มีอะไรเลย พอ 08.00 ก็โดนเข็นเข้าห้องผ่าตัด อันนี้ตลกเราแอบยิ้มเลยเพราะตอนกำลังเข็นเข้าห้องคือไปพร้อมเสียงเพลงชาติเลยจ้า 55
ตอนนี้เข้ามาในห้องละก็เปลี่ยนมาขึ้นเตียงผ่าตัด ตรงนี้เราว่าพีคและตื่นเต้นสุดแล้วสำหรับเรา โดนแปะสายอะไรไม่รู้เยอะแยะ แล้วก็มีหน้ากากมาให้ดม คิดว่าคงเริ่มกระบวนการทำให้สลบจากตรงนี้แหละ พี่ๆที่มีประสบการณ์บอกว่าเค้านับกันว่านับถึงเท่าไหร่ถึงวูบดับเราก็พยายามนับบ้างได้ที่ 6 แหละ แต่อะไรหลายอย่างไม่เหมือนกับที่เราจินตนาการไว้เลย พอเริ่มสูดจังหวะแรกๆคือเราหูอื้อแบบวิ้งๆอื้อๆขึ้นมาเลย จังหวะนั้นคือเลิ่กลั่กมากตกใจ 555 คือไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าจะหูอื้อ มันปกติไหมวะ ต้องบอกหมอไหมวะ จังหวะต่อมาคือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เรารู้สึกเลยว่าขากับเท้าตกแบบนอนเท้าตั้งอยู่ดีๆมันตกตุบลงมาเลย ต่อมาก็แขน ต่อมาก็ที่ตา ซึ่งมันไม่ง่วงนะแต่มันเหมือนโดนบังคับให้หลับตา แบบเราไม่สามารถบังคับกล้ามเนื้อตาให้ลืมได้ แต่มันไม่ง่วง จังหวะนั้นเอาอีกละเลิ่กลั่กอีกแล้ว คิดในใจทำไมไม่ง่วงมันต้องง่วงไหม เกิดหลับตาไปแต่ไม่สลบล่ะจะเจ็บไหม แต่ไม่นานค่ะ พยายามฝืนลืมตาอยู่ 2-3 ครั้งก็ตาปิดแล้ววูบยาวไปเลยจ้าาาา
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้เราก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ “คุณ....ๆๆ” อยู่ 3 ครั้ง (ตอนแรกเราคิดว่าฝันแต่แม่บอกว่าน่าจะคุณหมอปลุกแหละใครจะมาเรียกเธอนอกจากหมอ) ความรู้สึกมันเหมือนฝันเลยค่ะ ทุกอย่างเป็นสีดำมืดไปหมดแล้วเหมือนมีคนมาเรียกชื่อจากที่ไกลๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเราตอบอะไรไปไหม แต่จังหวะนั้นเหมือนยังเบลอๆในใจคือคิดว่า “ต้องตื่นแล้วเหรอ ง่วงอ่ะ ยังไม่อยากตื่น” แล้วก็ได้ยินเสียงตอบมาว่า “โอเคนอนต่อได้ หลับต่อได้” แล้วเราก็หลับต่อจริงๆ 55 (ตอนนี้คือภาวนาว่าขอแค่คิดในใจทีเหอะอย่าพูดออกไปเลย อายยยย) หลังจากนั้นนานแค่ไหนไม่รู้เราก็ตื่นค่ะ มันไม่ได้รู้สึกเหมือนคนตื่นนอนนะคะ แต่แค่รู้สึกว่าร่างกายมันตื่นเองตามันลืมเอง แต่ตากับตัวยังรู้สึกหนักๆยังบังคับอะไรไม่ได้มากอยู่ พยายามดูนาฬิกาก็สายตาสั้นมองไม่เห็น 55
พอเราตื่นคุณพยาบาลก็เดินมาหา คิดว่าน่าจะรู้จากสัญญาณชีพเพราะเราแค่ตื่นมานอนกระพริบตาปริบๆ พอแบบตื่นจริงๆปุ๊ปคุณพยาบาลก็เดินมาหาปั๊ปเลย เดินมาก็มาฉีดยาแก้ปวดให้ คำถามเราที่ถามคือ “ได้ให้เลือดไหมคะ” คุณพยาบาลบอกไม่ได้ให้ก็โล่งไป กับบอกไปอีกว่า “ปวดฉี่อ่ะค่ะ” คุณพยาบาลบอกว่าใส่สายปัสสาวะให้แล้วมันจะออกมาเอง แต่นี่ไม่จบยังพูดต่อ “แต่มันปวดอ่ะค่ะ” คุณพยาบาลคงรำคาญเลยบอกว่า “ปวดก็ปล่อยออกมาเลยครับ” 555 ตื่นได้สักพักก็ได้เวลากลับห้อง ถามเวลาแล้วประมาณ 12.30 ตอนกำลังจะเข็นเตียงออกมาคุณพยาบาลมาดูแล้วก็คุยกัน “อ้าว...คนไข้ซีดป่าวเนี่ย” พูดจบหยิบมือเราขึ้นมาดูเล็บ “อ่อ...ไม่ได้ซีด คนไข้ขาว” 555
*ข้อความเต็มต่อด้านล่างนะคะ