╰☆╮บนโลกนี้ไม่มีใครแปลกหน้า มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่รู้จัก╰☆╮
วิลเลียม บัตเลอร์ เยทส์ กวีชาวไอร์แลนด์
ผมตื่นตั้งแต่ยังไม่สว่าง แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นดวงดาวสว่างไสว ผ่านหลังคาบังกะโลที่จะพังมิพังแหล่ ข้าง ๆ เตียง มาร์โค่นอนขดหลับอยู่.... เขาห่มผ้าคลุมถึงหัว
ปิดเทอมมหาลัย ผมมาเที่ยวบ้านเขา พ่อมาร์โค่ทำอาชีพประมง
ทะเลเมืองเซลตัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเม็กกาโลดอน ฉลามยักษ์ที่แอบซ่อนในมหาสมุทร แต่ผมคิดว่า เป็นตำนานเสียมากกว่า..... ผมนอนไม่หลับ เลยลุกจากเตียง สวมเสื้อโค๊ดมีฮู๊ดแขนสั้น.... ออกมาเดินรับลมริมชายหาด ทะเลที่นี่สีฟ้าอมน้ำเงิน เงียบสงบ ร่มรื่นด้วยทิวสน ผมเห็นหิงห้อยตัวนึง บินฉวัดไฉวหน้าผม กะพริบแสงสีเหลืองอ่อน.... ผมเดิมตามมันลงไปในทางลาดของชายฝั่ง
สุดทางเป็นชายหาดเล็ก ๆ เม็ดทรายขาวละเอียด มีถ้ำติดทะเล..... ผมนึกถึงครั้งแรกที่มาเมื่อปีก่อน ผมและมาร์โค่เคยแอบดูเต่าวางไข่แถวนี้.... ผมเดินลุยชายหาดเฉียด ๆ น้ำไป กระทั่งผ่านถ้ำ... สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวรายหนึ่ง... เธอมีหางเป็นปลา ท่อนบนเป็นมนุษย์ นั่งอยู่บนโขดหิน มือขวากำลังสางผมสีน้ำตาลเข้ม.... พลางชมจันทร์ และดวงดาวที่มีแสงริบหรี่.... เมื่อเธอสังเกตว่ามีเงาใกล้ผิวน้ำ ก็หันมามอง เราสบตากัน ดวงตาเธอประกายวาวสีน้ำเงิน ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำ เธอมองผมอย่างไม่กลัวเลยจนนิดเดียว....
"ผมไม่เคยคิดมาก่อน ว่านางเงือกจะมีจริง" ผมเอ่ยเบา ๆ
"ฉันก็เพิ่งเคยเห็นมนุษย์ใกล้ชิดขนาดนี้ไปครั้งแรก" เธอว่า.... พลางยิ้มให้ผม...
"ชอบมองดวงจันทร์เหรอ ?" ผมถามขณะก้าวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น....
"อื้ม แสงสว่างเป็นที่ชื่นใจ และการที่นัยน์ตาเห็นดวงจันทร์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม"
ผมหันไปมองดวงจันทร์กับเธอ มันส่องสว่างสีเดียวกับหิงห้อย
"รู้มั้ย" ผมเอ่ยขึ้น "ถ้าคุณมองดวงจันทร์บ่อย ๆ จะกลายเป็นนักกวี"
"กวี คืออะไร ?" เธอถาม
"กวี หมายถึง คนที่วาดภาพด้วยคำพูด สมัยโบราณนะ พวกเขาจะเปรียบเทียบ หญิงที่มีใบหน้าหมดจด ว่างดงามราวดวงจันทร์"
เธอหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงฟังดูมีความสุข....
"ฉันเอริก้า คุณล่ะ ?" เธอถามขึ้น....
"พอล....." ผมตอบ
เอริก้าจ้องมองผมบลอนด์ของผม ซึ่งตัดผิวสีแทน คล้ำแดดจนแปลกตาน่ามอง
"ปล่อยผมให้ยาวกว่านี้อีกสักนิด" เธอพูด "แล้วก็มีหอกกับโล่ในมือ คุณจะเหมือนชาวไวกิงเชียวละ"
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง....
สุดขอบฟ้าเริ่มมีแสงเรือนรอง.... ดวงดาวที่ผมรู้จักค่อย ๆ หายไปทีละดวง.... ยามเช้ากำลังมา
"พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่นะ ฉันต้องไปแล้ว" เอริก้าว่า
"ผมก็ต้องกลับเหมือนกัน...."
"เดี๋ยว... " เธอยื่นแขนซ้ายจับข้อมือผม สัมผัสนั้นนุ่มนวล ทว่าเย็นมากทีเดียว..... เอริก้าใช้มือขวาถอดสร้อยเปลือกหอยแอมโมไนต์ที่ต้นคอ เธอค่อย ๆ วางลงบนฝ่ามือผมอย่างแผ่วเบา
"เก็บสร้อยเส้นนี้ไว้นะพอล นี่คือหลักฐานว่าเราได้รู้จักกัน....."
ตี 5:56 น. ผมกลับถึงที่พักบังกะโล ปิดประตูห้อง พิงบานประตู.... นิ่งอยู่เงียบ ๆ หัวใจเต้นโครมคราม.... ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจปฏิเสธตัวเอง ว่าเธอมีบางสิ่งให้ชวนถวิลหา....
ตี 4:11 น. ยังดึกอยู่มากเมื่อตื่นขึ้น ผมรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แง้มประตูออก ครึ่งวิ่งครึ่งเดินไปตามทางลาด มุ่งสู่ปลายหาด.... กลางท้องฟ้า กลุ่มดาวโลมาส่องประกาย ทะเลเรียบราวกระจก
เมื่อไปถึง เอริก้านั่งอยู่บนขอนไม้หน้าถ้ำ กำลังร้องเพลง น้ำเสียงไพเราะจับหัวใจ.... เมื่อเห็นผมเธอก็หยุดร้อง
"สวัสดีตอนค่ำพอล" เธอพูดขึ้น ใบหน้าขาวผ่องผุดรอยยิ้ม
"ไง เอริก้า" ผมทัก
"ทำไมตื่นแต่เช้ามืดล่ะ ?" เอริก้าถาม
"เอ่อ...." ผมตะกุกตะกักเล็กน้อย "แค่ต้องการใช้เวลาวันนึงให้ยาวนานขึ้น" ผมตอบ พลางคิดในใจ เหตุผลที่ตื่นเช้า ก็เพราะอยากพบเธอ
"คุณอาศัยอยู่ที่นี่เหรอ ?" ผมยิงคำถาม
"ปล่าวหรอก ปกติฉันจะออกว่ายไปเรื่อย ๆ เที่ยวรอบโลก"
"งั้นเหรอ...." ผมตอบด้วยน้ำเสียงเศร้านิดหน่อย
"เล่าเรื่องบนโลกให้ฉันฟังอีกได้ไหม" เธอว่า
ผมเล่าเกี่ยวกับต้นไม้ที่มีสีเขียวทั้งป่า มีนกร้องเพลงให้ฟัง และภูเขาก็สูงเทียมเมฆ.....
"โอ้โห ดีจังเลย ดีจัง" เอริก้าร้องลั่น "ฉันว่ายไปสถาณที่ต่าง ๆ ตั้งมากมาย แต่ยังเห็นไม่เท่าที่คุณพูด"
ผมหัวเราะนิดนึงและพูดต่อ
"นอกจากนั้นมนุษย์และสัตว์ ยังอาศัยอยู่ร่วมกัน.... ในเมืองพอตกกลางคืน ก็มีแสงไฟวูบวาบ และดอกไม้แต่ละชนิด ผลิบานตามฤดูกาลของมันด้วยนะ" ผมกึ่งเล่ากึ่งยิ้ม
"ฉันอิจฉาคุณจังเลย โลกที่ฉันมองเห็นไม่ใช่ใบเดียวกับคุณ" เอริก้าพูด น้ำเสียงชวนจ๋อยอยู่เหมือนกัน
แต่แล้วฉับพลัน เราก็ได้ยินเสียง "กิ้ว... กิ้ว..." ผมและเอริก้าเบนสายตามองที่ชายหาด สังเกตเห็นปลาโลมาสีเทาตัวนึง เอริก้าลงไปในน้ำ โน้มตัวคุยกับมัน
"คุณพูดภาษาสัตว์ได้ด้วยเหรอ ?" ผมถามอย่างประหลาดใจ
"ถ้าเป็นสัตว์ทะเล ทุกตัวเข้าใจที่ฉันพูด" เอริก้าว่า
เธอชูมือทั้งสองข้างขึ้น คราวนี้เจ้าโลมากระโดดพ้นน้ำข้ามมือเธอ พลางร้องกิ้วให้ผม
"มันทักทายคุณแน่ะ" เธอพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
ผมผงกหัวให้มันเล็กน้อย จากนั้น เจ้าโลมาก็หมุนตัวเป็นวงกลม พลางลอยตัวนอนหงายเล่นข้าง ๆ พื้นน้ำ
ผมถอดเสื้อ และเสื้อคลุม วางบนชะง่อนหิน ลงไปในทะเล..
"ฉันประทับใจมาก คุณว่ายน้ำเป็นด้วย" เอริก้าพูดพลางยิ้ม
"ผมก็ประทับใจ ที่คุณพูดกับสัตว์น้ำได้" ผมว่า พลางเกาะครีบเจ้าโลมาสีเทา สัมผัสแรกที่ถูกผิว ผมรู้สึกว่านุ่มและลื่นดี
เอริก้าว่ายมาหลังผม เธอใช้มือสะบัดน้ำใส่ผม เพื่อล้างเม็ดทรายที่ติดอยู่บนหัว จากนั้นเราก็เล่นน้ำกับเจ้าโลมา.... กระทั่งมันว่ายจากไป
"คุณชอบอะไรบ้าง ?" ผมถาม ขณะขึ้นมานั่งพักบนชายหาด
"ฉันชอบทะล ฉันถือเสมอว่าทะเลเป็นเสมือนแม่...."เธอหยุดนิดนึง" และฉันก็ชอบปลาในน้ำ ปะการัง..."
"แล้วคุณเกลียดอะไร ?" ผมถามต่อ
"ฉันเกลียดการเป็นเจ้าของ เกลียดการถูกครอบครอง"
"คุณคิดว่า ผมต้องการครอบครองคุณมั้ย ?"
"ฉันรู้เพียงว่า คุณไม่มีภัยคุกคาม...."
ผมหันไปมองดวงจันทร์ "เอริก้า.... มนุษย์เราทุกคนเปรียบเสมือนดวงจันทร์ ที่ส่องให้เห็นเพียงด้านเดียว คือด้านที่สว่างที่สุด ส่วนด้านหลังที่มืดมิดนั้น.... เราต่างแอบซ่อนไว้"
"คุณต้องการจะบอกอะไร ?" เอริก้าถาม
"จริง ๆ แล้ว ผมเริ่มที่จะ....." ผมหยุดนิงนึงสบตาเธอ
"อย่าให้มันลำบากกว่าที่เป็นอยู่ที่เลยนะพอล !" เอริก้าขัดขึ้น เธออ่านแววตาผมออก
"แต่คุณกับผม.... เราสามารถ..."
"มันไม่ง่ายอย่างนั้น.... " เอริก้าพูดต่อ
"ฉันเป็นของคุณไม่ได้พอล......" เธอว่าก่อนจะดำลงน้ำหายไป แม้น้ำเสียงราบเรียบ ไร้เจตนาทิ่มแทงใจ แต่ผมกลับรู้สึกปวดร้าวลึกถึงกระดูก....
กลางคืน ความมืดปกคลุมทางเดิน ผมยังคงเดินไม่สะทกสะท้านขึ้นทางลาด.... เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่สัมผัสได้ว่าหัวใจรักของผม เป็นฝ่ายเริ่มสั่นไหว......
เสียงกริ๊กประตูดังขึ้น ผมกลับถึงที่พัก มาร์โค่ตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน
"ไปใหนมา ?" มาร์โค่ถาม ใบหน้าเขาคล้ายปลาแอกโซลอเติล โดยเฉพาะแววตาไม่ผิดเพี้ยน...
"ไปหาผู้หญิง" ผมตอบ
"เป็นคนยังไงเหรอ" มาร์โค่ถามอีกอย่างงัวเงีย
"เธอ...." ผมหยุดนิดนึง "ไม่ใช่คน......."
มาร์โค่จ้องผม เรามองหน้ากันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่เป็นครู่ จากนั้นเขาก็ล้มฟุบหลับต่อบนเตียง
FT 4 | เรื่องสั้น เงือกที่อยากรู้จัก
ปิดเทอมมหาลัย ผมมาเที่ยวบ้านเขา พ่อมาร์โค่ทำอาชีพประมง
ทะเลเมืองเซลตัน มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเม็กกาโลดอน ฉลามยักษ์ที่แอบซ่อนในมหาสมุทร แต่ผมคิดว่า เป็นตำนานเสียมากกว่า..... ผมนอนไม่หลับ เลยลุกจากเตียง สวมเสื้อโค๊ดมีฮู๊ดแขนสั้น.... ออกมาเดินรับลมริมชายหาด ทะเลที่นี่สีฟ้าอมน้ำเงิน เงียบสงบ ร่มรื่นด้วยทิวสน ผมเห็นหิงห้อยตัวนึง บินฉวัดไฉวหน้าผม กะพริบแสงสีเหลืองอ่อน.... ผมเดิมตามมันลงไปในทางลาดของชายฝั่ง
สุดทางเป็นชายหาดเล็ก ๆ เม็ดทรายขาวละเอียด มีถ้ำติดทะเล..... ผมนึกถึงครั้งแรกที่มาเมื่อปีก่อน ผมและมาร์โค่เคยแอบดูเต่าวางไข่แถวนี้.... ผมเดินลุยชายหาดเฉียด ๆ น้ำไป กระทั่งผ่านถ้ำ... สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวรายหนึ่ง... เธอมีหางเป็นปลา ท่อนบนเป็นมนุษย์ นั่งอยู่บนโขดหิน มือขวากำลังสางผมสีน้ำตาลเข้ม.... พลางชมจันทร์ และดวงดาวที่มีแสงริบหรี่.... เมื่อเธอสังเกตว่ามีเงาใกล้ผิวน้ำ ก็หันมามอง เราสบตากัน ดวงตาเธอประกายวาวสีน้ำเงิน ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำ เธอมองผมอย่างไม่กลัวเลยจนนิดเดียว....
"ผมไม่เคยคิดมาก่อน ว่านางเงือกจะมีจริง" ผมเอ่ยเบา ๆ
"ฉันก็เพิ่งเคยเห็นมนุษย์ใกล้ชิดขนาดนี้ไปครั้งแรก" เธอว่า.... พลางยิ้มให้ผม...
"ชอบมองดวงจันทร์เหรอ ?" ผมถามขณะก้าวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น....
"อื้ม แสงสว่างเป็นที่ชื่นใจ และการที่นัยน์ตาเห็นดวงจันทร์ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม"
ผมหันไปมองดวงจันทร์กับเธอ มันส่องสว่างสีเดียวกับหิงห้อย
"รู้มั้ย" ผมเอ่ยขึ้น "ถ้าคุณมองดวงจันทร์บ่อย ๆ จะกลายเป็นนักกวี"
"กวี คืออะไร ?" เธอถาม
"กวี หมายถึง คนที่วาดภาพด้วยคำพูด สมัยโบราณนะ พวกเขาจะเปรียบเทียบ หญิงที่มีใบหน้าหมดจด ว่างดงามราวดวงจันทร์"
เธอหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงฟังดูมีความสุข....
"ฉันเอริก้า คุณล่ะ ?" เธอถามขึ้น....
"พอล....." ผมตอบ
เอริก้าจ้องมองผมบลอนด์ของผม ซึ่งตัดผิวสีแทน คล้ำแดดจนแปลกตาน่ามอง
"ปล่อยผมให้ยาวกว่านี้อีกสักนิด" เธอพูด "แล้วก็มีหอกกับโล่ในมือ คุณจะเหมือนชาวไวกิงเชียวละ"
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง....
สุดขอบฟ้าเริ่มมีแสงเรือนรอง.... ดวงดาวที่ผมรู้จักค่อย ๆ หายไปทีละดวง.... ยามเช้ากำลังมา
"พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่นะ ฉันต้องไปแล้ว" เอริก้าว่า
"ผมก็ต้องกลับเหมือนกัน...."
"เดี๋ยว... " เธอยื่นแขนซ้ายจับข้อมือผม สัมผัสนั้นนุ่มนวล ทว่าเย็นมากทีเดียว..... เอริก้าใช้มือขวาถอดสร้อยเปลือกหอยแอมโมไนต์ที่ต้นคอ เธอค่อย ๆ วางลงบนฝ่ามือผมอย่างแผ่วเบา
"เก็บสร้อยเส้นนี้ไว้นะพอล นี่คือหลักฐานว่าเราได้รู้จักกัน....."
ตี 5:56 น. ผมกลับถึงที่พักบังกะโล ปิดประตูห้อง พิงบานประตู.... นิ่งอยู่เงียบ ๆ หัวใจเต้นโครมคราม.... ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจปฏิเสธตัวเอง ว่าเธอมีบางสิ่งให้ชวนถวิลหา....
ตี 4:11 น. ยังดึกอยู่มากเมื่อตื่นขึ้น ผมรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แง้มประตูออก ครึ่งวิ่งครึ่งเดินไปตามทางลาด มุ่งสู่ปลายหาด.... กลางท้องฟ้า กลุ่มดาวโลมาส่องประกาย ทะเลเรียบราวกระจก
เมื่อไปถึง เอริก้านั่งอยู่บนขอนไม้หน้าถ้ำ กำลังร้องเพลง น้ำเสียงไพเราะจับหัวใจ.... เมื่อเห็นผมเธอก็หยุดร้อง
"สวัสดีตอนค่ำพอล" เธอพูดขึ้น ใบหน้าขาวผ่องผุดรอยยิ้ม
"ไง เอริก้า" ผมทัก
"ทำไมตื่นแต่เช้ามืดล่ะ ?" เอริก้าถาม
"เอ่อ...." ผมตะกุกตะกักเล็กน้อย "แค่ต้องการใช้เวลาวันนึงให้ยาวนานขึ้น" ผมตอบ พลางคิดในใจ เหตุผลที่ตื่นเช้า ก็เพราะอยากพบเธอ
"คุณอาศัยอยู่ที่นี่เหรอ ?" ผมยิงคำถาม
"ปล่าวหรอก ปกติฉันจะออกว่ายไปเรื่อย ๆ เที่ยวรอบโลก"
"งั้นเหรอ...." ผมตอบด้วยน้ำเสียงเศร้านิดหน่อย
"เล่าเรื่องบนโลกให้ฉันฟังอีกได้ไหม" เธอว่า
ผมเล่าเกี่ยวกับต้นไม้ที่มีสีเขียวทั้งป่า มีนกร้องเพลงให้ฟัง และภูเขาก็สูงเทียมเมฆ.....
"โอ้โห ดีจังเลย ดีจัง" เอริก้าร้องลั่น "ฉันว่ายไปสถาณที่ต่าง ๆ ตั้งมากมาย แต่ยังเห็นไม่เท่าที่คุณพูด"
ผมหัวเราะนิดนึงและพูดต่อ
"นอกจากนั้นมนุษย์และสัตว์ ยังอาศัยอยู่ร่วมกัน.... ในเมืองพอตกกลางคืน ก็มีแสงไฟวูบวาบ และดอกไม้แต่ละชนิด ผลิบานตามฤดูกาลของมันด้วยนะ" ผมกึ่งเล่ากึ่งยิ้ม
"ฉันอิจฉาคุณจังเลย โลกที่ฉันมองเห็นไม่ใช่ใบเดียวกับคุณ" เอริก้าพูด น้ำเสียงชวนจ๋อยอยู่เหมือนกัน
แต่แล้วฉับพลัน เราก็ได้ยินเสียง "กิ้ว... กิ้ว..." ผมและเอริก้าเบนสายตามองที่ชายหาด สังเกตเห็นปลาโลมาสีเทาตัวนึง เอริก้าลงไปในน้ำ โน้มตัวคุยกับมัน
"คุณพูดภาษาสัตว์ได้ด้วยเหรอ ?" ผมถามอย่างประหลาดใจ
"ถ้าเป็นสัตว์ทะเล ทุกตัวเข้าใจที่ฉันพูด" เอริก้าว่า
เธอชูมือทั้งสองข้างขึ้น คราวนี้เจ้าโลมากระโดดพ้นน้ำข้ามมือเธอ พลางร้องกิ้วให้ผม
"มันทักทายคุณแน่ะ" เธอพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
ผมผงกหัวให้มันเล็กน้อย จากนั้น เจ้าโลมาก็หมุนตัวเป็นวงกลม พลางลอยตัวนอนหงายเล่นข้าง ๆ พื้นน้ำ
ผมถอดเสื้อ และเสื้อคลุม วางบนชะง่อนหิน ลงไปในทะเล..
"ฉันประทับใจมาก คุณว่ายน้ำเป็นด้วย" เอริก้าพูดพลางยิ้ม
"ผมก็ประทับใจ ที่คุณพูดกับสัตว์น้ำได้" ผมว่า พลางเกาะครีบเจ้าโลมาสีเทา สัมผัสแรกที่ถูกผิว ผมรู้สึกว่านุ่มและลื่นดี
เอริก้าว่ายมาหลังผม เธอใช้มือสะบัดน้ำใส่ผม เพื่อล้างเม็ดทรายที่ติดอยู่บนหัว จากนั้นเราก็เล่นน้ำกับเจ้าโลมา.... กระทั่งมันว่ายจากไป
"คุณชอบอะไรบ้าง ?" ผมถาม ขณะขึ้นมานั่งพักบนชายหาด
"ฉันชอบทะล ฉันถือเสมอว่าทะเลเป็นเสมือนแม่...."เธอหยุดนิดนึง" และฉันก็ชอบปลาในน้ำ ปะการัง..."
"แล้วคุณเกลียดอะไร ?" ผมถามต่อ
"ฉันเกลียดการเป็นเจ้าของ เกลียดการถูกครอบครอง"
"คุณคิดว่า ผมต้องการครอบครองคุณมั้ย ?"
"ฉันรู้เพียงว่า คุณไม่มีภัยคุกคาม...."
ผมหันไปมองดวงจันทร์ "เอริก้า.... มนุษย์เราทุกคนเปรียบเสมือนดวงจันทร์ ที่ส่องให้เห็นเพียงด้านเดียว คือด้านที่สว่างที่สุด ส่วนด้านหลังที่มืดมิดนั้น.... เราต่างแอบซ่อนไว้"
"คุณต้องการจะบอกอะไร ?" เอริก้าถาม
"จริง ๆ แล้ว ผมเริ่มที่จะ....." ผมหยุดนิงนึงสบตาเธอ
"อย่าให้มันลำบากกว่าที่เป็นอยู่ที่เลยนะพอล !" เอริก้าขัดขึ้น เธออ่านแววตาผมออก
"แต่คุณกับผม.... เราสามารถ..."
"มันไม่ง่ายอย่างนั้น.... " เอริก้าพูดต่อ
"ฉันเป็นของคุณไม่ได้พอล......" เธอว่าก่อนจะดำลงน้ำหายไป แม้น้ำเสียงราบเรียบ ไร้เจตนาทิ่มแทงใจ แต่ผมกลับรู้สึกปวดร้าวลึกถึงกระดูก....
กลางคืน ความมืดปกคลุมทางเดิน ผมยังคงเดินไม่สะทกสะท้านขึ้นทางลาด.... เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่สัมผัสได้ว่าหัวใจรักของผม เป็นฝ่ายเริ่มสั่นไหว......
เสียงกริ๊กประตูดังขึ้น ผมกลับถึงที่พัก มาร์โค่ตื่นขึ้นมาอย่างง่วงงุน
"ไปใหนมา ?" มาร์โค่ถาม ใบหน้าเขาคล้ายปลาแอกโซลอเติล โดยเฉพาะแววตาไม่ผิดเพี้ยน...
"ไปหาผู้หญิง" ผมตอบ
"เป็นคนยังไงเหรอ" มาร์โค่ถามอีกอย่างงัวเงีย
"เธอ...." ผมหยุดนิดนึง "ไม่ใช่คน......."
มาร์โค่จ้องผม เรามองหน้ากันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่เป็นครู่ จากนั้นเขาก็ล้มฟุบหลับต่อบนเตียง