ดึกมากแล้ว ขณะผมจัดเสื้อผ้าลงในกระเป๋าเดินทางริโม มันเป็นกระเป๋าหนังไนลอนสีน้ำเงิน ผมวางกระเป๋าลงบนเตียง ภายในห้องนอนเป็นเพดานทรงสูง ริมหน้าต่างมีกระจกใสขนาดใหญ่.....
ความเงียบค่ำคืนวันศุกร์ ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
ผมมองไปยังกลุ่มดาวที่ทอประกายนอกหน้าต่าง การมองเห็นแสงดาวได้ ต้องผ่านความมืดมิด ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะคฤหาสน์อูวิว ตั้งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย
"สวยเหลือเกิน" ผมพึมพำ ยืนนิ่งนานหลายนาที ชื่นชมทิวทัศน์งามที่ปรากฏตรงหน้า พลางสงสัยว่า ดาวบนฟ้าจะน้อยใจบ้างมั้ย ที่ผู้คนพากันหลับไหล ขณะที่พวกมันขึ้นเวทีเพื่อส่องประกาย
"พรุ่งนี้เป็นวันพิเศษ" ผมบอกกับดวงดาว "ไม่ใช่พิเศษแบบธรรมดา แต่พิเศษสุด ๆ จนไม่มีทางลืมได้เลย"
ผมเตรียมตัวไปพักผ่อนกับฮันนาห์ มันเป็นเสาร์แรกเดือนมกราคม เราตั้งใจมาฉลอง เนื่องในโอกาสเธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคาร ส่วนธุรกิจค้าไวน์ของผมก็ภิญโญสโมสร ปีนี้ครบหกปีที่เรารู้จักกัน
ผมพบฮันนาห์ครั้งแรก ในคาบเรียนวิชาดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์
เธอมีผมบลอนด์ยาวเหยียดตรง ดวงตาสีฟ้าแววประกาย สูงโปร่ง ใบหน้าได้สัดส่วนงดงาม ซึ่งนี่เองทำให้ชายหนุ่มมาติดใจมากมาย เราไม่เคยมีโอกาสคุยกัน กระทั่งเย็นนึง ขณะความมืดเริ่มโรยตัว เธอเดินออกจากหอดูดาว มันตั้งอยู่บนดาดฟ้าริมระเบียง ทอดยาวนาบแนวภูเขาสูง เห็นวิวได้ทั้งเมือง ผมเป็นฝ่ายแสดงความกล้าหาญออกไป
"โอ้โห เหนือพื้นดินยังมีกลุ่มดาวส่องประกายอยู่เหมือนกันแฮะ" ฮันนาห์หันหน้ามองผม เราทั้งคู่จ้องไปยังทิวทัศน์ของเมือง เมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟนับหมื่น ๆ
"ในแสงไฟแต่ละดวงนั้น มีคนหลายประเภทอาศัยอยู่นะคะ" ฮันนาห์ว่า
"ใช่...." ผมว่า "แต่ละคนมีปัญหาของตนคนละแบบ มีมากมายพอ ๆ กับดาวบนฟ้า และปัญหาของผมคือต้องใช้ความกล้าหาญมากทีเดียว ที่จะก้าวเข้ามาทำความรู้จักคุณ"
"คุณกลัวฉันเหรอ ?" เธอสบตาผม แววประหลาดใจ
"ผมกลัวว่า ผู้หญิงสวยอย่างคุณจะไม่คุยกับผม แต่ที่กลัวมากกว่าจริง ๆ คือโอกาสที่พลาดทำความรู้จักคุณ"
"ชีวิตที่กลัวก็เหมือนใช้ชีวิตเพียงครึ่งเดียวนะคะ" ฮันนาห์ว่า
คืนนั้นผมพาเธอไปส่งที่บ้าน เราแลกเบอร์โทรศัพท์กัน..... จากนั้นเจอกันอีกในวันรุ่งขึ้น เราไปเดินเล่นในเมือง ปิกนิกที่เซ็นทรัลพาร์ค และวันถัดไปก็แวะเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ค่ำนั้นผมจุมพิตเธอบนสะพานบรูคลิน เราติดต่อกันเสมอกระทั่งจบการศึกษา... เธอเข้าฝึกงานในธนาคาร BOA ส่วนผมออกมาก่อตั้งธุรกิจค้าไวน์ หกปีเศษ ผมประสบความสำเร็จช่วงอายุยี่สิบตอนปลาย ทุกอย่างมาไวจนตั้งตัวไม่ทัน ผมก้าวไปไกล ขนาดมีไร่องุ่น มีบริษัทต้องดูแล มีทนาย เลขา และคนขับรถส่วนตัว แต่นั่นยังไม่เพียงพอ.... ชีวิตนี้มีสิ่งที่ผมต้องการอีกมากมาย
อากาศตอนเช้าสดชื่นมาก.....เมื่อขับรถถึงริมชายฝั่ง ผมเห็นนกร้องตลอดทาง นกแซนด์ไปเปอร์บินอยู่เหนือหาดทราย.... จากตรงนี้ยังมองไม่เห็นตัวบ้าน แต่ก็นึกภาพออก บ้านตั้งอยู่ระหว่างต้นโอ๊กกับต้นสน มองไปจากตรงนั้น จะมีทุ่งหญ้ากว้างจนจรดทะเล ในตอนกลางคืนเมื่อเงียบสงัดจะได้ยินเสียงคลื่น แว่วมาเบา ๆ ....บ้านทั้งหลัง ประกอบด้วยไม้ซุง มันเป็นพื้นที่ใหญ่สำหรับบ้านหลังเล็ก มีชั้นเดียว สามห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น
"ในที่สุดก็ถึงสักที" ผมว่า
"โอ้โห สวยจังเลยค่ะ" ฮันนาห์เอ่ยชม พลางก้าวลงจากรถ
"ผมเรียกมันว่า วังฤดูร้อน ข้างในมีของใช้สำคัญที่จำเป็น สำหรับพักได้ตลอดทั้งสัปดาห์เชียวนะ" เราเข้าไปเก็บเสื้อผ้าในห้องนอน จากนั้นผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เปิดลิ้นชัก หยิบกล่องเล็ก ๆ ขึ้นมาครุ่นคิดอีกครั้ง....
"ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนทีเถอะ" ผมพูดกับตัวเอง พลางเฝ้ารอให้เวลานั้นมาถึงเร็ว ๆ เสียที....
ตกเย็น เรานั่งเบียดชิดกันริมหาด ท้องฟ้าเริ่มมีแสงทองเป็นประกาย ผิวทะเลใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เหมือนเคลือบด้วยทอง.....
"จำลูกหมาพุดเดิ้ลสีดำ ตาดำ ที่เราเคยให้อาหารหน้าธนาคารได้ไหมคะ ?" อยู่ ๆ ฮันนาห์พูดขึ้นอย่างอมยิ้ม
"เจ้าชาคัสนะเหรอ ?"
"ตอนนี้มันคลอดลูกแล้วค่ะ ตั้งแปดตัว ฉันตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่มีใครรับไปเลี้ยง จะเปิดมูลนิธิอุปการระสุนัขจรจัด"
"ดี ผมจะช่วยออกเงินสนับสนุนนะ"
"โอ้ ไม่ดีกว่าค่ะ คุณก็รู้ฉันไม่อยากพึ่งเงินคุณ"
"โธ่ ฮันนาห์.... ชีวิตคนเราสั้นนะ ผมมีโอกาสได้พบคุณแล้ว หากมีอะไรที่ผมสามารถทำให้คุณได้.... ปล่อยให้ผมทำเถอะ"
"แต่ว่า..." ฮันนาห์แย้ง ผมไม่รอให้เธอพูดจบ
"เรื่องเงินไม่เคยเป็นปัญหาของผมเลยนะ ผมมีเงินมากพอที่จะช่วยเหลือคุณได้บริบูรณ์ทุกอย่าง คุณจะไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องนี้เลย"
เธอนิ่งคิดนิดนึง.... "ตกลงค่ะ... แต่แค่เรื่องนี้เท่านั้นนะ....." ฮันนาห์ว่า พลางพูดต่อ "ฉันดีใจ ที่คุณช่วยออกทุน"
"ผมก็ดีใจ ที่คุณดีใจ......" ผมว่า พลางหยิบเศษไม้วาดรูปเจ้าชาคัส ขณะนั้น พระอาทิตย์กำลังตกดิน....
เวลา 20:05 น. เรากลับเข้าบ้านพัก ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น แสงไฟสาดอ่อน ๆ จากเตาผิง ทำให้ผมมองเห็นดวงตาฮันนาห์ ดูเยือกเย็น อ่อนโยน เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ลมเย็น ๆ แสนสดชื่นจากทะเล พัดเข้ามาจากหน้าต่างบานนั้น เธอพกหนังสือไปใหนมาใหนเหมือนเคย และมักหยิบยกข้อความ ของนักเขียนหลายคน ขึ้นมาพูดได้สบาย ๆ ผมรู้สึกเป็นเกียรตเสมอที่ได้ฟังเธอทำแบบนั้น
"ฮันนาห์ คืนนี้ไปนั่งเรือยอชร์ชมดาวในทะเลมั้ย" ผมพูดขณะเหยียดกายพิงโซฟา
ฮันนาห์วางหนังสือในมือลง "ดีสิค่ะ คืนนี้ฟ้าใสด้วย อาจเห็นดาวตกก็ได้"
"ดี ผมจะเอาไวน์ชั้นเยี่ยม ที่พกมาไปด้วย" ผมว่า
เวลา 21:10 น. เราออกจากบ้านพัก เดินไปยังระเบียง มันเป็นไม้ยาว ทำจากต้นโอ๊ค ทอดออกไปนอกทะเล ที่ปลายทางมีเรือยอร์ช 68 SPORTS MOTOR YACHT จอดอยู่ ภายในมีห้องคนขับ ชั้นลอย ห้องเครื่องยนต์ และ ดาดฟ้าสำหรับเดินไปรอบ ๆ กลางตัวเรือเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนทำด้วยไม้สัก ที่นั่งมีเจ็ดเบาะทำด้วยหนังนูบัค มีระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง เครื่องทำน้ำแข็ง และตู้แช่ไวน์.....
ทะเลเงียบสงบเป็นสีครามใส มีสายลมอันหนาวเหน็บโชยมาเป็นระรอก..... ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่ส่องกระทบพื้นน้ำ เกิดแสงส่องสว่างระยิบระยับเข้าคู่กับดาวบนฟากฟ้า
"ดูสิคะ แมทธิว ฟ้าสวยเหลือเกิน" ฮันนาห์พูด
ผมแหงนหน้าขึ้นสู่เบื้องบน "คืนนี้ดาวเต็มฟ้าทีเดียว" ผมพูด.....
"อย่าจ้องมองดวงดาว แต่จงเป็นดาว" ฮันนาห์เอ่ย
"อะไรนะ ?" ผมว่า
"มิสซิสแอนนาเคยกล่าวไว้ ในคาบเรียนวิชาดาราสาตร์นะคะ คุณจำได้มั้ย ?"
ความทรงจำผม พลางนึกย้อนสู่ห้วงอดีต.... "อ่อ !! ใช่ ! ความจำคุณนี่เยี่ยมจริง ๆ !!"
"คุณคิดว่า เธอต้องการบอกอะไรเรา ?" ฮันนาห์ถาม
"ผมเคยเดาว่า เธอคงอยากให้เรามีชีวิตที่โดดเด่น มีรัศมีเหมือนดวงดาวบนฟ้า... ว่ากันว่า การจะเป็นดาว ต้องใช้ความมั่นใจ มากกว่าพรสวรรค์...."
ผมหยุดนิดนึง พลางคิดไปถึงเมื่อหกปีก่อน แล้วอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
"นั่นคุณขันอะไรของคุณคะ ?"
"อ๋อ !! คิดถึงสมัยเรียนนะ ตอนนั้นผมเป็นตัวแสบนี่นะ มิสซิสแอนนาคาดหวังไว้มาก ว่าผมจะล้มเหลว เธอเคยบอกว่า ผมไม่มีทางเรียนจบในสี่ปี ผมก็เลยพิสูจน์ให้เธอเห็น"
"และคุณก็ทำสำเร็จ" ฮันนาห์ว่า
"ใช่ ผมบอกตัวเองว่าจะไม่มีทางให้เธอสมหวัง นี่คือเหตุผล ที่ทำให้ผมตั้งความหวังทุกอย่างไว้สูง คนเราน่ะ ถ้าต้องปากกัดตีนถีบตั้งแต่ต้น ก็ย่อมต้องกลายเป็นนักสู้ไปธรรมดา...." ผมหยุดนิดนึง "ความหวังเป็นสิ่งดีนะ"
"ค่ะ....แต่ความหวัง.....มีไว้สำหรับคนที่ยังไม่สมหวัง...." ฮันนาห์กล่าว ผมสังเกตุเห็นความโศกเศร้าในแววตาเธอ....
"ไวน์สักแก้วมั้ย ?" ผมถาม
"ก็ดีค่ะ"
ผมลุกขึ้นพลางไปเปิดตู้แช่ไวน์ หยิบไวน์แดงปี 1976 รินไวน์สองแก้ว
"ดื่มให้อะไรดีละคะ ?" ฮันนาห์ถาม
"ดื่มให้แก่ค่ำคืนที่แสนโรแมนติค" ผมพูด
ฮันนาห์มองหน้าผม เราทั้งคู่จ้องไปยังทิวทัศน์ของทะเล เหตุการ์ณคืนนี้ผมรู้สึกเหมือนวันแรกที่เราได้คุยกัน แต่ครั้งนี้ต่างไป เพราะมีดาวแผ่กระจายเหนือน่านฟ้า สายลมพัดอ่อนเย็น ๆ แสงจันทร์อบอุ่นเย็นตา ทะเลก็มีเสียงคลื่นเบา ๆ และไกลลิบออกไป.... ฝูงโลมาว่ายกระโดดโผล่พ้นผิวน้ำ
"รู้มั้ยฮันนาห์ ผมชอบช่วงเวลากลางคืนนะ มันเป็นช่วงที่โลกแห่งความจริงกำลังหลับใหล ส่วนโลกแห่งความฝันกำลังเริ่มต้น" ผมพูดขึ้น
"คุณไม่ชอบโลกแห่งความจริงเหรอ ? "
"ใช่....บางครั้งโลกภายนอกไร้ซึ่งความหวัง จนผมต้องเปลี่ยนโลกภายในใจให้มีความหวังเป็น 2 เท่า....." ผมหยุดนิดนึง "แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็ชอบกลางคืนมากกว่า นั่นคือเหตุผลที่เลือกเรียนวิชาดาราศาตร์"
"ฉันนึกว่าที่คุณเลือกเรียน เพราะอยากรู้จักฉันมากกว่า"
"นั่นก็ส่วนนึง" ผมว่า
"อุ้ยดาวตก" ฮันนาห์พูดพลางชี้มือไปข้างหลังผม "ได้เห็นดาวตกด้วย...."
ผมหันไปมอง เห็นเพียงพริบตาเดียว มันตกเร็วเหลือเกิน
"อฐิษฐานไม่ทันนะคะ มันร่วงเร็วไป" ฮันนาห์ว่ายิ้มอย่างเสียดาย
"คงเพราะมันวิ่งด้วยความเร็วมากกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง " ผมพูดขึ้น
"มิสสิซิแอนนาเคยบอกว่า ดาวตก คืออุกาบาตที่ตกลงมาจากอวกาศ" ฮันนาห์ตอบ
"ใช่" ผมว่า "เพราะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงลงมา พอเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เลยเกิดเป็นประกายไฟ.... คนสมัยโบราณนะ เห็นประกายไฟของมันเป็นเรื่องแปลก พวกเขาเลยพากันอฐิษฐาน แต่ผมว่า แทนที่จะอธิฐาน สู้คิดซะว่าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นดีกว่า"
"คุณจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องในเรื่องคำอธิษฐานเหรอ ?" ฮันนาห์ถาม
"ผมเชื่อในการลงมือ ชีวิตก็เหมือนการโต้คลื่นนะ ต้องทรงตัวบนผิวน้ำให้ได้ตลอดเวลา"
ฮันนาห์ทอดสายตามองไปยังพื้นทะเล..... "แต่ตราบใดทะเลยังมีคลื่น อย่าคาดหวังความราบรื่นในชีวิตนะคะ"
"การโต้คลื่นจะผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าโต้อย่างมีสติ" ผมว่า
"แล้วเรื่องดี ๆ ที่คุณบอกว่าจะเกิดขึ้นคืออะไรละคะ ?" ฮันนาห์ถาม
ผมลุกขึ้นยืน วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ จ้องมองเธอไม่ละสายตา
"ผมมีบางอย่างให้คุณจดจำคืนนี้ได้แม่น" ผมว่าพลางหยิบกล่องเล็ก ๆ สีแดงออกจากกระเป๋ากางเกง ผมคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
"ฮันนาห์..... ผมรักคุณ รักมากกว่าใครทุกคนที่เคยรู้จักมาในชีวิต แต่งงานกับผมนะ"
ฮันนาห์มองหน้าผม สังเกตุได้เลยว่าเธอซาบซึ้ง นัยน์ตามีน้ำใส ๆ เอ่อขึ้น
"โอ้ แมธธิวค่ะ.... ฉันก็รักคุณ รักมานานแล้วรู้มั้ย !!" เธอตอบด้วยเสียงสะอื้น พลางพูดต่อ
"ฉันหวังได้ยินคุณพูดคำนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งพูดเอาป่านนี้ละคะ"
"คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผม.... ฮันนาห์" วินาทีนั้นผมตระหนักทันที ความหวังที่เธอเฝ้ารอ คือต้องการมีชีวิตคู่ร่วมกับผม...
"ตกลงค่ะ ฉันรักคุณ...... รู้มั้ย สิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจอยากอยู่กับคุณชั่วนิรันดร์.... รอยยิ้มคุณไง" ฮันนาห์พูดพร้อมยิ้มสะอึกสะอื้น
ฮันนาห์เปิดกล่องเล็ก ๆ ที่ผมยื่นให้ ในนั้นมีแหวนซัพไฟท์สีน้ำเงิน ผมค่อย ๆ หยิบและสวมมันไว้ที่นิ้วนางซ้ายของเธอ
"หลวมนิดหน่อยนะคะ" ฮันนาห์กล่าว" นี่ ไซส์ห้าสิบแปดแน่ ๆ ฉันใส่ไซส์ห้าสิบหก" เธอยิ้มอย่างเขินอาย
"แย่จริง เดี๋ยวตอนเช้าเราไปปรับขนาดที่ร้านจิวเวลรี่ โอเคมั้ย" ผมหยุดนิดนึงและเอ่ย
"ฮันนาห์ ผมจะเรียนรู้ที่จะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ และจะเรียนรู้ที่จะรักคุณให้มากกว่านี้ด้วย"
จากนั้นผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแหวนให้เธอดูอีกวง "นี่ เป็นแหวนคู่นะ"
มันเป็นแหวนซัฟไฟท์เหมือนกัน ขนาดใหญ่กว่า สำหรับใส่นิ้วมือผู้ชาย
"งั้นเราแลกแหวนกันนะคะ คุณนำแหวนฉันไปซ่อม ส่วนฉันจะเก็บแหวนคุณไว้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราจะสวมมันพร้อมกันที่นี่อีกครั้ง "เธอกล่าว
"เป็นความคิดที่ไม่เลวนี่" ผมว่า
"ค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะมาดูดวงทิตย์ขึ้นที่ชายหาดนี้ ฉันชอบแสงสีกุหลาบยามเช้าของพระอาทิตย์ จากนั้นเราก็ว่ายน้ำทะเล ตกเย็นปิ้งบาบีคิวพร้อมดื่มไวน์แดง พอกลางคืน เราทั้งคู่จะนอนโอบกอดกันมองดูท้องฟ้ายามราตรีบนเรือยอรชน์"
"ฮันนาห์....."
"ค่ะ ?"
"คุณนี่โรแมนติดมากกว่าที่ผมคิดอีกนะ" ผมยิ้มให้เธอ และพูดต่อ
"จดจำช่วงเวลาวันนี้ไว้นะ เพราะวันนึงมันจะจากไป และเราจะต้องการมันกลับมา"
"ค่ะ" ฮันนาห์ยิ้มรับ พยักหน้าเชิงเห็นด้วย
DS 2 | เรื่องสั้น แหวนต่างหน้า
ความเงียบค่ำคืนวันศุกร์ ช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
ผมมองไปยังกลุ่มดาวที่ทอประกายนอกหน้าต่าง การมองเห็นแสงดาวได้ ต้องผ่านความมืดมิด ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะคฤหาสน์อูวิว ตั้งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย
"สวยเหลือเกิน" ผมพึมพำ ยืนนิ่งนานหลายนาที ชื่นชมทิวทัศน์งามที่ปรากฏตรงหน้า พลางสงสัยว่า ดาวบนฟ้าจะน้อยใจบ้างมั้ย ที่ผู้คนพากันหลับไหล ขณะที่พวกมันขึ้นเวทีเพื่อส่องประกาย
"พรุ่งนี้เป็นวันพิเศษ" ผมบอกกับดวงดาว "ไม่ใช่พิเศษแบบธรรมดา แต่พิเศษสุด ๆ จนไม่มีทางลืมได้เลย"
ผมเตรียมตัวไปพักผ่อนกับฮันนาห์ มันเป็นเสาร์แรกเดือนมกราคม เราตั้งใจมาฉลอง เนื่องในโอกาสเธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคาร ส่วนธุรกิจค้าไวน์ของผมก็ภิญโญสโมสร ปีนี้ครบหกปีที่เรารู้จักกัน
ผมพบฮันนาห์ครั้งแรก ในคาบเรียนวิชาดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์
เธอมีผมบลอนด์ยาวเหยียดตรง ดวงตาสีฟ้าแววประกาย สูงโปร่ง ใบหน้าได้สัดส่วนงดงาม ซึ่งนี่เองทำให้ชายหนุ่มมาติดใจมากมาย เราไม่เคยมีโอกาสคุยกัน กระทั่งเย็นนึง ขณะความมืดเริ่มโรยตัว เธอเดินออกจากหอดูดาว มันตั้งอยู่บนดาดฟ้าริมระเบียง ทอดยาวนาบแนวภูเขาสูง เห็นวิวได้ทั้งเมือง ผมเป็นฝ่ายแสดงความกล้าหาญออกไป
"โอ้โห เหนือพื้นดินยังมีกลุ่มดาวส่องประกายอยู่เหมือนกันแฮะ" ฮันนาห์หันหน้ามองผม เราทั้งคู่จ้องไปยังทิวทัศน์ของเมือง เมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟนับหมื่น ๆ
"ในแสงไฟแต่ละดวงนั้น มีคนหลายประเภทอาศัยอยู่นะคะ" ฮันนาห์ว่า
"ใช่...." ผมว่า "แต่ละคนมีปัญหาของตนคนละแบบ มีมากมายพอ ๆ กับดาวบนฟ้า และปัญหาของผมคือต้องใช้ความกล้าหาญมากทีเดียว ที่จะก้าวเข้ามาทำความรู้จักคุณ"
"คุณกลัวฉันเหรอ ?" เธอสบตาผม แววประหลาดใจ
"ผมกลัวว่า ผู้หญิงสวยอย่างคุณจะไม่คุยกับผม แต่ที่กลัวมากกว่าจริง ๆ คือโอกาสที่พลาดทำความรู้จักคุณ"
"ชีวิตที่กลัวก็เหมือนใช้ชีวิตเพียงครึ่งเดียวนะคะ" ฮันนาห์ว่า
คืนนั้นผมพาเธอไปส่งที่บ้าน เราแลกเบอร์โทรศัพท์กัน..... จากนั้นเจอกันอีกในวันรุ่งขึ้น เราไปเดินเล่นในเมือง ปิกนิกที่เซ็นทรัลพาร์ค และวันถัดไปก็แวะเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ค่ำนั้นผมจุมพิตเธอบนสะพานบรูคลิน เราติดต่อกันเสมอกระทั่งจบการศึกษา... เธอเข้าฝึกงานในธนาคาร BOA ส่วนผมออกมาก่อตั้งธุรกิจค้าไวน์ หกปีเศษ ผมประสบความสำเร็จช่วงอายุยี่สิบตอนปลาย ทุกอย่างมาไวจนตั้งตัวไม่ทัน ผมก้าวไปไกล ขนาดมีไร่องุ่น มีบริษัทต้องดูแล มีทนาย เลขา และคนขับรถส่วนตัว แต่นั่นยังไม่เพียงพอ.... ชีวิตนี้มีสิ่งที่ผมต้องการอีกมากมาย
อากาศตอนเช้าสดชื่นมาก.....เมื่อขับรถถึงริมชายฝั่ง ผมเห็นนกร้องตลอดทาง นกแซนด์ไปเปอร์บินอยู่เหนือหาดทราย.... จากตรงนี้ยังมองไม่เห็นตัวบ้าน แต่ก็นึกภาพออก บ้านตั้งอยู่ระหว่างต้นโอ๊กกับต้นสน มองไปจากตรงนั้น จะมีทุ่งหญ้ากว้างจนจรดทะเล ในตอนกลางคืนเมื่อเงียบสงัดจะได้ยินเสียงคลื่น แว่วมาเบา ๆ ....บ้านทั้งหลัง ประกอบด้วยไม้ซุง มันเป็นพื้นที่ใหญ่สำหรับบ้านหลังเล็ก มีชั้นเดียว สามห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว หนึ่งห้องนั่งเล่น
"ในที่สุดก็ถึงสักที" ผมว่า
"โอ้โห สวยจังเลยค่ะ" ฮันนาห์เอ่ยชม พลางก้าวลงจากรถ
"ผมเรียกมันว่า วังฤดูร้อน ข้างในมีของใช้สำคัญที่จำเป็น สำหรับพักได้ตลอดทั้งสัปดาห์เชียวนะ" เราเข้าไปเก็บเสื้อผ้าในห้องนอน จากนั้นผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เปิดลิ้นชัก หยิบกล่องเล็ก ๆ ขึ้นมาครุ่นคิดอีกครั้ง....
"ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนทีเถอะ" ผมพูดกับตัวเอง พลางเฝ้ารอให้เวลานั้นมาถึงเร็ว ๆ เสียที....
ตกเย็น เรานั่งเบียดชิดกันริมหาด ท้องฟ้าเริ่มมีแสงทองเป็นประกาย ผิวทะเลใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เหมือนเคลือบด้วยทอง.....
"จำลูกหมาพุดเดิ้ลสีดำ ตาดำ ที่เราเคยให้อาหารหน้าธนาคารได้ไหมคะ ?" อยู่ ๆ ฮันนาห์พูดขึ้นอย่างอมยิ้ม
"เจ้าชาคัสนะเหรอ ?"
"ตอนนี้มันคลอดลูกแล้วค่ะ ตั้งแปดตัว ฉันตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่มีใครรับไปเลี้ยง จะเปิดมูลนิธิอุปการระสุนัขจรจัด"
"ดี ผมจะช่วยออกเงินสนับสนุนนะ"
"โอ้ ไม่ดีกว่าค่ะ คุณก็รู้ฉันไม่อยากพึ่งเงินคุณ"
"โธ่ ฮันนาห์.... ชีวิตคนเราสั้นนะ ผมมีโอกาสได้พบคุณแล้ว หากมีอะไรที่ผมสามารถทำให้คุณได้.... ปล่อยให้ผมทำเถอะ"
"แต่ว่า..." ฮันนาห์แย้ง ผมไม่รอให้เธอพูดจบ
"เรื่องเงินไม่เคยเป็นปัญหาของผมเลยนะ ผมมีเงินมากพอที่จะช่วยเหลือคุณได้บริบูรณ์ทุกอย่าง คุณจะไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องนี้เลย"
เธอนิ่งคิดนิดนึง.... "ตกลงค่ะ... แต่แค่เรื่องนี้เท่านั้นนะ....." ฮันนาห์ว่า พลางพูดต่อ "ฉันดีใจ ที่คุณช่วยออกทุน"
"ผมก็ดีใจ ที่คุณดีใจ......" ผมว่า พลางหยิบเศษไม้วาดรูปเจ้าชาคัส ขณะนั้น พระอาทิตย์กำลังตกดิน....
เวลา 20:05 น. เรากลับเข้าบ้านพัก ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น แสงไฟสาดอ่อน ๆ จากเตาผิง ทำให้ผมมองเห็นดวงตาฮันนาห์ ดูเยือกเย็น อ่อนโยน เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ลมเย็น ๆ แสนสดชื่นจากทะเล พัดเข้ามาจากหน้าต่างบานนั้น เธอพกหนังสือไปใหนมาใหนเหมือนเคย และมักหยิบยกข้อความ ของนักเขียนหลายคน ขึ้นมาพูดได้สบาย ๆ ผมรู้สึกเป็นเกียรตเสมอที่ได้ฟังเธอทำแบบนั้น
"ฮันนาห์ คืนนี้ไปนั่งเรือยอชร์ชมดาวในทะเลมั้ย" ผมพูดขณะเหยียดกายพิงโซฟา
ฮันนาห์วางหนังสือในมือลง "ดีสิค่ะ คืนนี้ฟ้าใสด้วย อาจเห็นดาวตกก็ได้"
"ดี ผมจะเอาไวน์ชั้นเยี่ยม ที่พกมาไปด้วย" ผมว่า
เวลา 21:10 น. เราออกจากบ้านพัก เดินไปยังระเบียง มันเป็นไม้ยาว ทำจากต้นโอ๊ค ทอดออกไปนอกทะเล ที่ปลายทางมีเรือยอร์ช 68 SPORTS MOTOR YACHT จอดอยู่ ภายในมีห้องคนขับ ชั้นลอย ห้องเครื่องยนต์ และ ดาดฟ้าสำหรับเดินไปรอบ ๆ กลางตัวเรือเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนทำด้วยไม้สัก ที่นั่งมีเจ็ดเบาะทำด้วยหนังนูบัค มีระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง เครื่องทำน้ำแข็ง และตู้แช่ไวน์.....
ทะเลเงียบสงบเป็นสีครามใส มีสายลมอันหนาวเหน็บโชยมาเป็นระรอก..... ท่ามกลางแสงจันทร์ ที่ส่องกระทบพื้นน้ำ เกิดแสงส่องสว่างระยิบระยับเข้าคู่กับดาวบนฟากฟ้า
"ดูสิคะ แมทธิว ฟ้าสวยเหลือเกิน" ฮันนาห์พูด
ผมแหงนหน้าขึ้นสู่เบื้องบน "คืนนี้ดาวเต็มฟ้าทีเดียว" ผมพูด.....
"อย่าจ้องมองดวงดาว แต่จงเป็นดาว" ฮันนาห์เอ่ย
"อะไรนะ ?" ผมว่า
"มิสซิสแอนนาเคยกล่าวไว้ ในคาบเรียนวิชาดาราสาตร์นะคะ คุณจำได้มั้ย ?"
ความทรงจำผม พลางนึกย้อนสู่ห้วงอดีต.... "อ่อ !! ใช่ ! ความจำคุณนี่เยี่ยมจริง ๆ !!"
"คุณคิดว่า เธอต้องการบอกอะไรเรา ?" ฮันนาห์ถาม
"ผมเคยเดาว่า เธอคงอยากให้เรามีชีวิตที่โดดเด่น มีรัศมีเหมือนดวงดาวบนฟ้า... ว่ากันว่า การจะเป็นดาว ต้องใช้ความมั่นใจ มากกว่าพรสวรรค์...."
ผมหยุดนิดนึง พลางคิดไปถึงเมื่อหกปีก่อน แล้วอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้
"นั่นคุณขันอะไรของคุณคะ ?"
"อ๋อ !! คิดถึงสมัยเรียนนะ ตอนนั้นผมเป็นตัวแสบนี่นะ มิสซิสแอนนาคาดหวังไว้มาก ว่าผมจะล้มเหลว เธอเคยบอกว่า ผมไม่มีทางเรียนจบในสี่ปี ผมก็เลยพิสูจน์ให้เธอเห็น"
"และคุณก็ทำสำเร็จ" ฮันนาห์ว่า
"ใช่ ผมบอกตัวเองว่าจะไม่มีทางให้เธอสมหวัง นี่คือเหตุผล ที่ทำให้ผมตั้งความหวังทุกอย่างไว้สูง คนเราน่ะ ถ้าต้องปากกัดตีนถีบตั้งแต่ต้น ก็ย่อมต้องกลายเป็นนักสู้ไปธรรมดา...." ผมหยุดนิดนึง "ความหวังเป็นสิ่งดีนะ"
"ค่ะ....แต่ความหวัง.....มีไว้สำหรับคนที่ยังไม่สมหวัง...." ฮันนาห์กล่าว ผมสังเกตุเห็นความโศกเศร้าในแววตาเธอ....
"ไวน์สักแก้วมั้ย ?" ผมถาม
"ก็ดีค่ะ"
ผมลุกขึ้นพลางไปเปิดตู้แช่ไวน์ หยิบไวน์แดงปี 1976 รินไวน์สองแก้ว
"ดื่มให้อะไรดีละคะ ?" ฮันนาห์ถาม
"ดื่มให้แก่ค่ำคืนที่แสนโรแมนติค" ผมพูด
ฮันนาห์มองหน้าผม เราทั้งคู่จ้องไปยังทิวทัศน์ของทะเล เหตุการ์ณคืนนี้ผมรู้สึกเหมือนวันแรกที่เราได้คุยกัน แต่ครั้งนี้ต่างไป เพราะมีดาวแผ่กระจายเหนือน่านฟ้า สายลมพัดอ่อนเย็น ๆ แสงจันทร์อบอุ่นเย็นตา ทะเลก็มีเสียงคลื่นเบา ๆ และไกลลิบออกไป.... ฝูงโลมาว่ายกระโดดโผล่พ้นผิวน้ำ
"รู้มั้ยฮันนาห์ ผมชอบช่วงเวลากลางคืนนะ มันเป็นช่วงที่โลกแห่งความจริงกำลังหลับใหล ส่วนโลกแห่งความฝันกำลังเริ่มต้น" ผมพูดขึ้น
"คุณไม่ชอบโลกแห่งความจริงเหรอ ? "
"ใช่....บางครั้งโลกภายนอกไร้ซึ่งความหวัง จนผมต้องเปลี่ยนโลกภายในใจให้มีความหวังเป็น 2 เท่า....." ผมหยุดนิดนึง "แต่เอาเถอะ ยังไงผมก็ชอบกลางคืนมากกว่า นั่นคือเหตุผลที่เลือกเรียนวิชาดาราศาตร์"
"ฉันนึกว่าที่คุณเลือกเรียน เพราะอยากรู้จักฉันมากกว่า"
"นั่นก็ส่วนนึง" ผมว่า
"อุ้ยดาวตก" ฮันนาห์พูดพลางชี้มือไปข้างหลังผม "ได้เห็นดาวตกด้วย...."
ผมหันไปมอง เห็นเพียงพริบตาเดียว มันตกเร็วเหลือเกิน
"อฐิษฐานไม่ทันนะคะ มันร่วงเร็วไป" ฮันนาห์ว่ายิ้มอย่างเสียดาย
"คงเพราะมันวิ่งด้วยความเร็วมากกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง " ผมพูดขึ้น
"มิสสิซิแอนนาเคยบอกว่า ดาวตก คืออุกาบาตที่ตกลงมาจากอวกาศ" ฮันนาห์ตอบ
"ใช่" ผมว่า "เพราะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงลงมา พอเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เลยเกิดเป็นประกายไฟ.... คนสมัยโบราณนะ เห็นประกายไฟของมันเป็นเรื่องแปลก พวกเขาเลยพากันอฐิษฐาน แต่ผมว่า แทนที่จะอธิฐาน สู้คิดซะว่าจะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นดีกว่า"
"คุณจะบอกว่าไม่เชื่อเรื่องในเรื่องคำอธิษฐานเหรอ ?" ฮันนาห์ถาม
"ผมเชื่อในการลงมือ ชีวิตก็เหมือนการโต้คลื่นนะ ต้องทรงตัวบนผิวน้ำให้ได้ตลอดเวลา"
ฮันนาห์ทอดสายตามองไปยังพื้นทะเล..... "แต่ตราบใดทะเลยังมีคลื่น อย่าคาดหวังความราบรื่นในชีวิตนะคะ"
"การโต้คลื่นจะผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าโต้อย่างมีสติ" ผมว่า
"แล้วเรื่องดี ๆ ที่คุณบอกว่าจะเกิดขึ้นคืออะไรละคะ ?" ฮันนาห์ถาม
ผมลุกขึ้นยืน วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะ จ้องมองเธอไม่ละสายตา
"ผมมีบางอย่างให้คุณจดจำคืนนี้ได้แม่น" ผมว่าพลางหยิบกล่องเล็ก ๆ สีแดงออกจากกระเป๋ากางเกง ผมคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
"ฮันนาห์..... ผมรักคุณ รักมากกว่าใครทุกคนที่เคยรู้จักมาในชีวิต แต่งงานกับผมนะ"
ฮันนาห์มองหน้าผม สังเกตุได้เลยว่าเธอซาบซึ้ง นัยน์ตามีน้ำใส ๆ เอ่อขึ้น
"โอ้ แมธธิวค่ะ.... ฉันก็รักคุณ รักมานานแล้วรู้มั้ย !!" เธอตอบด้วยเสียงสะอื้น พลางพูดต่อ
"ฉันหวังได้ยินคุณพูดคำนี้ตั้งนานแล้ว ทำไมเพิ่งพูดเอาป่านนี้ละคะ"
"คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผม.... ฮันนาห์" วินาทีนั้นผมตระหนักทันที ความหวังที่เธอเฝ้ารอ คือต้องการมีชีวิตคู่ร่วมกับผม...
"ตกลงค่ะ ฉันรักคุณ...... รู้มั้ย สิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจอยากอยู่กับคุณชั่วนิรันดร์.... รอยยิ้มคุณไง" ฮันนาห์พูดพร้อมยิ้มสะอึกสะอื้น
ฮันนาห์เปิดกล่องเล็ก ๆ ที่ผมยื่นให้ ในนั้นมีแหวนซัพไฟท์สีน้ำเงิน ผมค่อย ๆ หยิบและสวมมันไว้ที่นิ้วนางซ้ายของเธอ
"หลวมนิดหน่อยนะคะ" ฮันนาห์กล่าว" นี่ ไซส์ห้าสิบแปดแน่ ๆ ฉันใส่ไซส์ห้าสิบหก" เธอยิ้มอย่างเขินอาย
"แย่จริง เดี๋ยวตอนเช้าเราไปปรับขนาดที่ร้านจิวเวลรี่ โอเคมั้ย" ผมหยุดนิดนึงและเอ่ย
"ฮันนาห์ ผมจะเรียนรู้ที่จะรู้จักคุณให้มากกว่านี้ และจะเรียนรู้ที่จะรักคุณให้มากกว่านี้ด้วย"
จากนั้นผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบแหวนให้เธอดูอีกวง "นี่ เป็นแหวนคู่นะ"
มันเป็นแหวนซัฟไฟท์เหมือนกัน ขนาดใหญ่กว่า สำหรับใส่นิ้วมือผู้ชาย
"งั้นเราแลกแหวนกันนะคะ คุณนำแหวนฉันไปซ่อม ส่วนฉันจะเก็บแหวนคุณไว้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราจะสวมมันพร้อมกันที่นี่อีกครั้ง "เธอกล่าว
"เป็นความคิดที่ไม่เลวนี่" ผมว่า
"ค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะมาดูดวงทิตย์ขึ้นที่ชายหาดนี้ ฉันชอบแสงสีกุหลาบยามเช้าของพระอาทิตย์ จากนั้นเราก็ว่ายน้ำทะเล ตกเย็นปิ้งบาบีคิวพร้อมดื่มไวน์แดง พอกลางคืน เราทั้งคู่จะนอนโอบกอดกันมองดูท้องฟ้ายามราตรีบนเรือยอรชน์"
"ฮันนาห์....."
"ค่ะ ?"
"คุณนี่โรแมนติดมากกว่าที่ผมคิดอีกนะ" ผมยิ้มให้เธอ และพูดต่อ
"จดจำช่วงเวลาวันนี้ไว้นะ เพราะวันนึงมันจะจากไป และเราจะต้องการมันกลับมา"
"ค่ะ" ฮันนาห์ยิ้มรับ พยักหน้าเชิงเห็นด้วย