เหลืออีกสองอาทิตย์เข้าสู่ปีใหม่ อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ บางวันก็มีหิมะตก คืนวันศุกร์นี้ยุ่งมากทีเดียว ฉันเข้าเวรกะดึกแผนกผู้ป่วยนอก ต้องทำงานถึงเช้า.... ฉันเดินผ่านแผนกฉุกเฉินและอุบัติเหตุ ก้าวเท้ายาว ๆ หนีความอึกทึก ตั้งใจออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเงียบเฉียบสักระยะ
จมูกฉันแสบอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไร... ก็ยังไม่ชินกลิ่นยาฆ่าเชื้อโรงพยาบาลเสียที.....
ฉันเดินถึงห้องโถง พยาบาล ผู้ช่วยวิ่งวุ่นกันยุ่ง ค่ำนี้ก็เหมือนเมื่อวาน และคงเหมือนพรุ่งนี้ โรงพยาบาล UCLA มักมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามารอบดึกเสมอ... ระหว่างนั้น พยาบาลสองสามคน เข็นผู้ป่วยสวนทางเดินผ่านฉันไป วินาทีนั้นฉันเหลือบมองไปที่รถเข็นนอน... เสื้อผู้ป่วยรายนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด
ฉันไม่ทันเห็นหน้าค่าตา เพราะทุกคนเคลื่อนไหวชลมุนวุ่นวาย ขณะที่พยาบาลเข็นรถเข้าห้องฉุกเฉินในชั่วโมงเร่งด่วน กระเป๋าสตางค์คนเจ็บรายนั้น ได้หล่นดัง ตุ๊บ.... กระทบรองเท้าฉัน มันเป็นกระเป๋าแบรนด์ลาคอส หนังแท้สีน้ำตาลอ่อน ทรงยาว มีซิป และมีเงิน 3 ดอลลาร์กระเด็นออกมา... ฉันก้มลงหยิบขึ้น รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะมันเหมือนกระเป๋าที่ฉันซื้อให้น้องชาย.... ฉันจำรูปทรงได้เพราะเลือกเอง นิ้วมือฉันค่อย ๆ คลี่เปิดออกช้า ๆ สายตาเลื่อนไปตรงบัตรประจำตัว ฉันเห็นรูปของ เจมมี่.......
เจมมี่เป็นน้องชายฉัน เขาอายุ 17 ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีดำ ใบหน้าฉายแววกล้าแกร่ง แต่ดูอ่อนโยน ปีหน้าเขาจะเข้ามหาลัย ส่วนฉันแก่กว่าเขา 8 ปี...... แม่มีฉันตั้งแต่อายุ 18 ทำให้ไม่ได้เรียนต่อ..... ตั้งแต่พ่อทิ้งไปเมื่อ 11 ปีก่อน เราเหลือกันสามคน มี ฉัน แม่ และเจมมี่....
ตลอดเวลาที่เติบโตขึ้นมา ฉันเห็นแม่ทำงานหนักเพื่อเราทั้งคู่ ฉันจึงตั้งใจเรียน จนได้รับทุนไปต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นจบเอกพยาบาลนานาชาติ เป็นที่หนึ่งของรุ่น และได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลดีที่สุดของประเทศ
เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตฉัน หมดไปกับงาน.... ฉันเป็นพยาบาลมาครบหกเดือนแล้ว โรงพยาบาล UCLA แห่งนี้กว้างใหญ่ มีร้านรวงต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านอาหาร ฉันไม่เบื่อเลยเพราะรักงานที่ทำ รักการบริการ ฉันชอบช่วยเหลือคนและสัตว์ที่เจ็บป่วย....
ฉันค่อย ๆ ปิดกระเป๋าสตางค์ลงในมือขวา.... ความทรงจำได้ถอยกลับไปเมื่อสามเดือนก่อน.... คืนนั้นกระเป๋าก็อยู่ในมือข้างนี้ แต่ห่อด้วยกระดาษของขวัญ... ราตรีนั้นเป็นวันเกิดครอบรอบ 17 ปีของเขา เมื่อเจมมี่ถึงหน้าบ้าน 21:35 น. เขาเพิ่งกลับจากฉลองกับเพื่อน ๆ ในวง ฉันกับแม่ตั้งใจเซอร์ไพรส์เขาในห้องนั่งเล่น
เมื่อเจมมี่เปิดประตูเข้ามา เขาวางกีตาร์ลง เอื้อมมือเปิดไฟห้องนั่งเล่น ทันทีที่ไฟสว่าง ฉันกับแม่ก็ยิงพลุกระดาษใส่ !!
"สุขสันต์วันเกิดเจมมี่ !!!" ฉันและแม่เอ่ยพร้อมกันอย่างร่าเริง
เจมมี่สะดุ้งตกใจ เขามองไปรอบ ๆ ...ห้องเต็มไปด้วย ธงประดับ สายรุ้ง และป้ายแบนเนอร์ปาร์ตี้วันเกิด ห้อยระโยงระยา
"ผมนึกว่าแม่กับพี่ ต้องทำงานคืนนี้ซะอีก" เขาพูด
"ตารางงานพี่เปลี่ยน ทำรอบเช้าตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้" ฉันว่า
"แล้วแม่ล่ะฮะ ?" เขาหันไปมองแม่
"แม่ก็ลางานนะสิจ๊ะ วันเกิดลูกทั้งที คนเป็นแม่พลาดไม่ได้หรอก"
"เอ้านี้" ฉันยื่นห่อกระดาษถุง ลายมิกกี้เมาส์ให้เขา
ส่วนแม่เดินเข้าไปในห้องครัว เตรียมยกเค้กออกมา........
"ลองแกะดูสิ" ฉันว่า เจมมีรีบแกะห่อของขวัญออกอย่างรวดเร็ว
"โอ้โห !! นี่มัน...กระเป๋าสตางค์แบรนด์ลาคอสนี่นา !!" เขาก้มมองกระเป๋า นัยน์ตาเป็นประกาย
"พี่รู้ว่าเธอชอบ แบรนด์นี้"
"แต่มันแพงไม่ใช่เหรอฮะ... ผมรู้ว่าพี่ชอบเก็บเงินจะตาย พี่น่ะไม่ชอบใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือยแบบนี้"
"ช่างมันเถอะ ถือเป็นของขวัญไง เอ้าไปกินเค้กกัน "
เราเดินไปนั่งโซฟากลางห้องนั่งเล่น บนโต๊ะมีเค้กก้อนใหญ่วางอยู่ ตัวเค้กเป็นขนมปังนุ่มช๊อคโกแลตคลาสสิค มีความเหนียวข้นของมูสกราเซ่ ข้างในประกอบด้วย คราเมลช็องตีนุ่มฟู ข้างบนเคลือบน้ำหวานองุ่น มีสตรอเบอรี่ 8 ลูก แต่ละลูกนำความอิ่มเอมมาให้ทั้งที่ลิ้นและที่ใจ เรียกได้ว่าเค้กนี้ เป็นของหวานที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ และรสสัมผัสที่แตกต่าง
ฉัน แม่ และเจมมี่ สนุกสนานอย่างรื่นเริง มีเป่าเทียน ถ่ายรูป ร้องเพลง เราพูดคุย หัวเราะเบิกบาน แม้กระทั่งเรื่องตลกฝืด พวกเรายังพลอยหัวเราะไปด้วยกัน....
งานเลี้ยงเลิก เมื่อเวลา 23:10 น. เจมมี่ขึ้นห้องนอน ฉันเดินเข้าไปช่วยแม่ล้างจานในห้องครัว
"เค้กที่แม่ทำ หวานอร่อยมากเลยนะคะ" ฉันว่า
แม่ยิ้มที่มุมปาก... สีหน้าปิติยินดี
"ก็ลูกเล่นใส่น้ำตาลลงไปตั้งเยอะนะ ดอวน์นี่" แม่พูดบ้าง
"แหม.... ก็เจมมี่ เขาชอบกินของหวาน ๆ นี่คะ " ฉันท้วง
เราทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ
"น้องดีใจน่าดู กับกระเป๋าสตางค์ใบนั้น แม่ไม่ได้เห็นน้องยิ้มร่าเริงแบบนั้น ตั้งนานแล้ว" แม่พูดขึ้น
"แค่ของเล็กน้อยค่ะแม่" ฉันว่า
"งานเป็นยังไงมั่งดอว์นนี่" แม่ถาม
"ก็เรื่อย ๆ ค่ะ"
"แล้วหนุ่ม ๆ ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ?" แม่ถามอีก
"ก็นิสัยดีค่ะ ทำไมเหรอ ?" ฉันแปลกใจ ลังเลที่จะตอบแม่...
"ใช่... แต่อาจมีคนนึง ที่ดีกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อยนึง....... ใช่มั้ย ?" แม่กระเซ้ากระซี้
"โธ่..... แม่คะ นี่เรื่องส่วนตัวนะ" ฉันต่อว่า... เรายิ้มให้กัน เป็นยิ้มที่แสดงถึงความเข้าอกเข้าใจของผู้หญิงสองคน ที่ปราถนาจะช่วยเหลือกันและกันเสมือนเพื่อน
"เรื่องระหว่างลูกกับแม่ ไม่ควรมีส่วนตัวนะ" แม่พูด หยุดนิดนึง "ดอวน์ ลูกบอกแม่ได้ทุกเรื่องนะ"
"ค่ะแม่" ฉันพยักหน้ารับ
"พรุ่งนี้ลูกมีงานเช้านี่ รีบไปนอนเถอะไป๊ ที่เหลือแม่จะล้างชามเอง"
ฉันขึ้นบันได ห้องของฉันอยู่ถัดจากเจมมี่ด้านซ้ายมือ มีแสงไฟลอดใต้ประตูห้องเขา ครั้งแรกฉันคิดว่า เจมมี่คงหลับและลืมปิดไฟ แต่เมื่อฉันก้าวเดินผ่าน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าฉัน เปิดประตูห้องออกมา เขายิ้มให้ฉันด้วยมุมปาก รอยยิ้มเป็นพิมพ์เดียวกับแม่เลย.....
"พี่ฮะ ขอบคุณนะครับสำหรับของขวัญ ผมจะใช้มันอย่างดี......"
ฉันยิ้มตอบ..... "กู๊ดไนท์เจมมี่"
"กู๊ดไนท์ฮะพี่......"
ห้องฉุกเฉิน มีกลิ่นแอลกอฮอล์ ยาฆ่าเชื้อ น้ำยาล้างแผล ฉุนมาก ฉันเปิดประตูเข้าไป.....
"หมอ..... นั่นน้องชายฉันค่ะ !!!" ฉันพูดอย่างตื่นตระหนก แพทย์ ผู้ช่วยพยาบาลสามสี่คนหันมามองหน้าฉัน......
"อย่าหยุดมือ !!" คุณหมอวิคเตอร์ออกคำสั่ง พลางก้าวเดินมาหาฉัน เขาอายุ 56 ผมสีเทาเริ่มมีหงอก รูปร่างอ้วน เขาเป็นหมอศัลยแพทย์ที่เก่ง ทุกคนในโรงพยาบาลต่างให้ความเคารพมาก เขาพูดขึ้นช้า ๆ "นั่นน้องชายเธอเหรอ...."
"ค่ะ ! เจมมี่อาการเป็นยังไงบ้างคะ ?"
"สาหัสทีเดียว เขาถูกรถชน..... กระดูกขา และเท้าสองข้างหัก สะโพกกับไหล่เคลื่อน มีแผลที่ผนังช่องอก การกระแทกรุนแรงมาก ทำให้กระดูกซีโครงหักสี่แห่ง หมอสันนิษฐานว่า ไตและม้ามแตกด้วย.... ตอนนี้ทีมแพทย์ที่เก่งที่สุดช่วยกันผ่าตัดอย่างสุดความสามารถ..."
ฉันหน้าถอดสีขึ้นทันที พลางร้องถาม
"เจมมี่จะไม่ตายใช่มั้ยคะ !!.... หมอช่วยเขาได้ใช่มั้ย !?" ฉันพูดอย่างกระวนกระวาย
"เรื่องนั้น...." หมอหยุดนิดนึง "ความเป็นไปได้ในการรอดชีวิตยังไม่แน่นอน หมอไม่สามารถให้คำตอบในเวลานี้" หมอวิคเตอร์ไม่สบตาฉัน.... เขาหันหน้าไปทางเจมมี่
"หมอรับปากกับหนูสิคะ !!! ...... ได้โปรดเถอะค่ะ !! บอกสิคะ ! หนูอยากได้ยิน !!!....." ฉันอ้อนวอน
"ดอวน์นี่....." คุณหมอพูดอย่างเห็นใจ
ขณะนั้น ทีมแพทย์พูดขึ้น "หมอครับ ชีพจรเต้นช้าลง !!......"
ฉันตะโกนสุดเสียงออกไปทันที "เจมมี่ !!! เธออย่าเพิ่งไปนะ !!! อดทนไว้ก่อน !!...... จะตายไม่ได้นะ !!! อย่ายอมแพ้นะเจมมี่ !!!!"
คุณหมอจับหัวไหล่ฉัน "ดอว์นนี่ ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะนะ ปล่อยให้หมอทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จก่อน"
การผ่าตัดกินเวลายาวนาน.... ฉันจ้องมองนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลา 23:30 น. ฉันนั่งรออยู่ในห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน ที่นี่มีหนังสือ และโทรทัศน์ก็กำลังฉายข่าว เกี่ยวกับรถชนแล้วหนีในคืนนี้ ทีวีได้ฉายภาพจากกล้องวงจรปิด ฉันได้เห็นภาพวินาทีเฉือดเฉือนหัวใจ.... รถเก๋งสีแดงคันนั้น ได้ขับแซงรถแวนคันเล็กซึ่งแล่นช้า ทำให้ขับกินทางสวนเลนออกไปมาก วินาทีนั้นรถบรรทุกก็วิ่งสวนมา รถเก๋งได้หักหลบอย่างรวดเร็ว วิ่งพุ่งไปบนทางเท้า ชนปะทะร่างของเจมมี่ กระเด็นไปที่ถนน !! หลังจากนั้นคนขับไม่แม้แต่จะลงมาดู กลับพยายามถอยรถหนี จนทับเจมมี่อีกครั้ง !!! ใจฉันสั่นระรัว เมื่อมองภาพที่ปรากฏต่อสายตา.......
ข่าวบอกว่าคนขับรถยนต์คันนั้นเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 เมา แอบขโมยกุญแจรถพ่อตัวเองมา ฉันไม่ได้สนใจฟังข่าวต่อจากนั้นเลย.... รู้สึกโกรธแค้นคนขับเหลือเกิน....
ฉันภาวนาให้เจมมี่ปลอดภัย ฉันนึกไปถึงพระเจ้า บาทหลวงเคยบอกว่า ท่านอยู่กับเราเสมอ..... ถ้าพระเจ้าอยู่ในทุก ๆ ที่ ฉันก็เชื่อว่าพระองค์อยู่ในห้องนี้กับฉัน "ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยเจมมี่ด้วย อย่าให้เขาตายเลยนะคะ"
สิ่งเดียวในโลกที่ฉันทำได้เวลานี้ คือสวดวิงวอน
หัวหน้าพยาบาลเดินมาหาฉัน เธอมีผมสีน้ำผึ้ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เธอมีตาที่สวย แต่ชอบใส่แว่นกรอบสีขาวบดบัง เธอเคยเห็นเจมมี่มาหาฉันที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง
"ฉันเพิ่งคุยกับหมอวิคเตอร์" หัวหน้าพยาบาลพูดขึ้น "เสียใจด้วยนะ เรื่องน้องชาย...." เธอพูดอย่างจริงใจ ปลอบด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง อ่อนโยน แบบที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฉันนั่งไหล่คู้ด้วยความทุกข์ทรมาน นัยน์ตาเหมื่อมองไปข้างหน้าอย่างไรจุดหมาย "ค่ะ" ฉันตอบโดยไม่มองหน้าเธอ
"หน้าสีซีดเชียวนะ ดอว์นนี่"
ฉันเงยหน้าขึ้นจ้องมองแววตาเธอ ใบหน้าฉันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น "แสงไฟนะคะ มันไม่เคยทำให้ใบหน้าใครดูมีเลือดฝาด" ฉันพูด
"คืนนี้ไม่ต้องทำงานหรอก ฉันให้เธอหยุดวันนี้ "
"แต่ว่า....."
"ไม่มีประโยชน์หรอก ที่จะต้องทำงานในขณะที่จิตใจกำลังแย่ ไปพักเถอะ ไปดูอาการน้อง ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการให้" หัวหน้าพยาบาลพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ
ฉันพยักหน้ารับ "ขอบคุณค่ะ......."
"โธ่... ดอว์นนี่..... อย่าขอบคุณฉันเลย..... ฉันมั่นใจว่าถ้าบทบาทเราสลับกัน เธอก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน.... ฉันอยากทำประโยชน์อะไรให้เธอเพิ่มอีกเหลือเกิน....
"จริงสิ ! อยากจะจิบอะไรสักหน่อยมั้ย ?" หัวหน้าพยาบาลถาม น้ำเสียงเธอห่วงใยฉันจริง ๆ
"ไม่ค่ะ........ ฉันดื่มอะไรไม่ลง" ฉันตอบด้วยเสียงที่ไร้ความรู้สึก
"ฉันทิ้งเธอไว้คนเดียวได้นะ" หัวหน้าพยาบาลถามอีก เธอจ้องฉันลอดแว่นตาอย่างอ่อนโยน
"ได้ค่ะ ขอบคุณ......." ฉันพูดเสียงพร่า ก้มหน้าลง
จากนั้น เธอเดินผละออกห้องโถงไป.....
ตี 1:35 น. ฉันเดินเข้าไปแผนกฉุกเฉินและอุบัติเหตุอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะไปถามอาการเจมมี่ ขณะนั้น คุณหมอวิคเตอร์เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมาพอดี หมอมองหน้าฉัน ดวงตาเราสบกัน แล้วเขา.... ก็ส่ายหน้า ช้า ๆ อย่างเศร้าโศก สลดใจ..... เสี้ยววินาทีนั้น อะไรบางอย่างในสายตาหมอ บอกผ่านตรงมาที่ใจฉันสะท้อนดังกึกก้องเป็นคำอยู่ในอก
เจมมี่ไปแล้ว..... จากเราไปแล้ว......
หัวใจฉันร่วงหล่นลงทันที เข่าอ่อนหมดเรียวแรงลงทันใด..... ร่างกายฉันทรุดลง ปฏิเสธ....ที่จะตอบสนองต่อทุกสิ่ง
"ดอวน์นี่ เธอ....โอเคมั้ย !" คุณหมอวิคเตอร์ถามอย่างตระหนกตกใจ
"ไม่ค่ะ !! ไม่โอเค !!! นี่มันห่างไกลจากคำว่าโอเคไปมากโขเลย !!!!" ฉันตอบเสียงสั่นระรัว...
หมอวิคเตอร์เข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้น ฉันมองเข้าไปในห้องภายใน สายตาจ้องจับผ่านกระจกเหมือนทะลุประตู ชีวิตของเจมมี่ได้ยุติลงในห้องเล็ก ๆ นี่ เครื่องไม้เครื่องมือในการช่วยชีวิตได้ถูกปลดออกหมดแล้ว มีผ้าขาวคลุมเอาไว้.....
ฉันเปิดประตูห้องฉุกเฉิน มือไม้สั่นขณะกำลูกบิด.... ฉันเดินตรงไปข้างเตียงเขา.... โลกแตกดับลงไปตรงนี้ในชีวิตของเจมมี่ และก็ในความรู้สึกของฉัน..... นื้วมือฉันค่อย ๆ เลื่อนผ้าออก ใบหน้าเขาดูสงบเหลือเกิน เหมือนแค่หลับไป ฉันก้มลงจูบหน้าผากเขา....
มันเป็นสัญญาณ...แห่งการลาจากของเราสองคน.......
วินาทีต่อมาน้ำตาก็ไหลลงมาบนแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ หยดลงที่ใบหน้าของเจมมี่ น้ำตาหยดลงใส่ผ้า ฉันปล่อยให้มันหยดไป....
DS 1 | เรื่องสั้น กระเป๋าสตางค์ของเจมมี่
จมูกฉันแสบอีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไร... ก็ยังไม่ชินกลิ่นยาฆ่าเชื้อโรงพยาบาลเสียที.....
ฉันเดินถึงห้องโถง พยาบาล ผู้ช่วยวิ่งวุ่นกันยุ่ง ค่ำนี้ก็เหมือนเมื่อวาน และคงเหมือนพรุ่งนี้ โรงพยาบาล UCLA มักมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามารอบดึกเสมอ... ระหว่างนั้น พยาบาลสองสามคน เข็นผู้ป่วยสวนทางเดินผ่านฉันไป วินาทีนั้นฉันเหลือบมองไปที่รถเข็นนอน... เสื้อผู้ป่วยรายนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด
ฉันไม่ทันเห็นหน้าค่าตา เพราะทุกคนเคลื่อนไหวชลมุนวุ่นวาย ขณะที่พยาบาลเข็นรถเข้าห้องฉุกเฉินในชั่วโมงเร่งด่วน กระเป๋าสตางค์คนเจ็บรายนั้น ได้หล่นดัง ตุ๊บ.... กระทบรองเท้าฉัน มันเป็นกระเป๋าแบรนด์ลาคอส หนังแท้สีน้ำตาลอ่อน ทรงยาว มีซิป และมีเงิน 3 ดอลลาร์กระเด็นออกมา... ฉันก้มลงหยิบขึ้น รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เพราะมันเหมือนกระเป๋าที่ฉันซื้อให้น้องชาย.... ฉันจำรูปทรงได้เพราะเลือกเอง นิ้วมือฉันค่อย ๆ คลี่เปิดออกช้า ๆ สายตาเลื่อนไปตรงบัตรประจำตัว ฉันเห็นรูปของ เจมมี่.......
เจมมี่เป็นน้องชายฉัน เขาอายุ 17 ผมสีน้ำตาล นัยน์ตาสีดำ ใบหน้าฉายแววกล้าแกร่ง แต่ดูอ่อนโยน ปีหน้าเขาจะเข้ามหาลัย ส่วนฉันแก่กว่าเขา 8 ปี...... แม่มีฉันตั้งแต่อายุ 18 ทำให้ไม่ได้เรียนต่อ..... ตั้งแต่พ่อทิ้งไปเมื่อ 11 ปีก่อน เราเหลือกันสามคน มี ฉัน แม่ และเจมมี่....
ตลอดเวลาที่เติบโตขึ้นมา ฉันเห็นแม่ทำงานหนักเพื่อเราทั้งคู่ ฉันจึงตั้งใจเรียน จนได้รับทุนไปต่อมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากนั้นจบเอกพยาบาลนานาชาติ เป็นที่หนึ่งของรุ่น และได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลดีที่สุดของประเทศ
เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตฉัน หมดไปกับงาน.... ฉันเป็นพยาบาลมาครบหกเดือนแล้ว โรงพยาบาล UCLA แห่งนี้กว้างใหญ่ มีร้านรวงต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านอาหาร ฉันไม่เบื่อเลยเพราะรักงานที่ทำ รักการบริการ ฉันชอบช่วยเหลือคนและสัตว์ที่เจ็บป่วย....
ฉันค่อย ๆ ปิดกระเป๋าสตางค์ลงในมือขวา.... ความทรงจำได้ถอยกลับไปเมื่อสามเดือนก่อน.... คืนนั้นกระเป๋าก็อยู่ในมือข้างนี้ แต่ห่อด้วยกระดาษของขวัญ... ราตรีนั้นเป็นวันเกิดครอบรอบ 17 ปีของเขา เมื่อเจมมี่ถึงหน้าบ้าน 21:35 น. เขาเพิ่งกลับจากฉลองกับเพื่อน ๆ ในวง ฉันกับแม่ตั้งใจเซอร์ไพรส์เขาในห้องนั่งเล่น
เมื่อเจมมี่เปิดประตูเข้ามา เขาวางกีตาร์ลง เอื้อมมือเปิดไฟห้องนั่งเล่น ทันทีที่ไฟสว่าง ฉันกับแม่ก็ยิงพลุกระดาษใส่ !!
"สุขสันต์วันเกิดเจมมี่ !!!" ฉันและแม่เอ่ยพร้อมกันอย่างร่าเริง
เจมมี่สะดุ้งตกใจ เขามองไปรอบ ๆ ...ห้องเต็มไปด้วย ธงประดับ สายรุ้ง และป้ายแบนเนอร์ปาร์ตี้วันเกิด ห้อยระโยงระยา
"ผมนึกว่าแม่กับพี่ ต้องทำงานคืนนี้ซะอีก" เขาพูด
"ตารางงานพี่เปลี่ยน ทำรอบเช้าตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้" ฉันว่า
"แล้วแม่ล่ะฮะ ?" เขาหันไปมองแม่
"แม่ก็ลางานนะสิจ๊ะ วันเกิดลูกทั้งที คนเป็นแม่พลาดไม่ได้หรอก"
"เอ้านี้" ฉันยื่นห่อกระดาษถุง ลายมิกกี้เมาส์ให้เขา
ส่วนแม่เดินเข้าไปในห้องครัว เตรียมยกเค้กออกมา........
"ลองแกะดูสิ" ฉันว่า เจมมีรีบแกะห่อของขวัญออกอย่างรวดเร็ว
"โอ้โห !! นี่มัน...กระเป๋าสตางค์แบรนด์ลาคอสนี่นา !!" เขาก้มมองกระเป๋า นัยน์ตาเป็นประกาย
"พี่รู้ว่าเธอชอบ แบรนด์นี้"
"แต่มันแพงไม่ใช่เหรอฮะ... ผมรู้ว่าพี่ชอบเก็บเงินจะตาย พี่น่ะไม่ชอบใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือยแบบนี้"
"ช่างมันเถอะ ถือเป็นของขวัญไง เอ้าไปกินเค้กกัน "
เราเดินไปนั่งโซฟากลางห้องนั่งเล่น บนโต๊ะมีเค้กก้อนใหญ่วางอยู่ ตัวเค้กเป็นขนมปังนุ่มช๊อคโกแลตคลาสสิค มีความเหนียวข้นของมูสกราเซ่ ข้างในประกอบด้วย คราเมลช็องตีนุ่มฟู ข้างบนเคลือบน้ำหวานองุ่น มีสตรอเบอรี่ 8 ลูก แต่ละลูกนำความอิ่มเอมมาให้ทั้งที่ลิ้นและที่ใจ เรียกได้ว่าเค้กนี้ เป็นของหวานที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ และรสสัมผัสที่แตกต่าง
ฉัน แม่ และเจมมี่ สนุกสนานอย่างรื่นเริง มีเป่าเทียน ถ่ายรูป ร้องเพลง เราพูดคุย หัวเราะเบิกบาน แม้กระทั่งเรื่องตลกฝืด พวกเรายังพลอยหัวเราะไปด้วยกัน....
งานเลี้ยงเลิก เมื่อเวลา 23:10 น. เจมมี่ขึ้นห้องนอน ฉันเดินเข้าไปช่วยแม่ล้างจานในห้องครัว
"เค้กที่แม่ทำ หวานอร่อยมากเลยนะคะ" ฉันว่า
แม่ยิ้มที่มุมปาก... สีหน้าปิติยินดี
"ก็ลูกเล่นใส่น้ำตาลลงไปตั้งเยอะนะ ดอวน์นี่" แม่พูดบ้าง
"แหม.... ก็เจมมี่ เขาชอบกินของหวาน ๆ นี่คะ " ฉันท้วง
เราทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ
"น้องดีใจน่าดู กับกระเป๋าสตางค์ใบนั้น แม่ไม่ได้เห็นน้องยิ้มร่าเริงแบบนั้น ตั้งนานแล้ว" แม่พูดขึ้น
"แค่ของเล็กน้อยค่ะแม่" ฉันว่า
"งานเป็นยังไงมั่งดอว์นนี่" แม่ถาม
"ก็เรื่อย ๆ ค่ะ"
"แล้วหนุ่ม ๆ ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ?" แม่ถามอีก
"ก็นิสัยดีค่ะ ทำไมเหรอ ?" ฉันแปลกใจ ลังเลที่จะตอบแม่...
"ใช่... แต่อาจมีคนนึง ที่ดีกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อยนึง....... ใช่มั้ย ?" แม่กระเซ้ากระซี้
"โธ่..... แม่คะ นี่เรื่องส่วนตัวนะ" ฉันต่อว่า... เรายิ้มให้กัน เป็นยิ้มที่แสดงถึงความเข้าอกเข้าใจของผู้หญิงสองคน ที่ปราถนาจะช่วยเหลือกันและกันเสมือนเพื่อน
"เรื่องระหว่างลูกกับแม่ ไม่ควรมีส่วนตัวนะ" แม่พูด หยุดนิดนึง "ดอวน์ ลูกบอกแม่ได้ทุกเรื่องนะ"
"ค่ะแม่" ฉันพยักหน้ารับ
"พรุ่งนี้ลูกมีงานเช้านี่ รีบไปนอนเถอะไป๊ ที่เหลือแม่จะล้างชามเอง"
ฉันขึ้นบันได ห้องของฉันอยู่ถัดจากเจมมี่ด้านซ้ายมือ มีแสงไฟลอดใต้ประตูห้องเขา ครั้งแรกฉันคิดว่า เจมมี่คงหลับและลืมปิดไฟ แต่เมื่อฉันก้าวเดินผ่าน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าฉัน เปิดประตูห้องออกมา เขายิ้มให้ฉันด้วยมุมปาก รอยยิ้มเป็นพิมพ์เดียวกับแม่เลย.....
"พี่ฮะ ขอบคุณนะครับสำหรับของขวัญ ผมจะใช้มันอย่างดี......"
ฉันยิ้มตอบ..... "กู๊ดไนท์เจมมี่"
"กู๊ดไนท์ฮะพี่......"
ห้องฉุกเฉิน มีกลิ่นแอลกอฮอล์ ยาฆ่าเชื้อ น้ำยาล้างแผล ฉุนมาก ฉันเปิดประตูเข้าไป.....
"หมอ..... นั่นน้องชายฉันค่ะ !!!" ฉันพูดอย่างตื่นตระหนก แพทย์ ผู้ช่วยพยาบาลสามสี่คนหันมามองหน้าฉัน......
"อย่าหยุดมือ !!" คุณหมอวิคเตอร์ออกคำสั่ง พลางก้าวเดินมาหาฉัน เขาอายุ 56 ผมสีเทาเริ่มมีหงอก รูปร่างอ้วน เขาเป็นหมอศัลยแพทย์ที่เก่ง ทุกคนในโรงพยาบาลต่างให้ความเคารพมาก เขาพูดขึ้นช้า ๆ "นั่นน้องชายเธอเหรอ...."
"ค่ะ ! เจมมี่อาการเป็นยังไงบ้างคะ ?"
"สาหัสทีเดียว เขาถูกรถชน..... กระดูกขา และเท้าสองข้างหัก สะโพกกับไหล่เคลื่อน มีแผลที่ผนังช่องอก การกระแทกรุนแรงมาก ทำให้กระดูกซีโครงหักสี่แห่ง หมอสันนิษฐานว่า ไตและม้ามแตกด้วย.... ตอนนี้ทีมแพทย์ที่เก่งที่สุดช่วยกันผ่าตัดอย่างสุดความสามารถ..."
ฉันหน้าถอดสีขึ้นทันที พลางร้องถาม
"เจมมี่จะไม่ตายใช่มั้ยคะ !!.... หมอช่วยเขาได้ใช่มั้ย !?" ฉันพูดอย่างกระวนกระวาย
"เรื่องนั้น...." หมอหยุดนิดนึง "ความเป็นไปได้ในการรอดชีวิตยังไม่แน่นอน หมอไม่สามารถให้คำตอบในเวลานี้" หมอวิคเตอร์ไม่สบตาฉัน.... เขาหันหน้าไปทางเจมมี่
"หมอรับปากกับหนูสิคะ !!! ...... ได้โปรดเถอะค่ะ !! บอกสิคะ ! หนูอยากได้ยิน !!!....." ฉันอ้อนวอน
"ดอวน์นี่....." คุณหมอพูดอย่างเห็นใจ
ขณะนั้น ทีมแพทย์พูดขึ้น "หมอครับ ชีพจรเต้นช้าลง !!......"
ฉันตะโกนสุดเสียงออกไปทันที "เจมมี่ !!! เธออย่าเพิ่งไปนะ !!! อดทนไว้ก่อน !!...... จะตายไม่ได้นะ !!! อย่ายอมแพ้นะเจมมี่ !!!!"
คุณหมอจับหัวไหล่ฉัน "ดอว์นนี่ ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะนะ ปล่อยให้หมอทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จก่อน"
การผ่าตัดกินเวลายาวนาน.... ฉันจ้องมองนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลา 23:30 น. ฉันนั่งรออยู่ในห้องโถงของแผนกฉุกเฉิน ที่นี่มีหนังสือ และโทรทัศน์ก็กำลังฉายข่าว เกี่ยวกับรถชนแล้วหนีในคืนนี้ ทีวีได้ฉายภาพจากกล้องวงจรปิด ฉันได้เห็นภาพวินาทีเฉือดเฉือนหัวใจ.... รถเก๋งสีแดงคันนั้น ได้ขับแซงรถแวนคันเล็กซึ่งแล่นช้า ทำให้ขับกินทางสวนเลนออกไปมาก วินาทีนั้นรถบรรทุกก็วิ่งสวนมา รถเก๋งได้หักหลบอย่างรวดเร็ว วิ่งพุ่งไปบนทางเท้า ชนปะทะร่างของเจมมี่ กระเด็นไปที่ถนน !! หลังจากนั้นคนขับไม่แม้แต่จะลงมาดู กลับพยายามถอยรถหนี จนทับเจมมี่อีกครั้ง !!! ใจฉันสั่นระรัว เมื่อมองภาพที่ปรากฏต่อสายตา.......
ข่าวบอกว่าคนขับรถยนต์คันนั้นเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15 เมา แอบขโมยกุญแจรถพ่อตัวเองมา ฉันไม่ได้สนใจฟังข่าวต่อจากนั้นเลย.... รู้สึกโกรธแค้นคนขับเหลือเกิน....
ฉันภาวนาให้เจมมี่ปลอดภัย ฉันนึกไปถึงพระเจ้า บาทหลวงเคยบอกว่า ท่านอยู่กับเราเสมอ..... ถ้าพระเจ้าอยู่ในทุก ๆ ที่ ฉันก็เชื่อว่าพระองค์อยู่ในห้องนี้กับฉัน "ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยเจมมี่ด้วย อย่าให้เขาตายเลยนะคะ"
สิ่งเดียวในโลกที่ฉันทำได้เวลานี้ คือสวดวิงวอน
หัวหน้าพยาบาลเดินมาหาฉัน เธอมีผมสีน้ำผึ้ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน เธอมีตาที่สวย แต่ชอบใส่แว่นกรอบสีขาวบดบัง เธอเคยเห็นเจมมี่มาหาฉันที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง
"ฉันเพิ่งคุยกับหมอวิคเตอร์" หัวหน้าพยาบาลพูดขึ้น "เสียใจด้วยนะ เรื่องน้องชาย...." เธอพูดอย่างจริงใจ ปลอบด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง อ่อนโยน แบบที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฉันนั่งไหล่คู้ด้วยความทุกข์ทรมาน นัยน์ตาเหมื่อมองไปข้างหน้าอย่างไรจุดหมาย "ค่ะ" ฉันตอบโดยไม่มองหน้าเธอ
"หน้าสีซีดเชียวนะ ดอว์นนี่"
ฉันเงยหน้าขึ้นจ้องมองแววตาเธอ ใบหน้าฉันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น "แสงไฟนะคะ มันไม่เคยทำให้ใบหน้าใครดูมีเลือดฝาด" ฉันพูด
"คืนนี้ไม่ต้องทำงานหรอก ฉันให้เธอหยุดวันนี้ "
"แต่ว่า....."
"ไม่มีประโยชน์หรอก ที่จะต้องทำงานในขณะที่จิตใจกำลังแย่ ไปพักเถอะ ไปดูอาการน้อง ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการให้" หัวหน้าพยาบาลพูดอย่างเห็นอกเห็นใจ
ฉันพยักหน้ารับ "ขอบคุณค่ะ......."
"โธ่... ดอว์นนี่..... อย่าขอบคุณฉันเลย..... ฉันมั่นใจว่าถ้าบทบาทเราสลับกัน เธอก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน.... ฉันอยากทำประโยชน์อะไรให้เธอเพิ่มอีกเหลือเกิน....
"จริงสิ ! อยากจะจิบอะไรสักหน่อยมั้ย ?" หัวหน้าพยาบาลถาม น้ำเสียงเธอห่วงใยฉันจริง ๆ
"ไม่ค่ะ........ ฉันดื่มอะไรไม่ลง" ฉันตอบด้วยเสียงที่ไร้ความรู้สึก
"ฉันทิ้งเธอไว้คนเดียวได้นะ" หัวหน้าพยาบาลถามอีก เธอจ้องฉันลอดแว่นตาอย่างอ่อนโยน
"ได้ค่ะ ขอบคุณ......." ฉันพูดเสียงพร่า ก้มหน้าลง
จากนั้น เธอเดินผละออกห้องโถงไป.....
ตี 1:35 น. ฉันเดินเข้าไปแผนกฉุกเฉินและอุบัติเหตุอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะไปถามอาการเจมมี่ ขณะนั้น คุณหมอวิคเตอร์เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมาพอดี หมอมองหน้าฉัน ดวงตาเราสบกัน แล้วเขา.... ก็ส่ายหน้า ช้า ๆ อย่างเศร้าโศก สลดใจ..... เสี้ยววินาทีนั้น อะไรบางอย่างในสายตาหมอ บอกผ่านตรงมาที่ใจฉันสะท้อนดังกึกก้องเป็นคำอยู่ในอก
เจมมี่ไปแล้ว..... จากเราไปแล้ว......
หัวใจฉันร่วงหล่นลงทันที เข่าอ่อนหมดเรียวแรงลงทันใด..... ร่างกายฉันทรุดลง ปฏิเสธ....ที่จะตอบสนองต่อทุกสิ่ง
"ดอวน์นี่ เธอ....โอเคมั้ย !" คุณหมอวิคเตอร์ถามอย่างตระหนกตกใจ
"ไม่ค่ะ !! ไม่โอเค !!! นี่มันห่างไกลจากคำว่าโอเคไปมากโขเลย !!!!" ฉันตอบเสียงสั่นระรัว...
หมอวิคเตอร์เข้ามาพยุงฉันให้ลุกขึ้น ฉันมองเข้าไปในห้องภายใน สายตาจ้องจับผ่านกระจกเหมือนทะลุประตู ชีวิตของเจมมี่ได้ยุติลงในห้องเล็ก ๆ นี่ เครื่องไม้เครื่องมือในการช่วยชีวิตได้ถูกปลดออกหมดแล้ว มีผ้าขาวคลุมเอาไว้.....
ฉันเปิดประตูห้องฉุกเฉิน มือไม้สั่นขณะกำลูกบิด.... ฉันเดินตรงไปข้างเตียงเขา.... โลกแตกดับลงไปตรงนี้ในชีวิตของเจมมี่ และก็ในความรู้สึกของฉัน..... นื้วมือฉันค่อย ๆ เลื่อนผ้าออก ใบหน้าเขาดูสงบเหลือเกิน เหมือนแค่หลับไป ฉันก้มลงจูบหน้าผากเขา....
มันเป็นสัญญาณ...แห่งการลาจากของเราสองคน.......
วินาทีต่อมาน้ำตาก็ไหลลงมาบนแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ หยดลงที่ใบหน้าของเจมมี่ น้ำตาหยดลงใส่ผ้า ฉันปล่อยให้มันหยดไป....