ความเหมาะสมในทางโลก ไม่ใช่ความถูกต้องในทางธรรม
ความเหมาะสมในทางโลกนั้น คนทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ ที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง ว่าจะอยู่ หรือว่าจะตาย (คิดแบบคนที่ไม่รู้เรื่องกฏแห่งกรรม)
คิดว่าอะไรที่หมดหนทางที่จะรักษา หรืออะไรที่หมดหนทางที่จะแก้ไข
ถ้าทำให้ผู้ป่วยตายอย่างรวบรัดได้ ถือว่าเป็นการลดความเจ็บปวดทรมานของผู้ป่วย
และเป็นการลดภาระในการดูแลรักษา (เพราะค่าดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยหนักจะเสียค่าใช้จ่ายแพงมาก)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แต่ในทางธรรมนั้น เราไม่ควรที่จะไปพรากชีวิต หรือ ปลิดชีวิตผู้ใดลงทั้งสิ้น เพราะจะเป็นกรรมปาณาติบาต
ถ้าคนเราเกิดมาแล้วตายชาติเดียวจบ การรีบชิงฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บปวดทรมานให้เร็วที่สุด ย่อมจะเป็นวิธีที่ฉลาด
แต่คนเราเมื่อตายแล้ว ยังมีไปเกิดต่ออีก การฆ่าตัวตายจึงเป็นเรื่องที่เสียโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และเสี่ยงที่จะตกอบายภูมิ
การที่คุณคิดจะฆ่าตัวตายนั้น คุณเพียงแค่อยากจะหนีจากอะไรซักอย่างนึงเท่านั้น คุณคิดว่าพอฆ่าตัวตายแล้วจบ จะไม่มีไปเกิดต่อที่ไหนอีก
แต่ความจริงก็คือ เมื่อคุณฆ่าตัวตายแล้ว คุณจะเจอเรื่องที่มันจะทำให้คุณทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิมมาก
เพราะว่า.....
การฆ่าตัวตายแล้วตกอบายภูมิเป็นสัตว์นรก จะทำให้คุณทุกข์ทรมานหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะการทรมานในนรกไม่มีหยุดพัก (คนยังมีหยุดพักได้)
เพราะฉนั้น ความทุกข์ทรมานในขณะที่เกิดเป็นมนุษย์นั้น ไม่ว่าคุณจะคิดว่ามันเป็นความทุกข์ที่แสนสาหัสเพียงใดก็ตาม
แต่เมื่อเทียบกับความทุกข์ในนรกแล้ว ยังเทียบกับความทุกข์ทรมานจากการตกนรกไม่ได้เลยเพียงเสี้ยว
ความทุกข์ทรมานในนรก เป็นความทุกข์ที่แสนสาหัสยิ่งกว่านี้มาก
เพราะฉนั้น การคิดจะฆ่าตัวตาย หรือ อยากจะให้คนที่ตัวเองรักฆ่าตัวตาย จึงเป็นความคิดที่ผิดมหันต์มาก
การุณยฆาต มีการทำหลายวิธี เช่น ให้ผู้อื่น ฉีดยาให้สลบก่อน แล้วค่อยฉีดยาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหยุดเต้น , หรือ กินยาตายเอง ฯลฯ
แม้ว่าคุณจะเต็มใจลงมือฆ่าตัวตายด้วยตนเองก็ตาม แต่มันก็เป็นโทษในทางธรรม
เพราะการฆ่าตัวตายของปุถุชน เกิดจากอารมณ์ที่เป็นอกุศล (ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ตัดละร่างกายได้หมดจด ของพระอรหันต์)
เป็นการสร้างกรรมชนิดหนึ่ง พอตายแล้วไปอบายภูมิ (
เพราะฉนั้น ลืมเรื่องการฆ่าตัวตายไปได้เลย จะฆ่าตัวเอง หรือ จะให้คนอื่นฆ่าให้ ก็บาปทั้งสิ้น)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราจะต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น (โดยเอาการทรงอยู่ของสติสัมปชัญญะ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย เป็นหลักในการพิจารณา)
1.ทำให้ตาย โดยการดึงเครื่องพยุงชีพออก
ถ้าผู้ป่วยเป็นผู้ป่วยติดเตียง "
ที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว" (
และเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องพยุงชีพเอาไว้)
ในกรณีนี้ คุณสามารถจะให้หมอเอาอุปกรณ์ช่วยพยุงชีพออกได้
เพราะว่าจริงๆแล้ว ร่างกายของผู้ป่วยคนนี้เขาไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตนเองแล้ว ถ้าไม่มีเครื่องมือเหล่านี้มาช่วยพยุงชีพเอาไว้
ถ้าเราไปให้หมอเอาออก จะไม่ถือว่าเป็นกรรมปาณาติบาต
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.แต่ถ้าเป็น "
ผู้ป่วยที่ยังรู้สึกตัว" แต่ต้องการจะปลิดชีวิตตนเอง (อยากจะให้ผู้อื่นฉีดยาสลบและตามด้วยการฉีดยาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหยุดเต้น ให้)
ในกรณีนี้ ไม่ว่าผู้ป่วย จะแข็งแรงดี หรือว่ากำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานมากแค่ไหนก็ตาม ห้ามทำการุณยฆาต ให้อย่างเด็ดขาด (แต่ฉีดยาบรรเทาปวดได้)
ถ้าผู้ป่วยคนนั้นยังรู้สึกตัว ก็แสดงว่าเขายังมีชีวิต ในเมื่อเขายังมีชีวิต จึงห้ามทำการุณยฆาตให้ทุกวิถีทาง (พูดง่ายๆก็คือ
ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ห้ามอย่างเดียว)
ถ้าผู้ป่วยเขายังรู้สึกตัวมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ห้ามทำการุณฆาตเด็ดขาด (จะเป็นกรรมปาณาติบาต)
(และถ้าคนที่คุณเป็นผู้ลงมือทำการุณยฆาตให้ เป็นพ่อแม่ของคุณ คุณจะกลายเป็นผู้ที่มีกรรมปาณาติบาต และเป็นอนันตริยกรรมด้วย) (อันตรายมาก)
แม้ว่าพ่อแม่ของคุณ จะเป็นผู้ที่เอ่ยปากขอร้อง ให้คุณช่วยปลิดชีวิตของท่านเองก็ตาม ก็ห้ามทำให้เด็ดขาด
เพราะว่า ที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ก็เพราะว่าเขาอยากจะหนีจากความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ที่เขากำลังได้รับอยู่ในขณะนั้น เท่านั้น
"
แต่ถ้าเขาเลือกได้ เขาก็จะเลือกให้ตนเองหายจากโรค ไม่ใช่เลือกการตาย" (โปรดจำประโยคนี้ไว้) (นั่นแสดงว่าจริงๆแล้ว เขาไม่ได้อยากจะตายจริงๆ)
หลวงพ่อที่ผมนับถือนั้น ท่านได้บอกไว้ว่า "
ผู้ที่จะตัดละความห่วงใยในร่างกายของตนเองลงได้อย่างเด็ดขาดนั้น มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น"
เพราะฉนั้น คนธรรมดาๆทั่วไปทั้งหมดทุกคน จะยังมีความห่วงหาอาลัยในชีวิตของตนเอง
ซ่อนอยู่เสมอ ยังอยากที่จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปเรื่อยๆเสมอ
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่เอ่ยปากขอร้อง ให้คุณช่วยลงมือฆ่าเขาให้ทีก็ตาม แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากที่จะตายจริงๆหรอก
(เขาเพียงแค่อยากจะหนีจากอะไรซักอย่างนึงเท่านั้น) (เช่น ความเจ็บปวดทรมาน, ความเสียใจ, ความอดสู, ความหมดอาลัยตายอยาก, ความเบื่อ ฯลฯ)
ถ้าขืนคุณไปช่วยฆ่าเขาให้ตาย คุณก็จะได้รับ
กรรมปาณาติบาต ในทันที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพราะฉนั้น
แม้ว่าพ่อแม่ของคุณ จะเป็นผู้ที่เอ่ยปากขอร้องให้คุณช่วยปลิดชีวิตของท่านเองก็ตาม คุณก็ห้ามทำให้เด็ดขาด จะเป็นอนันตริยกรรม
(จะมาโลกสวย คิดเอาแต่ใจตัวเอง ว่าไม่อยากจะเห็นพ่อแม่เจ็บปวดทรมาน ก็เลยทำให้ท่านตายเร็วๆเลยเสียดีกว่า จะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์)
เพราะความเหมาะสมในทางโลก กับ ความถูกต้องในทางธรรม มันคนละเรื่องกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที จะไม่มีกรรมอันใดที่จะมาขัดขวางการให้ผลได้
ถ้าคุณได้ทำอนันตริยกรรมไปแล้ว หลังจากนั้นไม่ว่าคุณจะทำบุญมากแค่ไหน
จะบวชตลอดชีวิต หรือ จะสร้างวัดล้านวัด หรือ จะสร้างเจดีย์ล้านองค์ ก็จะไม่สามารถที่จะมาคั่นการให้ผล ของอนันตริยกรรมได้
เมื่อคุณตายจากโลกนี้ไป คุณจึงต้องตกนรกก่อนเพียงสถานเดียว
ไม่สามารถที่จะขึ้นสวรรค์ได้ ต่อให้ตอนที่มีชีวิตอยู่ คุณจะทำกรรมดีสะสมมามากมายเพียงใด คุณก็จะต้องไปลงนรกก่อน
(ปกติคนทั่วไป แม้จะทำเลวมาทั้งชีวิต แต่ถ้าจิตก่อนตายนึกถึงบุญกุศลได้ เขาก็จะได้ไปเสวยบุญก่อน)
(แต่สำหรับผู้ที่ทำอนันตริยกรรม เขาจะต้องไปรับผลกรรมอันนี้ก่อนอย่างอื่นเสมอ จะไม่มีโอกาสที่จะได้เลือกไปสุคติภูมิ เหมือนคนอื่นๆ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทความเรื่อง "การุณยฆาต" บาปหรือไม่?
ความเหมาะสมในทางโลก ไม่ใช่ความถูกต้องในทางธรรม
ความเหมาะสมในทางโลกนั้น คนทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพ ที่จะกำหนดชีวิตของตนเอง ว่าจะอยู่ หรือว่าจะตาย (คิดแบบคนที่ไม่รู้เรื่องกฏแห่งกรรม)
คิดว่าอะไรที่หมดหนทางที่จะรักษา หรืออะไรที่หมดหนทางที่จะแก้ไข
ถ้าทำให้ผู้ป่วยตายอย่างรวบรัดได้ ถือว่าเป็นการลดความเจ็บปวดทรมานของผู้ป่วย
และเป็นการลดภาระในการดูแลรักษา (เพราะค่าดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยหนักจะเสียค่าใช้จ่ายแพงมาก)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การุณยฆาต มีการทำหลายวิธี เช่น ให้ผู้อื่น ฉีดยาให้สลบก่อน แล้วค่อยฉีดยาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหยุดเต้น , หรือ กินยาตายเอง ฯลฯ
แม้ว่าคุณจะเต็มใจลงมือฆ่าตัวตายด้วยตนเองก็ตาม แต่มันก็เป็นโทษในทางธรรม
เพราะการฆ่าตัวตายของปุถุชน เกิดจากอารมณ์ที่เป็นอกุศล (ไม่ใช่เกิดจากอารมณ์ตัดละร่างกายได้หมดจด ของพระอรหันต์)
เป็นการสร้างกรรมชนิดหนึ่ง พอตายแล้วไปอบายภูมิ (เพราะฉนั้น ลืมเรื่องการฆ่าตัวตายไปได้เลย จะฆ่าตัวเอง หรือ จะให้คนอื่นฆ่าให้ ก็บาปทั้งสิ้น)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เราจะต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น (โดยเอาการทรงอยู่ของสติสัมปชัญญะ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย เป็นหลักในการพิจารณา)
1.ทำให้ตาย โดยการดึงเครื่องพยุงชีพออก
ถ้าผู้ป่วยเป็นผู้ป่วยติดเตียง "ที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว" (และเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องพยุงชีพเอาไว้)
ในกรณีนี้ คุณสามารถจะให้หมอเอาอุปกรณ์ช่วยพยุงชีพออกได้
เพราะว่าจริงๆแล้ว ร่างกายของผู้ป่วยคนนี้เขาไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตนเองแล้ว ถ้าไม่มีเครื่องมือเหล่านี้มาช่วยพยุงชีพเอาไว้
ถ้าเราไปให้หมอเอาออก จะไม่ถือว่าเป็นกรรมปาณาติบาต
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.แต่ถ้าเป็น "ผู้ป่วยที่ยังรู้สึกตัว" แต่ต้องการจะปลิดชีวิตตนเอง (อยากจะให้ผู้อื่นฉีดยาสลบและตามด้วยการฉีดยาทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหยุดเต้น ให้)
ในกรณีนี้ ไม่ว่าผู้ป่วย จะแข็งแรงดี หรือว่ากำลังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานมากแค่ไหนก็ตาม ห้ามทำการุณยฆาต ให้อย่างเด็ดขาด (แต่ฉีดยาบรรเทาปวดได้)
ถ้าผู้ป่วยคนนั้นยังรู้สึกตัว ก็แสดงว่าเขายังมีชีวิต ในเมื่อเขายังมีชีวิต จึงห้ามทำการุณยฆาตให้ทุกวิถีทาง (พูดง่ายๆก็คือ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ห้ามอย่างเดียว)
ถ้าผู้ป่วยเขายังรู้สึกตัวมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดๆ ห้ามทำการุณฆาตเด็ดขาด (จะเป็นกรรมปาณาติบาต)
(และถ้าคนที่คุณเป็นผู้ลงมือทำการุณยฆาตให้ เป็นพ่อแม่ของคุณ คุณจะกลายเป็นผู้ที่มีกรรมปาณาติบาต และเป็นอนันตริยกรรมด้วย) (อันตรายมาก)
แม้ว่าพ่อแม่ของคุณ จะเป็นผู้ที่เอ่ยปากขอร้อง ให้คุณช่วยปลิดชีวิตของท่านเองก็ตาม ก็ห้ามทำให้เด็ดขาด
เพราะว่า ที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ก็เพราะว่าเขาอยากจะหนีจากความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ที่เขากำลังได้รับอยู่ในขณะนั้น เท่านั้น
"แต่ถ้าเขาเลือกได้ เขาก็จะเลือกให้ตนเองหายจากโรค ไม่ใช่เลือกการตาย" (โปรดจำประโยคนี้ไว้) (นั่นแสดงว่าจริงๆแล้ว เขาไม่ได้อยากจะตายจริงๆ)
หลวงพ่อที่ผมนับถือนั้น ท่านได้บอกไว้ว่า "ผู้ที่จะตัดละความห่วงใยในร่างกายของตนเองลงได้อย่างเด็ดขาดนั้น มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น"
เพราะฉนั้น คนธรรมดาๆทั่วไปทั้งหมดทุกคน จะยังมีความห่วงหาอาลัยในชีวิตของตนเองซ่อนอยู่เสมอ ยังอยากที่จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปเรื่อยๆเสมอ
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่เอ่ยปากขอร้อง ให้คุณช่วยลงมือฆ่าเขาให้ทีก็ตาม แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากที่จะตายจริงๆหรอก
(เขาเพียงแค่อยากจะหนีจากอะไรซักอย่างนึงเท่านั้น) (เช่น ความเจ็บปวดทรมาน, ความเสียใจ, ความอดสู, ความหมดอาลัยตายอยาก, ความเบื่อ ฯลฯ)
ถ้าขืนคุณไปช่วยฆ่าเขาให้ตาย คุณก็จะได้รับ กรรมปาณาติบาต ในทันที
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพราะฉนั้น แม้ว่าพ่อแม่ของคุณ จะเป็นผู้ที่เอ่ยปากขอร้องให้คุณช่วยปลิดชีวิตของท่านเองก็ตาม คุณก็ห้ามทำให้เด็ดขาด จะเป็นอนันตริยกรรม
(จะมาโลกสวย คิดเอาแต่ใจตัวเอง ว่าไม่อยากจะเห็นพ่อแม่เจ็บปวดทรมาน ก็เลยทำให้ท่านตายเร็วๆเลยเสียดีกว่า จะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์)
เพราะความเหมาะสมในทางโลก กับ ความถูกต้องในทางธรรม มันคนละเรื่องกัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้