เฝ้าติดตาม “อาการ” ของคนที่ถูกสาวกยกให้เป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะพาประเทศไปสู่อนาคตใหม่ พบข้อสังเกตที่น่าเป็นห่วงหลายประการ
ส่วนที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ท่าทีอาการแห่งความหลงตัวเองมาดมั่น เชื่อทำนองว่าตัวเองเก่งกว่าคนทั้งปวง สามารถกว่านักการเมืองทั้งหลาย วัฒนธรรมประเพณีของเก่าที่มีอยู่เดิมล้วนเป็นสิ่งหน่วงรั้งการพัฒนาชาติเสาหลักในโครงสร้างสังคมประเทศที่มีอยู่เดิมล้วนแต่ล้าหลัง น่ารังเกียจจะต้องถอดรื้อออก เปลี่ยนใหม่ให้หมด มิฉะนั้น ประเทศจะล่มสลาย เป็นประเทศน่าๆ เป็นกะลาแลนด์ ฯลฯ
บางคน ถึงขนาดเคยด่าประเทศตัวเอง ว่าจะไม่ยอมให้ลูกใช้ชีวิตเติบโตอยู่ที่ประเทศอันล้าหลังแห่งนี้
มั่นใจในความรู้กฎหมายของตัวเอง เวลาพูดจาก็ยกตัว ข่มคนอื่น เสมือนหนึ่งคนอื่นมองกฎหมายผิดหมด ตนถูกคนเดียว กฎหมายไม่สามารถเอาผิดตนได้เลย ถ้าถูกเอาผิดนั่นคือการกลั่นแกล้งเล่นงาน
บางคน อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงขนาดจ้างล็อบบี้ยิสต์จัดโปรแกรมเดินสาย ไปชักชวนต่างชาติเข้ามาแทรกแซงประเทศตัวเอง โดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย มั่นใจในความรวย และความเชื่อของตนเองว่าถูกต้องเหนือกว่าคนอื่นๆ ทั้งดูแคลนและด้อยค่าแม้แต่รัฐธรรมนูญ ตลอดจนสถาบันสำคัญของประเทศไทย
คนเหล่านี้ เอาเข้าจริง เช่น ถูกซักถามในชั้นศาล หรือถูกซักถามโดยพิธีกรที่ไม่ถามตามสคริปต์ที่เตรียมกันไว้ ฯลฯ ก็มักจะออกอาการสิ้นท่า บ้อท่า โบ๋เบ๋ ไปไม่เป็น โดยไม่ได้เก่งกาจสามารถเหมือนที่พูดคนเดียวหรือโชว์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีกองกำลังไซเบอร์ของตัวเองคอยเยินยอเป็นกองเชียร์
1. คนจำพวกนี้ เมื่อเข้ามาสู่การเมือง แล้วมีการจัดการปั่นกระแสอย่างเป็นระบบ มีการจัดตั้งเพจข่าวในเฟซบุ๊คมากมาย บัญชีผู้ใช้อวตารมากมาย เพื่อช่วยกันปั่นข่าว สร้างเฟคนิวส์ โยนประเด็น สร้างกระแส สร้างจิตวิทยาหมู่ในออนไลน์ แล้วพยายามด้อยค่าคำชี้แจงข้อเท็จจริง หรือความเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ในลักษณะเดียวกับที่เป็นประเด็นระดับโลกอย่าง “เคมบริดจ์แอนะลิติก้า”
เมื่อพบเห็นคนวิจารณ์ ก็จะมีกองกำลังไปรุมถล่ม รีพอร์ทเพื่อปิดปาก
ตรงกันข้าม ก็จะช่วยกันโยนข่าว ปั่นข่าว ตีฟองสบู่ภาพลักษณ์ให้ช่วยเยินยอสารพัด ปั่นแฮชแท็กที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่พวกตน
ควบคู่ไปกับใช้เฟคนิวส์ดิสเครดิตฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ แม้ต้นทางจะลบไปแล้ว ยอมรับว่ามีคนชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว แต่ขบวนการปั่นต่อก็จะทำทีไม่สนใจ ไม่หยุดหย่อน ซึ่งหน้าด้านอย่าเหลือเชื่อ
เมื่อมีขบวนการหนุนส่งในทางการเมืองแบบนี้ คนหลงตัวเองก็จะค่อยๆ ฝังลึกไปทุกวัน มั่นใจในความเป็นตัวเองมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งหลงเชื่อแบบดักดานว่าตัวเองนั้นเก่งกล้าสามารถที่สุด เป็นนายกฯ โซเชียลผู้ปราดเปรื่องที่สุด เป็นผู้ที่ถูกต้องทุกสิ่งอย่าง กฎหมายไม่สามารถจะเล่นงานได้ ถ้าเล่นงานเมื่อไหร่นั่นถือเป็นการกลั่นแกล้ง
2. ในทางจิตแพทย์ มีโรคหลงตัวเอง ชื่อ โรค Narcissistic Personality Disorder (NPD หรือ ภาวะ Narcissism)
เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพ อันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป
3. ชื่อโรค Narcissistic มาจากเรื่องราวในเทพนิยายกรีก
Narcissus (นาร์ซิสซัส) เป็นบุตรของวีนัส-เทพีแห่งความงาม กับอพอลโล-เทพแห่งการทำนายและการรักษาโรค
นาซิสซัสเป็นบุรุษที่มีรูปโฉมงดงาม ยากจะหาใครเทียบเทียม มีความลุ่มหลงและมั่นใจในตัวเองสูง
อาการของผู้ป่วยโรคหลงตัวเอง คล้ายคลึงกับนาร์ซีซิสตามเทพนิยาย
4. มีงานศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยโรคนี้ มีลักษณะอาการ 9 อย่าง ได้แก่
“1. ฉันเป็นมือหนึ่งในปฐพี : สำคัญตัวเองผิด เข้าใจไปเองว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นทั้งปวงในโลกนี้
2. ฉันทำอะไรก็เทพหมด : คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในทุกด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด เลิศเลอ perfect ไปทุกอย่าง
3. ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากขั้นเทพด้วยกัน: เข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ ซึ่งก็จะมีแต่บุคคลพิเศษด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจตัวเขาได้
4. ฉันเท่ที่สุดในโลก : ต้องการการชื่นชมสนใจจากคนอื่นมากเกินไป
5. ก็ฉันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครจะทำอะไรฉันได้ : มีความรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถูกต้องไปหมดทุกอย่าง จึงไม่มีความรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด
6. ทำโน่นทำนี่ให้ฉันที : ชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อทำประโยชน์บางอย่างแก่ตัวเองอยู่เสมอ
7. คนอื่นจะเป็นยังไงฉันไม่สน: จิตใจกระด้างเย็นชา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง
8. นี่ทำอะไรก็เทพหมด / คนอื่นๆ อิจฉาฉันเพราะฉันเก่งกว่าพวกนั้นทุกคน : อิจฉาริษยาคนรอบข้าง และ/หรือ มีความเชื่อว่าคนอื่นๆ รอบตัวกำลังอิจฉาตัวเขาอยู่
9. อะไรๆ ที่ไม่ถูกใจถือว่างี่เง่าหมดสำหรับฉัน : แสดงความหยิ่ง ยะโส โอหัง ออกมาทั้งทางพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติ”
5. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เกลียดการเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง
เพราะจะเป็นการกระแทกเข้าที่ปมด้อยในด้านสังคมของผู้ป่วยอย่างรุนแรง
คนที่ป่วยโรคนี้ ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองตกอันดับ มักเป็นคนที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
พยายามทำตัวให้โดดเด่นและมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณีใดๆ
ทำอะไรแบบไร้จิตสำนึก ไม่กลัวใคร และไม่สามารถแยกแยะความดีความชั่วได้
6. ลองคิดดู ถ้าคนหลงตัวเองแบบนี้ เข้ามาสู่การเมือง มีเงินทองมากมาย (เพียงเพราะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย) พยายามหาการยอมรับจากสังคม สร้างเรื่องราวให้ตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง พลิกฟ้าคว่ำดิน
พยายามสร้างภาพ สร้างเรื่องราวกลบเกลื่อนบุคลิก ลักษณะอาการ อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด
แต่ในไม่ช้า... ผู้ร่วมงานในพรรค ลูกพรรค ก็คงจะค่อยๆ ได้เห็นธาตุแท้
จะบริหารพรรคแบบเผด็จการนายทุน พร้อมเขี่ยทิ้งคนที่เคยสนับสนุนตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ หรือแกนนำการเมืองในต่างจังหวัดที่จะถูกมองเป็นเพียงคนคอยรับคำสั่ง สส.ไม่ลงมติตามตัวเองจะถูกกดดันเล่นงานสารพัดวิธี เพราะคิดว่าการตัดสินใจดีที่สุดอยู่ตนเองหรือจะส่งใครลงสมัคร นายกฯ อบจ.ก็ต้องยึดเอาความต้องการของตนเป็นศูนย์กลาง แล้วค่อยไปจัดกิจกรรมสร้างภาพว่ามีการร่วมคัดเลือกจากสมาชิก ฯลฯ
อย่าปล่อยให้คน “หลงตัวเอง” เคลื่อนไหวปลุกระดมป่วนบ้านเมือง
สารส้ม
https://www.naewna.com/politic/columnist/41805
อนาคตมอดไหม้ หาก ‘หลงตัวเอง’
เฝ้าติดตาม “อาการ” ของคนที่ถูกสาวกยกให้เป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะพาประเทศไปสู่อนาคตใหม่ พบข้อสังเกตที่น่าเป็นห่วงหลายประการ
ส่วนที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ท่าทีอาการแห่งความหลงตัวเองมาดมั่น เชื่อทำนองว่าตัวเองเก่งกว่าคนทั้งปวง สามารถกว่านักการเมืองทั้งหลาย วัฒนธรรมประเพณีของเก่าที่มีอยู่เดิมล้วนเป็นสิ่งหน่วงรั้งการพัฒนาชาติเสาหลักในโครงสร้างสังคมประเทศที่มีอยู่เดิมล้วนแต่ล้าหลัง น่ารังเกียจจะต้องถอดรื้อออก เปลี่ยนใหม่ให้หมด มิฉะนั้น ประเทศจะล่มสลาย เป็นประเทศน่าๆ เป็นกะลาแลนด์ ฯลฯ
บางคน ถึงขนาดเคยด่าประเทศตัวเอง ว่าจะไม่ยอมให้ลูกใช้ชีวิตเติบโตอยู่ที่ประเทศอันล้าหลังแห่งนี้
มั่นใจในความรู้กฎหมายของตัวเอง เวลาพูดจาก็ยกตัว ข่มคนอื่น เสมือนหนึ่งคนอื่นมองกฎหมายผิดหมด ตนถูกคนเดียว กฎหมายไม่สามารถเอาผิดตนได้เลย ถ้าถูกเอาผิดนั่นคือการกลั่นแกล้งเล่นงาน
บางคน อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงขนาดจ้างล็อบบี้ยิสต์จัดโปรแกรมเดินสาย ไปชักชวนต่างชาติเข้ามาแทรกแซงประเทศตัวเอง โดยอ้างว่าเพื่อให้เป็นประชาธิปไตย มั่นใจในความรวย และความเชื่อของตนเองว่าถูกต้องเหนือกว่าคนอื่นๆ ทั้งดูแคลนและด้อยค่าแม้แต่รัฐธรรมนูญ ตลอดจนสถาบันสำคัญของประเทศไทย
คนเหล่านี้ เอาเข้าจริง เช่น ถูกซักถามในชั้นศาล หรือถูกซักถามโดยพิธีกรที่ไม่ถามตามสคริปต์ที่เตรียมกันไว้ ฯลฯ ก็มักจะออกอาการสิ้นท่า บ้อท่า โบ๋เบ๋ ไปไม่เป็น โดยไม่ได้เก่งกาจสามารถเหมือนที่พูดคนเดียวหรือโชว์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีกองกำลังไซเบอร์ของตัวเองคอยเยินยอเป็นกองเชียร์
1. คนจำพวกนี้ เมื่อเข้ามาสู่การเมือง แล้วมีการจัดการปั่นกระแสอย่างเป็นระบบ มีการจัดตั้งเพจข่าวในเฟซบุ๊คมากมาย บัญชีผู้ใช้อวตารมากมาย เพื่อช่วยกันปั่นข่าว สร้างเฟคนิวส์ โยนประเด็น สร้างกระแส สร้างจิตวิทยาหมู่ในออนไลน์ แล้วพยายามด้อยค่าคำชี้แจงข้อเท็จจริง หรือความเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ในลักษณะเดียวกับที่เป็นประเด็นระดับโลกอย่าง “เคมบริดจ์แอนะลิติก้า”
เมื่อพบเห็นคนวิจารณ์ ก็จะมีกองกำลังไปรุมถล่ม รีพอร์ทเพื่อปิดปาก
ตรงกันข้าม ก็จะช่วยกันโยนข่าว ปั่นข่าว ตีฟองสบู่ภาพลักษณ์ให้ช่วยเยินยอสารพัด ปั่นแฮชแท็กที่เป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่พวกตน
ควบคู่ไปกับใช้เฟคนิวส์ดิสเครดิตฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ แม้ต้นทางจะลบไปแล้ว ยอมรับว่ามีคนชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว แต่ขบวนการปั่นต่อก็จะทำทีไม่สนใจ ไม่หยุดหย่อน ซึ่งหน้าด้านอย่าเหลือเชื่อ
เมื่อมีขบวนการหนุนส่งในทางการเมืองแบบนี้ คนหลงตัวเองก็จะค่อยๆ ฝังลึกไปทุกวัน มั่นใจในความเป็นตัวเองมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งหลงเชื่อแบบดักดานว่าตัวเองนั้นเก่งกล้าสามารถที่สุด เป็นนายกฯ โซเชียลผู้ปราดเปรื่องที่สุด เป็นผู้ที่ถูกต้องทุกสิ่งอย่าง กฎหมายไม่สามารถจะเล่นงานได้ ถ้าเล่นงานเมื่อไหร่นั่นถือเป็นการกลั่นแกล้ง
2. ในทางจิตแพทย์ มีโรคหลงตัวเอง ชื่อ โรค Narcissistic Personality Disorder (NPD หรือ ภาวะ Narcissism)
เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพ อันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป
3. ชื่อโรค Narcissistic มาจากเรื่องราวในเทพนิยายกรีก
Narcissus (นาร์ซิสซัส) เป็นบุตรของวีนัส-เทพีแห่งความงาม กับอพอลโล-เทพแห่งการทำนายและการรักษาโรค
นาซิสซัสเป็นบุรุษที่มีรูปโฉมงดงาม ยากจะหาใครเทียบเทียม มีความลุ่มหลงและมั่นใจในตัวเองสูง
อาการของผู้ป่วยโรคหลงตัวเอง คล้ายคลึงกับนาร์ซีซิสตามเทพนิยาย
4. มีงานศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยโรคนี้ มีลักษณะอาการ 9 อย่าง ได้แก่
“1. ฉันเป็นมือหนึ่งในปฐพี : สำคัญตัวเองผิด เข้าใจไปเองว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นทั้งปวงในโลกนี้
2. ฉันทำอะไรก็เทพหมด : คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในทุกด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด เลิศเลอ perfect ไปทุกอย่าง
3. ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากขั้นเทพด้วยกัน: เข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ ซึ่งก็จะมีแต่บุคคลพิเศษด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจตัวเขาได้
4. ฉันเท่ที่สุดในโลก : ต้องการการชื่นชมสนใจจากคนอื่นมากเกินไป
5. ก็ฉันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครจะทำอะไรฉันได้ : มีความรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถูกต้องไปหมดทุกอย่าง จึงไม่มีความรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด
6. ทำโน่นทำนี่ให้ฉันที : ชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อทำประโยชน์บางอย่างแก่ตัวเองอยู่เสมอ
7. คนอื่นจะเป็นยังไงฉันไม่สน: จิตใจกระด้างเย็นชา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง
8. นี่ทำอะไรก็เทพหมด / คนอื่นๆ อิจฉาฉันเพราะฉันเก่งกว่าพวกนั้นทุกคน : อิจฉาริษยาคนรอบข้าง และ/หรือ มีความเชื่อว่าคนอื่นๆ รอบตัวกำลังอิจฉาตัวเขาอยู่
9. อะไรๆ ที่ไม่ถูกใจถือว่างี่เง่าหมดสำหรับฉัน : แสดงความหยิ่ง ยะโส โอหัง ออกมาทั้งทางพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติ”
5. ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ เกลียดการเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง
เพราะจะเป็นการกระแทกเข้าที่ปมด้อยในด้านสังคมของผู้ป่วยอย่างรุนแรง
คนที่ป่วยโรคนี้ ไม่ยอมที่จะให้ตัวเองตกอันดับ มักเป็นคนที่มีความเครียดอยู่ตลอดเวลา
พยายามทำตัวให้โดดเด่นและมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณีใดๆ
ทำอะไรแบบไร้จิตสำนึก ไม่กลัวใคร และไม่สามารถแยกแยะความดีความชั่วได้
6. ลองคิดดู ถ้าคนหลงตัวเองแบบนี้ เข้ามาสู่การเมือง มีเงินทองมากมาย (เพียงเพราะโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย) พยายามหาการยอมรับจากสังคม สร้างเรื่องราวให้ตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง พลิกฟ้าคว่ำดิน
พยายามสร้างภาพ สร้างเรื่องราวกลบเกลื่อนบุคลิก ลักษณะอาการ อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด
แต่ในไม่ช้า... ผู้ร่วมงานในพรรค ลูกพรรค ก็คงจะค่อยๆ ได้เห็นธาตุแท้
จะบริหารพรรคแบบเผด็จการนายทุน พร้อมเขี่ยทิ้งคนที่เคยสนับสนุนตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ หรือแกนนำการเมืองในต่างจังหวัดที่จะถูกมองเป็นเพียงคนคอยรับคำสั่ง สส.ไม่ลงมติตามตัวเองจะถูกกดดันเล่นงานสารพัดวิธี เพราะคิดว่าการตัดสินใจดีที่สุดอยู่ตนเองหรือจะส่งใครลงสมัคร นายกฯ อบจ.ก็ต้องยึดเอาความต้องการของตนเป็นศูนย์กลาง แล้วค่อยไปจัดกิจกรรมสร้างภาพว่ามีการร่วมคัดเลือกจากสมาชิก ฯลฯ
อย่าปล่อยให้คน “หลงตัวเอง” เคลื่อนไหวปลุกระดมป่วนบ้านเมือง
สารส้ม
https://www.naewna.com/politic/columnist/41805