พักรบฉลองคริสต์มาส The Christmas Truce
สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในเดือนกรกฎาคม 2457 สถานการณ์ดำเนินไปด้วยความตึงเครียด โดยทหารทั้งฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส เข้าปะทะทหารเยอรมันตามแนวรบ ต่างฝ่ายต่างโจมตีกันกินเวลาเนิ่นนานกว่า 5 เดือน ความสูญเสียเพิ่มขึ้นมากมายตลอดพื้นที่สมรภูมิรบแทนเนนเบิร์ก, มาร์น และอีปส์ จวบจนเข้าสู่เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง สงครามก็ยังไม่ยุติลง
ทว่าเมื่อถึงวันคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม ในปีนั้น กองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ตลอดแนวรบด้านตะวันตก ต่างพร้อมใจกันวางอาวุธหยุดยิงชั่วขณะ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลพิเศษด้วยกัน เท่าที่จะสามารถทำได้ โดยทหารแนวหน้าของแต่ละฝ่ายเริ่มปลดอาวุธแล้วยอมเสี่ยงเดินออกจากที่หลบภัย เข้าไปพบหน้ากับฝ่ายศัตรูในพื้นที่ที่เรียกว่า No Man's Land คือพื้นที่อิสระที่ไม่มีฝ่ายใดครอบครอง
หลังจากการพักรบ บริเวณแนวรบก็เต็มไปด้วยกองกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายเข้ามาร่วมสนุกสนานไปด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนบุหรี่ และของเล็กน้อยอื่น ๆ แก่กัน การพักรบและเฉลิมฉลองนี้ได้ดำเนินไปจนถึงวันถัดไป โดยในหลายจุด ทหารของทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการแข่งขันเล่นฟุตบอล บ้างก็เป็นการแบ่งทีมของแต่ละฝ่าย บ้างก็เป็นการผสมทีมจากทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนั้น ได้มีทหารของทั้ง 2 ฝ่ายบางส่วน ช่วยกันนำศพของเพื่อนทหารที่เสียชีวิตในสงครามไปฝัง พร้อมทั้งมีการสวดมนต์ ร้องเพลงและจุดเทียนให้ราวกับว่าเป็นพิธีในโบสถ์ ขณะที่การพักรบในบางจุดได้ดำเนินไปจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 27 ธันวาคม
อย่างไรก็ดี เรื่องราวความสวยงามแห่งมิตรภาพระหว่างศัตรู ภาพท่ามกลางสนามรบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจสำหรับผู้บังคับบัญชากองทัพของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่ยอมรับการกระทำของเหล่าทหาร โดยบางหน่วยมีการสั่งลงโทษทหารหรือมีการส่งไปอยู่ที่แนวรบส่วนอื่น และในสงครามหลังจากนั้น ก็ไม่มีการพักรบเกิดขึ้นอีกเลย
แม้ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานมาร่วมร้อยปี แต่ทุกวันนี้ทหารของเยอรมันและอังกฤษก็ยังมีประเพณีไปเตะฟุตบอลร่วมกันเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
Cr.
https://hilight.kapook.com/
เมื่อนักบินเยอรมันปล่อยอีกฝ่ายให้มีชีวิตรอด และบินคุ้มกันไปส่งให้ถึงที่
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1943 นายทหาร Charlie Brown แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ขับเครื่องบิน B-17 ไปในน่านฟ้าของประเทศเยอรมัน เพื่อสู้รบกัน แต่เครื่องบินของเขาถูกยิงเสียจนสภาพร่อแร่ ลูกเรือกว่าครึ่งหนึ่งได้รับบาดเจ็บหนัก และเครื่องยนต์บางส่วนก็เสียหาย
ขณะที่เขาพยายามประคองเครื่องบินกลับไปยังประเทศอังกฤษนั้น เขาและนักบินคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นว่าเครื่องบินรบ ME-109 ของเยอรมัน บินเข้ามาใกล้เครื่องของเขามาก ทุกคนจึงทำใจว่าโดนยิงเครื่องตกแน่นอน
ทว่านักบินเยอรมัน Franz Stigler กลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาไม่ได้ยิงเครื่องบิน B-17 แต่อย่างใด แต่กลับทำความเคารพให้พวกเขาเห็น แล้วบินคุ้มกันพวกเขาไปส่งจนสุดเขตน่านฟ้าเยอรมัน Brown พาเครื่องบินกลับมาถึงฐานที่ประเทศอังกฤษได้อย่างปาฏิหาริย์ แม้ว่าเครื่องยนต์ 2 ใน 4 ของเครื่องบินจะพัง และน้ำมันก็แทบจะไม่เหลืออยู่เลย
หลังจบสงคราม เขาก็ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกตามปกติ เขาพบรักและได้แต่งงาน มีลูกสาวสองคน เมื่อถึงวัยเกษียณเขาก็ย้ายไปอยู่ที่รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม เรื่องที่นักบินเยอรมันไว้ชีวิตเขาและเพื่อนๆ ยังคงติดค้างคาใจเขาอยู่ เขาจึงตั้งใจว่าจะตามหานักบินเยอรมันคนนั้นให้เจอและขอบคุณเขา
ในที่สุดหลังจากสอบถามและลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเยอร์มัน ทั้งสองก็ได้เจอกันพร้อมครอบครัวทั้งสองฝ่าย
Brown และ Stigler เป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกันมาโดยตลอด จนในที่สุดพวกเขาก็เสียชีวิตลงในปี 2008 ทั้งคู่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากศัตรูในวันนั้น จะก่อเกิดเป็นมิตรภาพฉันท์เพื่อนยาวนานจนวันนี้ได้
Cr.
https://www.catdumb.com/
เครื่องบินปล่อยขนม Berlin Candy Bomber.
ในช่วงปี ค.ศ.1948 เป็นช่วงที่ใครอยู่ในประเทศเยอรมันออกจะโชคร้ายกว่าใคร หลังจากที่ประเทศถูกแบ่งแยกท่ามกลางผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเองก็ตัดสินใจที่จะตัดช่องทางการคมนาคมทางรถไฟที่ตรงไปยังกรุงเบอร์ลินทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะเกิดการขาดแคลนอาหารในเบอร์ลิน
ในตอนนั้นเอง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ พบว่า พวกเขาสามารถใช้เครื่องบินช่วยขนส่งอาหารได้ จึงได้มีการเริ่มปฎิบัติการที่เรียกว่า “The Berlin Airlift” ซึ่งเครื่องบินรบแทนที่จะปล่อยลูกระเบิด ก็ทำการปล่อยอาหารลงไปยังกรุงเบอร์ลินแทน ถึงตอนนี้ คนในเบอร์ลินก็รอดจากการอดตายแล้ว แต่ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ขาดไป นั่นคือ ขนมหวานสำหรับเด็กๆ
Gail Halvorsen นักบินจากรัฐยูทาห์ รู้สึกสะเทือนใจกับภาพของเด็กๆ ในเหล่ากรุงเบอร์ลินที่ไม่มีขนมหวานไว้กิน เขาจึงยกหมากฝรั่งให้เด็กเหล่านั้นพร้อมกันสัญญาว่า เขาจะกลับมาวันพรุ่งนี้พร้อมกับขนมอีกจำนวนมากมาย หลังจากนั้น Halvorsen ได้ทำการปล่อยช็อคโกแล็ตลงมากับร่มชูชีพอันเล็กๆ ลงมาให้เด็กๆ นอกจากนั้น เขายังขยับปีกเครื่องบินไปมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กๆ จำเครื่องบินของเขาได้และเตรียมพร้อมรับฝนช็อคโกแล็ต ทำให้เขาได้รับฉายา “คุณลุงขยับปืก” (Uncle Wiggly Wings)
อย่างไรก็ตาม การกระทำแบบนี้ของ Halvorsen ถือว่าผิดกฎ และเขาก็ถูกบังคับให้เลิกทำ จนกระทั่งเจ้านายของเขาได้รู้ว่าชาวเยอรมันชอบพวกอเมริกามากขึ้นแค่ไหนจากเหตุการณ์นี้ จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังเครื่องบินที่มีหน้าที่ส่งของหวานจำนวนมากไปให้แก่ชาวเมือง
แม้ว่าปฎิบัติการนี้จะจบลงในปี ค.ศ.1949 หลังจากที่สหภาพโซเวียตยอมแพ้ เด็กๆ ชาวกรุงเบอร์ลินก็ไม่เคยลืมเรื่องของคุณลุงขยับปีก และชื่อของ Gail Halvorsen ก็ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศเยอรมันในฐานะชายที่ให้ขนมแก่เด็กๆ ถึงขนาดมีโรงเรียนบางแห่งถูกตั้งชื่อขึ้นตามเขาด้วย
Cr.
https://teen.mthai.com/
วอชิงตันคืนสุนัขให้แม่ทัพอังกฤษ
ถ้า George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐจะมีศัตรูคู่แค้นสักคน คนๆ นั้นก็คือ William Howe นายพลแห่งกองทัพอังกฤษ ในช่วงสงครามปฎิวัติ กองทัพของ Howe ชนะกองทัพของ Washington หลายครั้งหลายหน จนทำให้ท่านประธานาธิบดีต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ
ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.1777 Washington และ Howe พบกันอีกครั้งที่ Germantown รัฐ Pennsylvania ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่ก็เป็นฝ่ายของ Howe ที่เอาชนะไปได้ โดยฆ่าทหารของฝ่ายอเมริกาไปกว่า 100 คนและจับเป็นนักโทษไว้อีกกว่า 400 คน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะสูญเสียไปมาก ฝ่ายอเมริกาก็จับตัวประกันไว้ได้ นั่นคือ สุนัขพันธุ์เทอร์เรียของนายพล Howe ซึ่งหนีออกมาระหว่างการต่อสู้แล้วมาลงเอยอยู่ที่อีกฝั่ง
เป็นเวลา 2 วันที่นายพลเฝ้าเป็นห่วงว่า พวกอเมริกันที่โหดร้ายจะทำอะไรกับสุนัขของเขาบ้าง แต่หลังจากนั้น 2 วัน เจ้าสุนัขก็วิ่งออกมาจากป่าแล้วกลับไปหา Howe โดยสวัสดิภาพ พร้อมกับข้อความผูกติดมาด้วยว่า ของขวัญจากนายพล Washington ให้นายพล Howe เขาขอคืนสุนัขตัวนี้ที่บังเอิญมาอยู่ในมือเขาให้ด้วยความยินดี ตามที่ปลอกคอของมันระบุไว้ว่ามันเป็นสุนัขขอองนายพล Howe
เรื่องของเรื่องก็คือ Washington เป็นคนที่รักสุนัขมาก และถึงแม้ Howe จะฆ่านายทหารของเขาไปหลายร้อยคน เขาก็ไม่สามารถทำใจร้ายเอาเปรียบในสถานะการณ์แบบนี้ได้ เขาถึงกับสั่งให้หยุดยิงเพื่อให้สุนัขวิ่งผ่านไปได้ และนี่คือช่วงเวลาน่าประทับใจระหว่างคนและเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ส่วนหลังจากนั้นนายพลทั้งสองก็กลับไปสู้รบกับต่ออยู่ดี
Cr.
http://www.soccersuck.com/
กองทัพเรือแต่งตั้งกองทัพไอศกรีม
ในปี ค.ศ.1945 กองทัพเรืองของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประจำการอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้พบกับปัญหา 3 อย่าง อากาศร้อน กำลังใจหดหาย และกองทัพญี่ปุ่นที่ตามจ้องฆ่าอยู่ทั้งวันทุกวัน นั่นเองเป็นตอนที่ James Forrestal เลขานุการแห่งกองทัพเรือได้คิดทางแก้ขึ้นมา นั่นคือ แจกไอศกรีมฟรี
Forrestal รู้ดีว่าของหวานนี้สำคัญขนาดไหน เขาจริงจังกับเรื่องนี้มากขนาดถึงพูดไว้ว่า ในความคิดของผมแล้ว ไอศกรีมเป็นสิ่งให้ขวัญกำลังใจที่สำคัญที่สุดที่ถูกละเลยไป (รวมถึงปัจจัยอื่นๆ นั่นคือเหล้าและหนังสือโป๊ แต่เขาไม่ได้พูดถึง) ไอศกรีมนี้สำคัญมากขนาดนี้?Forrestal สามารถโน้มน้าวใจให้รัฐบาลให้งบถึง 1 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับไอศกรีมอย่างเดียว
กองทัพเรือได้ออกแบบเรือบรรทุกให้เป็นเหมือนกับร้านไอศกรีมลอยน้ำ พร้อมกับตู้แช่เย็นขนาดยักษ์ที่พร้อมเดินทางไปทุกที่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เรือลำนี้สามารถผลิตไอศกรีมได้ 10 แกลลอนในทุกๆ 7 วินาที ซึ่งต่อมาก็พิศูจน์ได้ว่าเรือบรรทุกไอศกรีมนี้ประสบความสำเร็จในการรับใช้เหล่าหทารเรือ
Cr.
https://teen.mthai.com/
มื้อค่ำที่ไม่ได้ตั้งใจของทหารอเมริกันและทหารเยอรมัน
“ทหารอเมริกันและเยอรมันวางปืนและนั่งลงทานอาหารร่วมกัน” ฉากหนึ่งจากภาพยนตร์โทรทัศน์ เรื่อง Silent Night ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง (ขอบคุณภาพจาก
http://www.filmstarts.de/kritiken/202184/bilder/?cmediafile=20283788 /Copyright Ascot Elite Home Entertainment GmbH Film)
เดือนธันวาคมปี ค.ศ.1944 ยุทธการบัลจ์ ดำเนินการรบมาอย่างต่อเนื่องและดุเดือด ฮิตเล่อร์ประกาศระดมพลและเรียกหน่วยสำรองต่างๆ ออกทำการรบอีกครั้งโดยหวังว่า เมื่อแผนการรบนี้สำเร็จ มันจะทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองกำลังพันธมิตรและนั่นจะทำให้ฝ่ายพันธมิตรขอเปิดการเจรจาสันติภาพขึ้น
ทหารอเมริกัน 3 นาย พลัดหลงจากหน่วยของตน พวกเขาต้องพากันช่วยพยุงร่างที่บาดเจ็บของเพื่อนทหาร เดินลุยหิมะและฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บ และหลงอยู่ในป่าอาเดนส์อันกว้างใหญ่ โชคชะตานำพาทหารทั้ง 3 นายมาพบกับกระท่อมแห่งหนึ่ง พวกเขาหวังจะใช้มันเพื่อหยุดพักและพยาบาลเพื่อนที่บาดเจ็บ
กระท่อมหลังนี้เป็นของอลิซาเบธ วิกเก้น และลูกชายอายุ 12 ปีของเธอ ฟริส วิกเก้น เธอได้ช่วยเหลือนายทหารทั้งสามและลงมือทำอาหารให้ทหารทั้งสามโดยมีลูกชายของเธอคอยช่วยอยู่เคียงข้าง แต่ขณะที่กำลังต้อนรับแขกชาวอเมริกันอยู่นั้น เสียงประตูกระท่อมก็ดังขึ้น ฟริสเข้าใจว่าเป็นคุณพ่อของเขาที่กลับมาแล้วจึงรีบไปเปิดประตู แต่บุคคลที่มาเคาะประตูนั้นคือทหารเยอรมัน 4 นาย ที่มาพร้อมกับอาวุธครบมือ ฟริสส่งเสียงเรียกแม่มาที่ประตู อลิซาเบธเดินมาที่ประตูและตกใจกับภาพที่เห็น การช่วยเหลือทหารข้าศึกเป็นข้อห้ามสำหรับพลเรือนเยอรมัน และมีโทษที่รุนแรงสำหรับพฤติกรรมนี้
“คุณผู้หญิงครับ… พวกผมหลงทางและหิวมาก พอจะมีอาหารให้พวกเราได้ทานบ้างไหมครับ”
ทหารเยอรมันพูดกับเธออย่างสุภาพ เธอจึงคิดว่าไม่น่าจะมีอันตราย ประกอบกับทหารทั้งหมดหน้าตายังดูเด็กๆ เท่านั้น อลิซาเบธ จึงเชิญทหารเยอรมันทั้ง 4 นายเข้ามาในกระท่อม แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาพบกับทหารอเมริกันทั้ง 3 ที่อยู่ข้างใน พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างเล็งปืนเข้าหากัน แต่อลิซาเบธก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายผ่อนคลายและได้ทานอาหารร่วมกันโดยไม่มีเหตุร้ายแรงใดๆ
อลิซาเบธและฟริส สองแม่ลูกมีชีวิตอยู่จนสิ้นสุดสงคราม แต่อลิซาเบธเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 1960
เรื่องราวของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ เรื่อง Silent Night ออกฉายเมื่อปี 2002 โดยมี ลินดา เฮมิลตั้น ผู้เคยฝากผลงานการแสดงไว้กับภาพยนต์แอคชั่นไซไฟอย่าง คนเหล็กภาค 1 และ 2 ในบทบาทของ อลิซาเบธ วิกเก้น
Cr.
https://www.silpa-mag.com/
เรื่องราวน่าประทับใจในช่วงสงครามในอดีต
สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในเดือนกรกฎาคม 2457 สถานการณ์ดำเนินไปด้วยความตึงเครียด โดยทหารทั้งฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส เข้าปะทะทหารเยอรมันตามแนวรบ ต่างฝ่ายต่างโจมตีกันกินเวลาเนิ่นนานกว่า 5 เดือน ความสูญเสียเพิ่มขึ้นมากมายตลอดพื้นที่สมรภูมิรบแทนเนนเบิร์ก, มาร์น และอีปส์ จวบจนเข้าสู่เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง สงครามก็ยังไม่ยุติลง
ทว่าเมื่อถึงวันคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม ในปีนั้น กองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ตลอดแนวรบด้านตะวันตก ต่างพร้อมใจกันวางอาวุธหยุดยิงชั่วขณะ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลพิเศษด้วยกัน เท่าที่จะสามารถทำได้ โดยทหารแนวหน้าของแต่ละฝ่ายเริ่มปลดอาวุธแล้วยอมเสี่ยงเดินออกจากที่หลบภัย เข้าไปพบหน้ากับฝ่ายศัตรูในพื้นที่ที่เรียกว่า No Man's Land คือพื้นที่อิสระที่ไม่มีฝ่ายใดครอบครอง
หลังจากการพักรบ บริเวณแนวรบก็เต็มไปด้วยกองกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายเข้ามาร่วมสนุกสนานไปด้วยกัน มีการแลกเปลี่ยนบุหรี่ และของเล็กน้อยอื่น ๆ แก่กัน การพักรบและเฉลิมฉลองนี้ได้ดำเนินไปจนถึงวันถัดไป โดยในหลายจุด ทหารของทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการแข่งขันเล่นฟุตบอล บ้างก็เป็นการแบ่งทีมของแต่ละฝ่าย บ้างก็เป็นการผสมทีมจากทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนั้น ได้มีทหารของทั้ง 2 ฝ่ายบางส่วน ช่วยกันนำศพของเพื่อนทหารที่เสียชีวิตในสงครามไปฝัง พร้อมทั้งมีการสวดมนต์ ร้องเพลงและจุดเทียนให้ราวกับว่าเป็นพิธีในโบสถ์ ขณะที่การพักรบในบางจุดได้ดำเนินไปจนถึงวันที่ 26 ธันวาคม ก่อนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 27 ธันวาคม
อย่างไรก็ดี เรื่องราวความสวยงามแห่งมิตรภาพระหว่างศัตรู ภาพท่ามกลางสนามรบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจสำหรับผู้บังคับบัญชากองทัพของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่ยอมรับการกระทำของเหล่าทหาร โดยบางหน่วยมีการสั่งลงโทษทหารหรือมีการส่งไปอยู่ที่แนวรบส่วนอื่น และในสงครามหลังจากนั้น ก็ไม่มีการพักรบเกิดขึ้นอีกเลย
แม้ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานมาร่วมร้อยปี แต่ทุกวันนี้ทหารของเยอรมันและอังกฤษก็ยังมีประเพณีไปเตะฟุตบอลร่วมกันเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสและรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
Cr.https://hilight.kapook.com/
เมื่อนักบินเยอรมันปล่อยอีกฝ่ายให้มีชีวิตรอด และบินคุ้มกันไปส่งให้ถึงที่
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1943 นายทหาร Charlie Brown แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ขับเครื่องบิน B-17 ไปในน่านฟ้าของประเทศเยอรมัน เพื่อสู้รบกัน แต่เครื่องบินของเขาถูกยิงเสียจนสภาพร่อแร่ ลูกเรือกว่าครึ่งหนึ่งได้รับบาดเจ็บหนัก และเครื่องยนต์บางส่วนก็เสียหาย
ขณะที่เขาพยายามประคองเครื่องบินกลับไปยังประเทศอังกฤษนั้น เขาและนักบินคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นว่าเครื่องบินรบ ME-109 ของเยอรมัน บินเข้ามาใกล้เครื่องของเขามาก ทุกคนจึงทำใจว่าโดนยิงเครื่องตกแน่นอน
ทว่านักบินเยอรมัน Franz Stigler กลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาไม่ได้ยิงเครื่องบิน B-17 แต่อย่างใด แต่กลับทำความเคารพให้พวกเขาเห็น แล้วบินคุ้มกันพวกเขาไปส่งจนสุดเขตน่านฟ้าเยอรมัน Brown พาเครื่องบินกลับมาถึงฐานที่ประเทศอังกฤษได้อย่างปาฏิหาริย์ แม้ว่าเครื่องยนต์ 2 ใน 4 ของเครื่องบินจะพัง และน้ำมันก็แทบจะไม่เหลืออยู่เลย
หลังจบสงคราม เขาก็ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกตามปกติ เขาพบรักและได้แต่งงาน มีลูกสาวสองคน เมื่อถึงวัยเกษียณเขาก็ย้ายไปอยู่ที่รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม เรื่องที่นักบินเยอรมันไว้ชีวิตเขาและเพื่อนๆ ยังคงติดค้างคาใจเขาอยู่ เขาจึงตั้งใจว่าจะตามหานักบินเยอรมันคนนั้นให้เจอและขอบคุณเขา
ในที่สุดหลังจากสอบถามและลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเยอร์มัน ทั้งสองก็ได้เจอกันพร้อมครอบครัวทั้งสองฝ่าย
Brown และ Stigler เป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกันมาโดยตลอด จนในที่สุดพวกเขาก็เสียชีวิตลงในปี 2008 ทั้งคู่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจากศัตรูในวันนั้น จะก่อเกิดเป็นมิตรภาพฉันท์เพื่อนยาวนานจนวันนี้ได้
Cr.https://www.catdumb.com/
เครื่องบินปล่อยขนม Berlin Candy Bomber.
ในช่วงปี ค.ศ.1948 เป็นช่วงที่ใครอยู่ในประเทศเยอรมันออกจะโชคร้ายกว่าใคร หลังจากที่ประเทศถูกแบ่งแยกท่ามกลางผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเองก็ตัดสินใจที่จะตัดช่องทางการคมนาคมทางรถไฟที่ตรงไปยังกรุงเบอร์ลินทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะเกิดการขาดแคลนอาหารในเบอร์ลิน
ในตอนนั้นเอง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ พบว่า พวกเขาสามารถใช้เครื่องบินช่วยขนส่งอาหารได้ จึงได้มีการเริ่มปฎิบัติการที่เรียกว่า “The Berlin Airlift” ซึ่งเครื่องบินรบแทนที่จะปล่อยลูกระเบิด ก็ทำการปล่อยอาหารลงไปยังกรุงเบอร์ลินแทน ถึงตอนนี้ คนในเบอร์ลินก็รอดจากการอดตายแล้ว แต่ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ขาดไป นั่นคือ ขนมหวานสำหรับเด็กๆ
Gail Halvorsen นักบินจากรัฐยูทาห์ รู้สึกสะเทือนใจกับภาพของเด็กๆ ในเหล่ากรุงเบอร์ลินที่ไม่มีขนมหวานไว้กิน เขาจึงยกหมากฝรั่งให้เด็กเหล่านั้นพร้อมกันสัญญาว่า เขาจะกลับมาวันพรุ่งนี้พร้อมกับขนมอีกจำนวนมากมาย หลังจากนั้น Halvorsen ได้ทำการปล่อยช็อคโกแล็ตลงมากับร่มชูชีพอันเล็กๆ ลงมาให้เด็กๆ นอกจากนั้น เขายังขยับปีกเครื่องบินไปมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กๆ จำเครื่องบินของเขาได้และเตรียมพร้อมรับฝนช็อคโกแล็ต ทำให้เขาได้รับฉายา “คุณลุงขยับปืก” (Uncle Wiggly Wings)
อย่างไรก็ตาม การกระทำแบบนี้ของ Halvorsen ถือว่าผิดกฎ และเขาก็ถูกบังคับให้เลิกทำ จนกระทั่งเจ้านายของเขาได้รู้ว่าชาวเยอรมันชอบพวกอเมริกามากขึ้นแค่ไหนจากเหตุการณ์นี้ จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังเครื่องบินที่มีหน้าที่ส่งของหวานจำนวนมากไปให้แก่ชาวเมือง
แม้ว่าปฎิบัติการนี้จะจบลงในปี ค.ศ.1949 หลังจากที่สหภาพโซเวียตยอมแพ้ เด็กๆ ชาวกรุงเบอร์ลินก็ไม่เคยลืมเรื่องของคุณลุงขยับปีก และชื่อของ Gail Halvorsen ก็ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศเยอรมันในฐานะชายที่ให้ขนมแก่เด็กๆ ถึงขนาดมีโรงเรียนบางแห่งถูกตั้งชื่อขึ้นตามเขาด้วย
Cr.https://teen.mthai.com/
วอชิงตันคืนสุนัขให้แม่ทัพอังกฤษ
ถ้า George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐจะมีศัตรูคู่แค้นสักคน คนๆ นั้นก็คือ William Howe นายพลแห่งกองทัพอังกฤษ ในช่วงสงครามปฎิวัติ กองทัพของ Howe ชนะกองทัพของ Washington หลายครั้งหลายหน จนทำให้ท่านประธานาธิบดีต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ
ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.1777 Washington และ Howe พบกันอีกครั้งที่ Germantown รัฐ Pennsylvania ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่ก็เป็นฝ่ายของ Howe ที่เอาชนะไปได้ โดยฆ่าทหารของฝ่ายอเมริกาไปกว่า 100 คนและจับเป็นนักโทษไว้อีกกว่า 400 คน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะสูญเสียไปมาก ฝ่ายอเมริกาก็จับตัวประกันไว้ได้ นั่นคือ สุนัขพันธุ์เทอร์เรียของนายพล Howe ซึ่งหนีออกมาระหว่างการต่อสู้แล้วมาลงเอยอยู่ที่อีกฝั่ง
เป็นเวลา 2 วันที่นายพลเฝ้าเป็นห่วงว่า พวกอเมริกันที่โหดร้ายจะทำอะไรกับสุนัขของเขาบ้าง แต่หลังจากนั้น 2 วัน เจ้าสุนัขก็วิ่งออกมาจากป่าแล้วกลับไปหา Howe โดยสวัสดิภาพ พร้อมกับข้อความผูกติดมาด้วยว่า ของขวัญจากนายพล Washington ให้นายพล Howe เขาขอคืนสุนัขตัวนี้ที่บังเอิญมาอยู่ในมือเขาให้ด้วยความยินดี ตามที่ปลอกคอของมันระบุไว้ว่ามันเป็นสุนัขขอองนายพล Howe
เรื่องของเรื่องก็คือ Washington เป็นคนที่รักสุนัขมาก และถึงแม้ Howe จะฆ่านายทหารของเขาไปหลายร้อยคน เขาก็ไม่สามารถทำใจร้ายเอาเปรียบในสถานะการณ์แบบนี้ได้ เขาถึงกับสั่งให้หยุดยิงเพื่อให้สุนัขวิ่งผ่านไปได้ และนี่คือช่วงเวลาน่าประทับใจระหว่างคนและเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ส่วนหลังจากนั้นนายพลทั้งสองก็กลับไปสู้รบกับต่ออยู่ดี
Cr.http://www.soccersuck.com/
กองทัพเรือแต่งตั้งกองทัพไอศกรีม
ในปี ค.ศ.1945 กองทัพเรืองของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประจำการอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้พบกับปัญหา 3 อย่าง อากาศร้อน กำลังใจหดหาย และกองทัพญี่ปุ่นที่ตามจ้องฆ่าอยู่ทั้งวันทุกวัน นั่นเองเป็นตอนที่ James Forrestal เลขานุการแห่งกองทัพเรือได้คิดทางแก้ขึ้นมา นั่นคือ แจกไอศกรีมฟรี
Forrestal รู้ดีว่าของหวานนี้สำคัญขนาดไหน เขาจริงจังกับเรื่องนี้มากขนาดถึงพูดไว้ว่า ในความคิดของผมแล้ว ไอศกรีมเป็นสิ่งให้ขวัญกำลังใจที่สำคัญที่สุดที่ถูกละเลยไป (รวมถึงปัจจัยอื่นๆ นั่นคือเหล้าและหนังสือโป๊ แต่เขาไม่ได้พูดถึง) ไอศกรีมนี้สำคัญมากขนาดนี้?Forrestal สามารถโน้มน้าวใจให้รัฐบาลให้งบถึง 1 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับไอศกรีมอย่างเดียว
กองทัพเรือได้ออกแบบเรือบรรทุกให้เป็นเหมือนกับร้านไอศกรีมลอยน้ำ พร้อมกับตู้แช่เย็นขนาดยักษ์ที่พร้อมเดินทางไปทุกที่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เรือลำนี้สามารถผลิตไอศกรีมได้ 10 แกลลอนในทุกๆ 7 วินาที ซึ่งต่อมาก็พิศูจน์ได้ว่าเรือบรรทุกไอศกรีมนี้ประสบความสำเร็จในการรับใช้เหล่าหทารเรือ
Cr.https://teen.mthai.com/
มื้อค่ำที่ไม่ได้ตั้งใจของทหารอเมริกันและทหารเยอรมัน
“ทหารอเมริกันและเยอรมันวางปืนและนั่งลงทานอาหารร่วมกัน” ฉากหนึ่งจากภาพยนตร์โทรทัศน์ เรื่อง Silent Night ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง (ขอบคุณภาพจาก http://www.filmstarts.de/kritiken/202184/bilder/?cmediafile=20283788 /Copyright Ascot Elite Home Entertainment GmbH Film)
เดือนธันวาคมปี ค.ศ.1944 ยุทธการบัลจ์ ดำเนินการรบมาอย่างต่อเนื่องและดุเดือด ฮิตเล่อร์ประกาศระดมพลและเรียกหน่วยสำรองต่างๆ ออกทำการรบอีกครั้งโดยหวังว่า เมื่อแผนการรบนี้สำเร็จ มันจะทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อกองกำลังพันธมิตรและนั่นจะทำให้ฝ่ายพันธมิตรขอเปิดการเจรจาสันติภาพขึ้น
ทหารอเมริกัน 3 นาย พลัดหลงจากหน่วยของตน พวกเขาต้องพากันช่วยพยุงร่างที่บาดเจ็บของเพื่อนทหาร เดินลุยหิมะและฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บ และหลงอยู่ในป่าอาเดนส์อันกว้างใหญ่ โชคชะตานำพาทหารทั้ง 3 นายมาพบกับกระท่อมแห่งหนึ่ง พวกเขาหวังจะใช้มันเพื่อหยุดพักและพยาบาลเพื่อนที่บาดเจ็บ
กระท่อมหลังนี้เป็นของอลิซาเบธ วิกเก้น และลูกชายอายุ 12 ปีของเธอ ฟริส วิกเก้น เธอได้ช่วยเหลือนายทหารทั้งสามและลงมือทำอาหารให้ทหารทั้งสามโดยมีลูกชายของเธอคอยช่วยอยู่เคียงข้าง แต่ขณะที่กำลังต้อนรับแขกชาวอเมริกันอยู่นั้น เสียงประตูกระท่อมก็ดังขึ้น ฟริสเข้าใจว่าเป็นคุณพ่อของเขาที่กลับมาแล้วจึงรีบไปเปิดประตู แต่บุคคลที่มาเคาะประตูนั้นคือทหารเยอรมัน 4 นาย ที่มาพร้อมกับอาวุธครบมือ ฟริสส่งเสียงเรียกแม่มาที่ประตู อลิซาเบธเดินมาที่ประตูและตกใจกับภาพที่เห็น การช่วยเหลือทหารข้าศึกเป็นข้อห้ามสำหรับพลเรือนเยอรมัน และมีโทษที่รุนแรงสำหรับพฤติกรรมนี้
“คุณผู้หญิงครับ… พวกผมหลงทางและหิวมาก พอจะมีอาหารให้พวกเราได้ทานบ้างไหมครับ”
ทหารเยอรมันพูดกับเธออย่างสุภาพ เธอจึงคิดว่าไม่น่าจะมีอันตราย ประกอบกับทหารทั้งหมดหน้าตายังดูเด็กๆ เท่านั้น อลิซาเบธ จึงเชิญทหารเยอรมันทั้ง 4 นายเข้ามาในกระท่อม แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาพบกับทหารอเมริกันทั้ง 3 ที่อยู่ข้างใน พวกเขาทั้งสองฝ่ายต่างเล็งปืนเข้าหากัน แต่อลิซาเบธก็ทำให้ทั้งสองฝ่ายผ่อนคลายและได้ทานอาหารร่วมกันโดยไม่มีเหตุร้ายแรงใดๆ
อลิซาเบธและฟริส สองแม่ลูกมีชีวิตอยู่จนสิ้นสุดสงคราม แต่อลิซาเบธเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ. 1960
เรื่องราวของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์ เรื่อง Silent Night ออกฉายเมื่อปี 2002 โดยมี ลินดา เฮมิลตั้น ผู้เคยฝากผลงานการแสดงไว้กับภาพยนต์แอคชั่นไซไฟอย่าง คนเหล็กภาค 1 และ 2 ในบทบาทของ อลิซาเบธ วิกเก้น
Cr.https://www.silpa-mag.com/