หนุ่มร็อคสาวโก๊ะ ตอนที่ 1

"แม่ ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมไม่ได้ต่อ ม. ปลาย โรงเรียนนี้ด้วย!" เรย์ บ่นกับแม่อย่างหัวเสีย ขณะที่เขานอนอยู่ข้างหลังรถอยู่ แม่ของเขานั่งอยู่ข้างหน้า ส่วนคนขับรถคือลุงของเขาเอง .. "เอ็งมันดื้อ มันเกเร ถ้าไม่ออกจากวงโคจรนี้ เอ็งคงจมอยู่แต่กับวงจรนี้ไปอีกนาน เข้าใจมั้ยว่าทำไมข้าถึงให้เอ็งกลับบ้านมา" แม่ของเขาตะโกนตอบ

กิตติ พิชัยวงศ์ หรือ เรย์ เด็กจบ ม.3 หมาดๆ เขาเพิ่งผ่านการซ่อมวิชาไปถึง 30 ตัว จากวิชาที่เขาสะสมมาตั้งแต่ ม.1 จนกระทั่งเรียนจบ เวลาเกือบ 2 ปีในฐานะชีวิตมัธยมต้น เขาใช้เวลาอยู่แต่นอกห้องเรียน เขาใช้เวลาไปกับการพ่นสีกำแพงโรงเรียนหรือกำแพงบ้านชาวบ้าน เขาถูกทำโทษทั้งถูกตี เชิญผู้ปกครอง ไปจนกระทั่งต้องพบกับผู้อำนวยการฯ หลายครั้งไม่ถ้วน แต่ที่เขายังอยู่ในโรงเรียนได้ เพราะการที่แม่ของเขามักจะขอร้องให้โอกาสเขา ซึ่งเขาไม่เคยใช้มันคุ้มเลย จนกระทั่ง 3 เดือนสุดท้าย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ 3 เดือนแรกนับตั้งแต่ปีใหม่มา เขาใช้เวลาไปกับการบำเพ็ญประโยชน์ การถูกอบรม และกิจกรรมหลายๆอย่าง รวมไปถึงการปั่นงานซ่อมของครูทุกคน เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นและเขาได้เข้าพิธีจบการศึกษาแล้ว แม่ของเขาจึงตัดสินใจพาเขากลับบ้าน หลังจากที่ใช้ชีวิต 3 ปีในหอพักที่ขึ้นชื่อว่าสภาพแวดล้อมเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด

ก่อนหน้านี้นั้น เรย์ อยู่ในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนระดับจังหวัด มีชื่อเสียงระดับประเทศในระดับหนึ่ง เป็นโรงเรียนที่ได้รับการยกย่องทั้งในทางวิชาการ กีฬา ดนตรี ศิลปะ หรือกล่าวได้ว่า มีครูสอนวิชาอะไรในโรงเรียน ก็ล้วนมีผลงานที่ดีออกไปทางนั้นหมด และที่น่าจะโดนใจเรย์มากที่สุดในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็คือ เป็นโรงเรียนที่มีผู้หญิงหน้าตาดีทุกรูปแบบอย่างที่เรย์ชวนฝัน ตั้งแต่เด็กเนิร์ดสวยใส เด็กไฮโซสวยหวาน สาวเชียร์ลีดเดอร์หุ่นทรมานใจ เรย์ในวัยหนุ่มแรกรุ่น เข้าถึงเรื่องนี้มากกว่าใครเพื่อน และที่เขายอมรับว่ามันยิ่งกระตุ้นได้ดีก็คือ เพลงร็อคที่เขาชอบฟัง ซึ่งมักจะเป็นเพลงร็อคยุคเก่าทั้งหลาย หรือเพลงยุคใหม่ก็พอโดน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมักชื่นชอบการฟังเพลงร็อคไปด้วย และมักจะฝึกเล่นกีตาร์ไปด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นต่อม 'หน้าหม้อ' ของเขาไป โชคดีที่ว่าหน้าตาของเขาดีในระดับหนึ่ง จึงทำให้ไม่ถูกดูถูกจนเกินไป แต่นั้นก็ไม่ได้สู้หน้าหนุ่มหน้าตาดีสายกีฬาหรือสายดนตรีอีกหลายๆคนได้เลย

อย่างไรก็ตาม ด้วยชีวิตที่เลือกไม่ได้ของเรย์ ทั้งไม่เคยเห็นหน้าพ่อบังเกิดเกล้าที่หนีหายไปตั้งแต่แบเบาะ การดิ้นรนเข้าเรียนโรงเรียนในจังหวัดตั้งแต่ช่วงประถมของเขา โชคชะตาที่พลิกผันให้สอบเข้าห้องสายวิทย์ได้โดยบังเอิญ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมสังคมที่อยู่คนละด้านกับโรงเรียนและสังคมเพื่อนในห้องของเขา และที่สำคัญคือ การเรียนที่แสนต่ำตมและประวัติความก้าวร้าว อันธพาลเล็กๆน้อยๆ ทำให้แม่ของเขา จำใจไม่ส่งเขาเรียนต่อในโรงเรียนนี้ เพราะเธอมั่นใจแน่ๆว่าลูกของเธอจะไม่ได้อยู่ในสังคมของเพื่อนๆห้องวิทย์อีก และจะต้องกระเด็นไปอยู่ห้องท้าย ซึ่งนั้นจะส่งผลให้เรย์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยิ่งตกต่ำเข้าไปอีก เธอจึงตัดสินใจพาเรย์ ออกจากโรงเรียนนั้นเมื่อเรียนจบ ม.3 พร้อมทั้งส่งข้อมูล ทำทะเบียนทุกอย่างเข้าต่อ ม.4 โรงเรียนประจำตำบลใกล้บ้าน ซึ่งเรย์ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะต้องกลับมาเรียนใกล้บ้าน หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเรียนใกล้บ้านด้วยซ้ำ เพราะเขาถูกส่งเข้าเรียนในตัวจังหวัดตั้งแต่ประถมแล้ว และไม่เคยรับรู้สังคมของเด็กใกล้บ้านว่าเป็นอย่างไร และมีความเป็นอยู่แตกต่างอย่างไร

โรงเรียนประจำตำบลที่เขาจะอยู่ มีชื่อว่า โรงเรียนบ้านกระบือดำ แน่นอนว่า ในฐานะระหว่างโรงเรียนประจำตำบล กับโรงเรียนประจำจังหวัดที่เขาเคยอยู่ เป็นคนละสังคม คนละรูปแบบโดยสิ้นเชิง โรงเรียนบ้านกระบือดำ มีนักเรียนเพียงแค่ 1,000 กว่า อาคารเรียน 3 หลัง สนามฟุตบอลเล็กๆ และหอประชุมโล่งๆ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจัดเป็นสวนแปลงผัก ขณะที่โรงเรียนประจำจังหวัด มีนักเรียนเฉียด 5,000 คน อาคารเรียน 8 หลัง สนามฟุตบอลระดับมาตรฐานโรงเรียน พร้อมด้วยอัฒจันทร์และสระว่ายน้ำระดับโอลิมปิก หอประชุมติดแอร์ 2 ชั้น และพื้นที่ส่วนใหญ่ก็คือลานจอดรถที่รองรับถึง 30 กว่าคัน ซึ่งเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล

"มันต่างกับสังคมที่ผมอยู่ตรงไหนเหรอแม่ ก็มันโรงเรียนตำบล มันไม่ต่างอะไรกับสังคมผมหรอก" เรย์ถามแม่เขาด้วยความหัวเสียเล็กน้อย .. "เอ็งอยู่สังคมแบบนั้น ข้าจะช่วยทันมั้ยถ้าเอ็งโดนแจ้งความติดคุกมา อยู่แบบนี้แหละ อย่างน้อยก็ดีกว่าไปอยู่สังคมที่ข้าเอื้อมไม่ถึง" .. "แม่คิดแบบนี้จริงๆ เหรอ แม่ทำเหมือนผมไม่ใช่ลูกแม่อย่างงั้นแหละ" .. "โอ้ย ถ้าแม่เอ็งไม่ใช่แม่แท้ๆ ก็คงปล่อยเอ็งติดคุกหรือโดนไล่ออกไปนานแล้วแหละ ไม่ปล่อยให้เอ็งมาเกเรต่อแถวบ้านได้หรอก" ลุงของเขากวนเขาบ้าง .. "ฮึ้ย .." เรย์ไม่สบอารมณ์

หลังจากการถกเถียงได้เกิดขึ้นไม่นาน รถก็มาถึงหน้าบ้านของเรย์ บ้านของเรย์ที่เคยอยู๋มาก่อนออกไปท่องโลกนอกนั้น เป็นบ้านใต้ถุนที่โบกปูนไว้ใต้ถุนกับบางส่วนของบ้าน ด้านบนของบ้านยังเก็บไว้เป็นบ้านเช่นเดิม มีห้องน้ำทั้งด้านบนและด้านล่าง มีห้องครัวไว้สำหรับทำกับข้าวและกินข้าว ตัวบ้านอยู่ในซอยห่างจากถนนหมู่บ้านริมแม่น้ำไปไม่มาก เรย์ออกมาจากรถ แม่ของเขาก็ตะโกนขึ้น "ช่วยขนของด้วย!" เรย์เดินไปหลังรถ เก็บของไว้บนบ้านหมด ชั่วระยะหนึ่งจึงเสร็จ หลังจากนั้น เขาเข้าห้องเก็บตัวเงียบ คิดถึงเรื่องราวสมัย ม.ต้น เขาได้แต่นอนคิดไปคิดมา ว่าเขาควรจะเสียดายหรือไม่กับชีวิตใน ม.ต้น เพราะถึงแม้เขาจะได้เรียนในห้องต้น แต่ด้วยความที่เขาไม่ค่อยได้เข้าห้องเรียนมาตั้งแต่ ม.1 ทำให้ความผูกพันระหว่างเขากับคนในห้อง ไม่ค่อยไปถึงไหน แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับขนุน เพื่อนร่วมรุ่นที่อยู่ห้องต้นเหมือนกัน ซึ่งการได้พบกับขนุน ทำให้เขาลดความก้าวร้าวเกเรลงไปบ้าง และนั้นทำให้เขาเริ่มอยู่ในห้องบ่อยขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ดีขึ้นมากพอที่จะทำให้เขากลับตัวกลับใจได้ บางครั้งเขาก็ยังออกมานอกห้องเรียน อยู่กับกลุ่มมั่วสุม แต่ตัวเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับยาเสพติดแต่อย่างไร เขาเพียงแค่อยู่คุยกันเรื่องเพลงร็อคที่เขาชอบ เรื่องวงร็อค เทคนิคการเล่นกีตาร์ เบส กลอง กับกลุ่มมั่วสุม ในระยะหลัง พวกกลุ่มมั่วสุมพยายามคะยั้นคะยอให้เขาเสพด้วย แต่เขาไม่เล่นด้วย และอยู่ห่างออกมาอยู่โดดเดี่ยวตั้งแต่นั้นจนกระทั่งเรียนจบ

เรย์นึกถึงวันแรกที่เขาเดินชนกับขนุน ก่อนหน้านี้ เขาเห็นขนุนหลายครั้งมาตั้งแต่เธอยังเข้าโรงเรียนมาใหม่ๆ เธอใส่แว่นหนา ตัดผมสั้นตามกฎโรงเรียน เป็นผู้หญิงรูปร่างสูงกว่าผู้หญิงวัยเดียวกันเล็กน้อย แต่เธอชอบทำตัวเงียบๆ ขี้อาย วันที่เขาชนขนุน แว่นของขนุนร่วงลงมาแล้วเขาเก็บให้ ขนุนมองหน้าเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ แท้จริงแล้ว ใต้แว่นของขนุน คือหญิงสาววัยแรกสาว ปากแดงอมชมพู หน้าขาวปนแก้มแดงฝาดเลือด คิ้วหนาเล็กน้อย ตาสวยดั่งนกยูงและขอบตาเรียวเล็กน้อยตามประสาสาวเชื้อสายจีน เรย์เห็นแล้วรู้สึกอึ้งเล็กน้อย เขามองเห็นขนุนหยิบแว่นจากมือเขาแล้วเดินออกไป เขารู้สึกหน้าชาตัวชา ใจเต้นแรง หลังจากวันนั้นมา เขาพยายามคุยกับขนุน พยายามเอาใจใส่จนขนุนยอมดูใจด้วย แต่ไม่ทันที่เขาจะได้สมหวังเต็มที่ เขาก็ถูกแม่เขาดึงกลับมาบ้านเสียอย่างนั้น

เรย์นอนถอนหายใจอยู่ในห้อง พลางคิดถึงวันเก่าๆระหว่างเขากับขนุน เขาพาขนุนไปงานเทศกาลด้วยกัน เขาพาขนุนไปกินร้านอาหาร เขากับขนุนเดินจูงมือเดินกันข้างถนนในวันหยุด ภาพความทรงจำที่แสนงดงามค่อยๆวนเวียนไปเรื่อยๆสักพักจนกระทั่งเขาหลับไปด้วยความเครียด ผ่านไปหลายชั่วโมง เมื่อเขาตื่นมา ก็พบว่าเป็นเวลาเย็นแล้ว เขาจึงจัดการเดินลงมาข้างล่างที่โต๊ะกินข้าว เขากินข้าวไม่ค่อยลง เพราะความคิดถึงขนุน "ทำไมนึกเงียบล่ะไอ้เรย์ กินข้าวซะเดี๋ยวเย็นหมด!" แม่เขาตะโกนบอก "ผมกินไม่ลงอ่ะแม่ ผมขอโทษ" เรย์ตอบ "อือ จะเก็บไว้กินดึกๆมั้ย" แม่เขาถาม "โอเคครับแม่" "เอ็งเครียดอะไร" แม่เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าอันเคร่งเครียดของเขา "ผมแค่เสียดายวันเก่าๆ ผมอยากทำตัวให้ดีกว่านี้ถ้าเลือกได้" เรย์ตอบ "นี้ อดีตของเอ็ง ถ้ามันย้อนไปได้ เอ็งคงไม่ได้มีชีวิตแบบนี้หรอกไอ้เรย์" แม่เขาเริ่มเท้าความไปตอนอดีต "พ่อเอ็งไปมีคนอื่น แล้วก็หนีหายไป ถ้าแม่ย้อนไปได้ ป่านนี้พ่อเอ็งก็คงยังอยู่กับแม่อยู่" แม่เรย์เริ่มเท้าความ "ทำไมแม่ไม่หาพ่อใหม่ให้ผมล่ะ" เรย์ถามเสียงค่อย แม่เขาเอามะเหงกเขกหัวเบาๆ "ใครจะรักเอ็งเท่าแม่ล่ะไอ้หมา แม่น่ะมีคนมาจีบเยอะแยะไป แต่แม่ไม่สนหรอก เพราะขนาดพ่อเอ็งยังไม่รักเลย" "แล้วแม่คิดว่าผู้หญิงที่ผมรัก เขาจะรักผมเหมือนที่แม่รักผมหรือเปล่า" เรย์ถามแม่เขา "ถามอะไรโง่ๆ ไอ้หมา เอ็งมีแฟนแล้วเหรอวะ ทำไมแม่ไม่รู้เลย" แม่เขาตกใจเล็กน้อย "ใช่ ขนุนไงแม่" "ลูกแม่ขายออกตั้งแต่ ม.ต้น แม่จะภูมิใจดีมั้ย ฮ่าๆๆ" แม่เขาขำเล็กน้อยพลางหยอกลูกตัวเอง "ผมคิดว่า ชีวิตผมดีขึ้นเพราะเขา แต่โชคร้ายที่ตัวผมเอง ไม่ได้เข้าถึง ไม่งั้นผมจะได้อยู่กับเขาไปนานๆ" "เพ้อเจ้อน่ะเรย์ กินข้าวซะ ถ้าไม่กินก็ไปอาบน้ำไป๊" แม่เขาสำทับท้าย ก่อนเดินไปทำธุระอื่นต่อ เรย์นั่งคอตกตรงโต๊ะกินข้าวสักพักใหญ่ ก่อนเดินขึ้นบ้านไปอาบน้ำ หลังจากนั้นจึงเอาแต่เข้าห้องนั่งคิดนอนคิด เป็นห่วงว่าขนุนจะรับรู้อะไรมั้ย จะเกิดอะไรขึ้นกับขนุน ชีวิตของเขานั่งคิดอยู่แต่กับขนุนไปทั้งวันจนกระทั่งหลับไปอีกหน

วันต่อมา แม่ของเขาแจ้งว่า เขาอยู่ห้องสุดท้าย ห้อง 10 ซึ่งเป็นห้องสายศิลป์ เขาได้ยินแล้วเขานั่งถอนหายใจ เขาไม่คิดว่าแค่ต้องย้ายโรงเรียนมา มันแย่อยู่แล้ว แต่การต้องมาอยู่ห้องท้ายสายศิลป์นั้น เลวร้ายกว่า นั้นเป็นเพราะว่า นักเรียนห้องต้นๆส่วนใหญ่ คือนักเรียนเก่าที่เรียนดี มีความประพฤติดีอยู่แล้ว จึงได้รับเลือกให้มาอยู่ห้องดีๆ ขณะที่เด็กเกเร เกรดไม่ดีที่ยังพออยู่ในเกณฑ์เรียนต่อได้ ก็จะถูกคัดเลือกให้อยู่ห้องกลางๆ และห้องท้ายตามลำดับเกรดในแต่ละรุ่น ส่วนนักเรียนใหม่ หมดสิทธิ์อยู่ห้องวิทย์ ต่างต้องมาอยู่ห้องท้ายปะปนกับนักเรียนเก่าเกรดเกือบตกมาตรฐานเสียทั้งสิ้น และแน่นอนว่า เรย์โชคร้ายพอสมควร เพราะเขาต้องอยู่ในห้องสุดท้ายของชั้นเรียนพอดี

เรย์ เดินคอตกอยู่ในสวนกล้วยหลังบ้านของลุงเขา เขานั่งกอดเข่าคิดถึงความผิดตัวเองอยู่กลางดงต้นกล้วย คิดถึงเรื่องราวในอดีต คิดถึงอนาคตที่หมดโอกาสเกิดขึ้น การวาดฝันเรื่องการได้เรียนต่อเป็นแพทย์ การได้เรียนต่อเป็นวิศวะ การได้เรียนต่อในสาขาอาชีพต่างๆ แต่เขาก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ เขาคิดว่ามันหมดโอกาสของเขาแล้ว เขาเสียดายเรื่องราวในอดีต แต่ในขณะเดียวกัน เขานึกถึงเรื่องราวของพี่ป๊อป หินเหล็กไฟ ที่เคยเรียนถึงวิศวะ มช. แต่เรียนจบมาแล้วมาเป็นมือกีตาร์ ทำให้ตั้งแต่วันนั้นมา เขาคิดว่าการศึกษาไม่ได้สำคัญอะไรนัก ถ้าใจไม่ได้อยากเป็นอะไรหรือไม่ได้ชอบถึงขั้นสุด เขาค้นพบตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่า สิ่งที่เขาชอบที่สุด ไม่ใช่การเป็นแพทย์ การเป็นวิศวะ หรืออาชีพใดๆที่เขาเคยวาดฝันไว้ในวัยเด็ก แต่มันคือการเล่นดนตรี การเล่นกีตาร์ที่เขารักนั้นเอง เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เรย์ จึงเดินเข้าบ้านไป แล้วฝึกเล่นกับกีตาร์โปร่งตัวโปรดตั้งแต่นั้น

วันเปิดเรียนวันแรก ลุงบุญสม ส่งเขาที่หน้าป้ายโรงเรียน ตัวโรงเรียน เขาคิดว่าโรงเรียนจะอยู่ติดถนน แต่ไม่ใช่ เขาต้องเดินผ่านทุ่งนาไปอีกกิโลเมตรหนึ่ง จึงผ่านเข้าไปในโรงเรียน สภาพโรงเรียนถือว่าดูดีพอสมควร แต่ถือว่าค่อนข้างเก่า อาจจะเป็นเพราะเป็นโรงเรียนที่ไม่ได้อยู่ในระดับมาตรฐานเหมือนที่เขาเคยอยู่ เขาเดินอยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่อสำรวจเล็กๆน้อยๆ ชั่วครู่หนึ่ง จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำในอาคาร 1 แต่เขาก็ได้พบเจอกับพวกกลุ่มมั่วสุม กำลังแอบดูดกรองกันอยู่อย่างเมามันส์ เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงเข้าไปเนื่องจากเขายังไม่คุ้นชินกับโรงเรียน เขาจึงเดินไปเข้าห้องน้ำหลังอาคาร 3 แต่ก็ต้องพบเจอกับอะไรบางอย่าง .. (ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/39267372)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่