ประสบการณ์ชีวิตในวัย20ต้นๆกับการขายตรงที่โกหกเป็นไฟ

กระทู้คำถาม
      สวัสดีค่ะ ขออภัยหากมีความผิดพลาดในการตั้งกระทู้นะคะ เพราะเป็นครั้งแรกที่ตั้งเลย ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ เจ้าของกระทู้เป็นนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานทำค่ะ เพิ่งจบเมื่อต้นปี 2562 เรื่องเกิดขึ้นจากการที่เราไปออกกำลังกายที่ยิม ไปเข้าคลาสออกกำลังกายตามปกติ เนื่องจากแต่ก่อนเจ้าของกระทู้เป็นคนอ้วนมากค่ะ หนัก80กว่า ทั้งที่ยังเป็นเด็กอยู่ เลยเริ่มลดน้ำหนักโดยการคุมอาหาร+ออกกำลังกาย จนน้ำหนักปกติตามเกณฑ์ ไม่เคยกินอาหารเสริมใดๆหรือทานยาลดน้ำหนัก ใช้เวลาประมาณ 1 ปี ที่อดทนกับการคุมอาหารและหันมาดูเเลสุขภาพ นอกเรื่องเยอะมาก5555เข้าเรื่องกันเลยค่ะ อยากมาปรึกษาเกี่ยวกับการเอาความคิดของการขายตรงหรืออาชีพนี้ออกจากหัวมาก มันหลอนเราตลอดเวลา บางวันเรานอนไม่หลับ หลับก็ฝันว่ามีเเต่เรื่องนี้ เราไม่มีความสุขเลยตลอด2-3เดือนที่ผ่านมา
     เรื่องมันมีอยู่ว่า มีวันนึงไปเข้าคลาสออกกำลังกายตามปกติค่ะ เราก็ออกกำลังกาตามที่ครูเขาสอนปกติ เริ่มสังเกตุว่ามีคุณป้าคนหนึ่ง ชอบยิ้มให้เรา ชอบหันมาหัวเราะเวลาออกกำลังกายแล้วหน้าหันมาเจอกัน ก็คิดว่าเป็นการทักทายปกติก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ หลังจากจบคลาสเราก็ไปนั่งปั่นจักรยานคนเดียวต่อ และคุณป้าคนนั้นก็เดินมายิ้มให้เราอีก แล้วก็นั่งลงปั่นจักรยานข้างเรา ทั้งๆที่เราใส่หูฟัง แต่เขาพยายามที่จะชวนเราคุยมาก จนเราต้องถอดหูฟังคุยกับเขา เเละทุกครั้งที่เราพยายามจะใส่หูฟัง เขาจะยิงคำถามให้เราตอบ และเเล้วคำถามเปิดประเด็นก็มาค่ะ 
คุณป้านิรนาม : หนูทำงานอะไรจ๊ะ
เรา : เพิ่งจบมา กำลังหางานทำค่ะ
คุณป้า : หนูหน้าตาสวยนะ ยิ้มสวยด้วย 
เรา: คิดในใจ จริงเหรอวะ? งง แต่ก็ยิ้มกลับไป
คุณป้า : หนูอยากทำงานอะไร?
เรา: หนูจบวิทยศาสตร์มาค่ะ ก็อยากทำงานในห้องแลปหรือไม่ก็อะไรดีก็อยากทำค่ะ (พอเรามาคิดทีหลัง เรานี้มันช่างอ่อนด๋อยเหลือเกิน เค้าใช้จิตวิทยาในการถามเราให้เราตอบตามที่เขาต้องการนี้นา)
คุณป้า : หนูมาลดน้ำหนักเหรอ?
 เรา: ใช่ค่ะ
คุณป้า : ป้าทำธุรกิจอาหารคลีน หนูอยากมาทำไหม หนูก็ผ่านการลดน้ำหนักมานิ หนูน่าจะทำได้นะ 
ด้วยความที่เราอยากมีงานทำ เราก็ถามไปว่าอาหารคลีนนี้อาหารปกติไม่ใช่อาหารเสริมใช่ไหมค่ะ แล้วเค้าตอบว่า ....."ใช่จ๊ะ" 
คุณป้า : ป้านะมีโรงเรียนสอนเกี่ยวกับการพัฒนาตนเองด้วยนะ เกี่ยวกับบุคคลิก หนูอยากเรียนไหมละ ฟรีนะ มีวันจันทร์กับพฤหัสบดี
เรา(ที่ตอนนั้นโง่เขลาเหลือทน):ค่ะ ได้

จบจากการสนทนา เราก็กลับบ้านมาเล่าให้คนที่บ้านฟัง คนที่บ้านบอกว่าก็ไปดูด้วยกันสิ เผื่อมันอาจจะดีก็ได้นะ  เเต๋นนนเเตนนน สรุปพอเราไปแล้ว นางคือธุรกิจขายตรงจ้า ยีห้อหนึ่ง ที่ทำเป็นกลุ่มๆเกี่ยวกับการลด นน. เราก็โบกมือลาบ้ายบายออกมา 

อันนี้แค่น้ำจิ้ม ของจริงคือ อันนี้จ้าา เนื่องจากการเป็นเด็กที่อจจะอยากเริ่มต้นชีวิตแบบติดเทอร์โบ อยากประสบความสำเร็จไว อิสระภาพทางการเงิน เเหม๋ อะไรมันจะตรงล๊อคขนาดนี้ .... เราไปรู้จักกับอดีตคนทางการเเพทย์ที่ลาออกมาทำเกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่เป็นสูตรที่บอกว่า มีคุณหมอเป็นคนคิดสูตร ? เเละเราได้เข้าไปอยู่ในวงการนี้แบบเต็มตัว ทั้งไปเซนเตอร์ งานต่างๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าเดินทางเป็นว่าเล่น ประมาณ 1-2 เดือนถึงจะเพิ่งคิดได้ จะเรียกง่ายๆว่าเค้าคืออัพไลน์ของเรานั้นเอง เค้าจะคอยติดตามทุกการเคลื่อนไหวของเรา ต้องให้เราเข้าคลาสเรียน เซนเตอร์ของเขา ซึ่งเนื้อหาของการไปในแต่ละครั้งคือ 1.ข้อมูลผลิตภัณฑ์ (ส่วนน้อย) 2.การทำรายได้จากตรงนี้ 3.ชีวิตที่สวยหรู(ตรงนี้เยอะหน่อย) 4.การท่องเที่ยวต่างประเทศศศศศ  เขาจะให้เราซื้อเครื่องชั่งที่วัดไขมัน กล้ามเนื้อต่างๆ เพื่อเอาไปใช้ในการทำงาน เขาจะคอยโทรหาเราตลอดว่าเราอยู่ไหนกับใคร พี่อยากจะไปเจอเพื่อนของน้อง? พอเราถามว่าทำไมเหรอค่ะ เค้าบอกอยากรู้จัก เราก็เริ่มตะงิดๆใจแปลกๆ เราไม่ได้แอนตี้การขายของ เรามีสิทธิ์ที่จะเสนอขาย คนซื้อมีสิทธิ์ที่จะรับหรือปฏิเสธก็ได้ แต่..... ความพีคอยู่ตรงนี้ เขาให้เราเอาชื่อทุกคนในชีวิตของเรามา จัดตารางเวลาให้ไปเจอ เพื่อจะขายครอสลดน้ำหนักให้ ไม่ว่าจะญาติ เพื่อน ครอบครัว แม้กระทั่งคนขายกาแฟหน้าหมู่บ้าน โดยจะมีสคริปการโทรไปนัดเวลาว่า ....ไม่เจอกันนาน คิดถึงงงง อยากเจอจัง.... (ประโยคสุดฮิตในวงการ) เราเองก็งง ว่าทำไมต้องพูดแบบนั้น ถ้าจะขายก็บอกเลยซิ เราไม่เคยทำตาม เพราะเราไม่ได้คิดถึงเขาซะหน่อย พูดไปก็อายปาก แต่คุณอัพไลน์จะพยายามคุมชีวิตเราทั้งหมด ทั้งfacebookก็ต้องโพสเเต่เรื่องลดน้ำหนัก โพสรูปต่างๆ โพสวลีเด็ดต่างๆที่เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก หรือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตสุดคูล คือ การไม่ต้องมีนางจ้าง การไม่ต้องเข้า8.00โมง ออกงาน 17.00  การเเต่งตัวแฟชั่นต่างๆ การมีชีวิตเป็นของตัวเอง ซึ่งมันขัดกับเรามาก เราไม่อยากทำ พอเราเริ่มไม่ฟังเขา เขาก็จะมาบรีฟเราในเรื่องต่างๆเช่น เรื่องรายได้ งานอะไรจะมีรายได้เป็นเเสนต่อเดือน งานอะไรจะได้เเต่งตัวสวยๆ งานอะไรสบายจะตาย ความสำเร็จเป็นเรื่องง่าย และวลีเด็ดอีกหนึ่ง คือ เชื่อง่ายๆไม่ต้องรู้อะไรเยอะ จะสำเร็จไว  เราเริ่มไม่โอเคมากๆ กับการที่ต้องโกหกคนอื่น เราเริ่มถอยห่างออกมา ไม่รับโทรศัพท์ ไม่อ่านไลน์ ออกจากกลุ่มไลน์ เขาตามตลอด แต่เราก็หนีเช่นกัน จนเราหลุดออกมาเเล้ว พอเราออกมา เรามองกลับไปในนั้น เราไม่ได้ว่าเลยถ้าใครสามารถทำรายได้จากตรงนี้ได้ เพราะมันก็เเล้วเเต่ความสามารถของแต่ละคน เเต่สิ่งที่เราไม่โอเค คือ การที่เขาสร้างฉากต่างๆมาโฆษณา ทั้งความสำเร็จ ความหวังดีกับคนอื่น การเป็นผู้ให้ ซึ่งจริงๆแล้ว เขาต้องการยอดขาย เเต่เขาบอกว่าตัวเองเป้นผู้ให้ เป็นคนที่ประเสริฐ เป็นคนมีบุญ เป็นคนหน้าใส ใจสว่าง คนที่เขาขายให้เเล้วไม่ซื้อ เป็นพวกบุญน้อย พวกบุญไม่ถึง ความคิดต่ำ เราสะดุ้งเมื่อได้ยินคำนี้ เราคิดว่ามันไม่ใช่ การสร้างความรัก หรือการให้ความรักกับการแฝงยอดขายไปด้วยคือสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับเรา เราเลยโบกมือลา

     แต่สิ่งที่มันติดหัวเรามา คือ ไม่มีอาชีพไหนได้เงินดีเท่านี้ ไม่มีอาชีพไหนสบายเท่านี้ ไม่มีอาชีพไหนประสบความสำเร็จไวเท่านี้ มันเป็นความคิดที่เขาพูดตลอดเวลาที่เจอเรา พูดในเซนเตอร์ จนมันฝังหัวเรา เวลาที่เราไปสมัครงาน ก็คิดว่างานนี้ได้เงินเท่าไหร่ มันน้อยกว่าขายครอสลดน้ำหนักอันนั้นนิ กลายเป็นว่าเรากลัวการสมัครงาน การมีงานประจำเป็นเรื่องน่าอายในหมู่คนพวกนั้น เราหลอนมาก แต่ตอนนี้เราออกมาตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างจากกลุ่มนั้น จนเวลาเยียวยาความคิดของเราไปแล้วบางส่วน ที่เรามาตั้งกระทู้ไม่ได้อยากโจมตีใคร ใครทำได้เราก็ดีใจด้วย เเต่เราอยากจะมาเล่าให้ฟังว่า ไม่มีงานไหนสบาย งานอันนั้นก็วิ่งหายอดกันตาถลนเหมือนกัน เครียด ไม่ได้ยอด=ไม่ได้เงิน โฉมหน้าดูดีมีความสุข แต่ข้างในใจร้อนเป็นไฟ โกหกจนเป็นนิสัย 

    วันนี้เราได้เดินออกมา มองแล้วไม่ได้โทษใครนะ โทษตัวเองที่โลภเอง อยากมีเงินเยอะ อยากมีนั้นมีนี้ สุดท้ายมีเเต่เรานี้และที่เสียให้พวกเขา ค่าเซนเตอร์ ค่างานต่างๆ ค่าเเคมป์ต่างจังหวัด นับไม่ถ้วน มองดูแล้วตลกดี ถือว่าเป็นความทรงจำในวัย 20 ต้นๆ ที่ทำให้มองโลกเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอก อย่าหลงเชื่อเพราะแค่ความอยากได้ของตัวเอง จงมองความจริงของโลกเสมอ ฝากไว้สำหรับคนอีกหลายๆคนที่อยากจะเข้าไปนะคะ สุดท้ายนี้ก็ขออภัยหากผิดพลาดประการใดนะคะ 
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 49
จากประสบการณ์ทำขายตรงมา 4 ปี รายได้สูงสุด 1 แสนบาทต่อเดือน
สรุปง่ายๆ คือ "อย่าเสียเวลาไปทำขายตรงครับ"
จุดสำคัญที่สุด ที่ทำให้สมการขายตรง ไม่มีทางเป็นไปได้ ที่ทุกคนเอามาใช้หลอกเรา คือ
1. ทำแล้วหยุดได้ เหนื่อยชั่วคราวสบายไปตลอด
ตอบ : คน ไม่ใช่ทรัพย์สินครับ ไม่มีทางที่ทำแล้วจะหยุดได้ เพราะ คนที่มาทำต่อเรา ทำแล้วก็เลิกทำได้ครับ เอาง่ายๆ แฟนคบกันมากี่ปีก็เลิกได้ครับ คนซื้อของเราแล้วก็เลิกซื้อได้เหมือนกัน ความจริงของธุรกิจนี้ คือ ต้องหลอกคนไปเรื่อยๆ โกหกหน้าตายไปทุกๆวัน เหมือน ธุรกิจผีตองเหลือง
ไปหลอกแต่ละกลุ่มคน แต่ละพื้นที่ พอหลอกหมดแล้ว ก็ไปหาที่ใหม่ คนกลุ่มใหม่ ไปเรื่อยๆ ถ้าใครเข้าใจและยอมรับจุดนี้ได้ ก็ทำขายตรงได้ครับ
ส่วนที่บอกว่า คนซื้อแล้วจะกลับมาซื้อซ้ำตลอด ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ครับ คน ยังไงก็ต้องหาอะไรใหม่ๆ มาลองใช้
ยิ่งเป็นเครื่องสำอาง ครีมบำรุง ยิ่งต้องหาอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ลองถามคุณผู้หญิงที่บ้านได้ครับ ยิ่งสมัยนี้มีของมาให้เราเลือกเยอะมากๆด้วย
2. รายได้เยอะ รายได้ หลายทาง
ตอบ : ไม่จริงครับ ลองไปทำธุรกิจจริงๆ ด้วยตัวเอง จะรู้เลยว่า ถ้าสามารถสร้างยอดขายให้ตัวเอง หรือสร้างยอดขายให้ทีมงาน
ได้จำนวนเงินที่เท่ากัน ถ้าไปทำธุรกิจแล้วจะได้กำไรเยอะกว่านั้นหลายเท่าครับ เช่นขายสินค้าขายตรงได้ 1 แสน บาท อาจได้ค่าคอมมิชชั่น ไม่กี่พัน หรือ ไม่เกินหมื่น แต่ถ้าไปขายของเอง ยอดขาย 1 แสน กำไร จะได้ 2-3 หมื่นบาทครับ
ถ้าคิดจริงๆ ต้องรวม เรื่องเวลาที่เสียไป ค่าแต่งหน้า แต่งตัว ค่าไปร้านกาแฟ ค่าซื้อของใช้ รักษายอด จิปาถะ ยังไงก็ไม่คุ้มครับ
ถ้าอดใจไม่ไหวจริงๆ อยากลองทำ แนะนำว่า ให้กำหนด งบประมาณและระยะเวลาที่แน่นอนครับ เช่น เวลา 3 เดือน รวมค่าสมัคร ค่ามือถือ ค่าร้านกาแฟ ค่าเสียเวลาของเรา ค่ารักษายอด รวมแล้ว ได้กำไร หรือ ขาดทุนเท่าไหร่ เอามาวิเคราะห์ธุรกิจดูได้ครับ อย่าไปคิดว่า ต้องซื้อกินซื้อใช้อยู่แล้ว เพราะ จริงๆแล้ว สินค้าขายตรง ต้นทุนต่ำมากๆ แล้วมาขายราคาแพงมากๆ เพราะต้องจ่ายหลายชั้นครับ ลองไปเทียบราคาจริงๆกับโรงงานผลิตได้ครับ
3. คนที่ทำแล้วรวยจริงๆนะ
ตอบ : ไม่จริงครับ เพราะคนที่รวยจริงๆ คือ คนหัวๆเท่านั้นครับ และ รายได้ที่เค้าเอามาโชว์ คือ ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายครับ ไม่ว่าจะอยู่ระดับไหน ก็ต้องจ่ายค่ารักษายอดให้ตัวเองและสายงานที่มีปัญหา เช่น อาจได้รายได้ 1 ล้านบาทต่อเดือน แต่หักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว อาจเหลือ แค่ 2 แสน ก็ได้ครับ

สุดท้าย คือ เสียเพื่อน เสียครอบครัว ญาติมิตร ซึ่งตรงนี้ บอกเลยครับ มีค่าที่ทดแทนไม่ได้จริงๆ
และ เสียระบบความคิดครับ เค้าสอนให้เราเชื่อว่า ธุรกิจนี้ดีที่สุดไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว ทำให้เราไม่กล้าที่จะเลิก หรือเลิกไม่ได้ครับ
หลายคนเลิกทำ ก็ยังหนีวังวนนี้ไม่พ้น เพราะถูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึกครับ จากระบบการอบรมต่างๆของเค้า
ขอให้โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่