ก่อนเริ่มนะครับ Review นี้อาจจะไม่เหมาะกับท่านที่เคยไปทานมาแล้ว หรือไปบ่อย เพราะว่าเนื้อหาจะเหมาะกับใครที่อยากลองไปทาน และเป็นการบอกว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไร งบประมาณเท่าไหร่ และรสชาติอาหาร Courses Menu เป็นอย่างไรมากกว่าครับ ใครที่เคยไปมาบ่อยแล้วน่าจะทราบรายละเอียดเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว
และขอฝากเพจเล็กๆ ที่พวกเราตั้งใจทำกันไว้ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/kinpaijodpai/
เริ่มเลยดีกว่า กับสิ่งที่คุณควรทราบก่อนไปทาน ลองดูว่าการทาน Fine dining ที่ยังเป็นอาหารฝรั่งเศสอีก จะยากหรือเกร็งมั้ย ลองอ่านดูนะครับ ^-^
1. The history of "Le Normandie" และตำแหน่งที่ตั้งของร้านอาหาร
ห้องอาหารนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1958 เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine dining และที่สำคัญได้รับ 2 Michelin stars ในไทยมีอยู่เพียงแค่ 4 ร้านที่ได้ระดับ 2 ดาว ถือว่าไม่ธรรมดา ร้านอาหารตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ของโรงแรม โดยจะเป็นตึกเดียวกับ The Author's Lounge โดยในชั้น 5 ทั้งชั้นจะเป็นห้องอาหารนี้เพียงร้านเดียวครับ เมื่อมาถึงชั้น 5 พนักงานจะมาต้อนรับเราอย่างดี และพาเราไปนั่งที่โต๊ะครับ
ภาพที่ 1: บรรยากาศในร้านอาหารที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่สมัยที่ฝั่งคลองสาน ยังไม่มีคอนโดครับ
ขอบคุณภาพจาก Facebook: Le Normandie
ภาพที่ 2: บรรยากาศร้านอาหารในปัจจุบันครับ
ขอบคุณภาพจาก Facebook: Le Normandie
ห้องอาหารจะแบ่งเวลาการเปิดเป็น 2 ช่วงครับ คือ Lunch (12PM) และ Dinner (7PM) โปรดสำรองที่นั่งก่อนทั้ง 2 เวลาครับ เพื่อได้โต๊ะที่ติดกระจก
สำหรับครั้งนี้เราเลือกไปทานแบบ Dinner ครับ
2. อะไรคือ Fine dining
ร้านอาหาร Fine Dining นำเสนออาหารคุณภาพสูงที่สุด มักมีบรรยากาศที่เป็นทางการและบริการด้วยเมนูที่มีคุณภาพที่สูงกว่าร้านทั่วไป ในส่วนของเครื่องดื่มจะให้บริการด้วยไวน์คุณภาพสูงและมีให้เลือกมากกว่า นอกจากนี้ยังมักมีกฏข้อบังคับในเรื่อง เครื่องแต่งกายที่เรียกว่า dress code อีกด้วย
ภาพที่ 3 บรรยากาศโต๊ะอาหารและวิว ริมหน้าต่าง
ขอบคุณภาพจาก
http://www.bangkok.com/magazine/le-normandie.htm
นี่คือบริการพื้นฐาน เมื่อไปทานอาหาร Fine Dining ที่ Le Normandie นะครับ
- บริการนำไปส่งยังโต้ะอาหาร จัดการเครื่องใช้บนโต้ะให้เหมาะสมกับผู้ทาน รวมถึงการเลื่อนเกาอี้ให้กับผู้ทานเข้าไปนั่ง (จานและช้อนจะไม่เกะกะบนโต๊ะเลย)
- บริการนำทางไปยังห้องน้ำหรือที่ล้างมือ (อันนี้แปลกดี แต่พาไปจริงๆ)
- บริการจัดเรีองเครื่องใช้และเก็บสิ่งของบนโต้ะในระหว่างการเปลี่ยนรายการอาหารบนโต้ะ (โต๊ะไม่เคยรกอย่างที่บอก 55)
- บริการเก็บและพับผ้าเช็ดปากหากผู้ทานลุกจากโต้ะ เพื่อเตรียมให้ผู้ทานใช้ได้สะดวกเมื่อกลับมารับประทานอาหารต่อ (อันนี้ปกติ)
- บริการให้ข้อมูลและแนะนำรายละเอียดของอาหารแต่ละรายการโดยไม่มีการอ่านจากลิส (อันนี้ชอบนะ มันดูมี Story ของอาหาร และที่มา เพลินมาก)
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
http://thegreatgastro.com/th/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB/
3. การแต่งกาย (Dress Code)
ผู้ชาย: ใส่สูท กางเกงขายาว งดรองเท้าผ้าใบ งดกางเกงยีนส์
ผู้หญิง: ใส่ชุดเรียบหรู ไม่จำเป็นต้องราตรียาว ไม่ได้ห้ามใส่กระโปรง กางเกงขายาวก็ได้ งดรองเท้าผ้าใบ งดกางเกงยีนส์ (ผู้หญิงจะดูสบายๆ กว่า แปลกดี)
4. Menu อาหาร
สำหรับใครที่มาทานครั้งแรกและอยากลองทานหลายๆ เมนู แนะนำให้ทานเป็น Course ในเมนูจะเขียนว่า Degustation menu หรือแปลตรงๆ ว่า เมนูเพื่อการลิ้มลอง อาหารก็จะจัดมาเป็นคำๆ แค่พอให้ลองลิ้มรสความอร่อย ก็จะประกอบด้วยอาหาร 8 อย่าง ตั้งแต่อาหารว่าง ไปจนถึง ของหวานกันเลย ซึ่งถ้าชอบรายการไหนเป็นพิเศษสามารถสั่งแยกจานมาได้นะ เป็นแบบ A la carte แต่สำหรับผมแล้ว 1 Course อิ่มแล้วครับ เชื่อเถอะ (ไม่อิ่มอาหารกินขนมปังเอาก็ได้ครับ 5555)
ภาพที่ 4: เมนู ณ เดือนกันยายน 2562
5. เริ่มทานอาหารกัน
ของว่างก่อนเริ่มทานอาหารจะมาวางที่โต๊ะเราแบบในรูป เรียกว่า Amuse-bouche (อามูส บุช)
ภาพที่ 5: Amuse-bouche
ไล่จากด้านบน จริงๆ เขาบอกทั้งหมดนะครับ ว่าเป็นอะไร ทำจากอะไร แต่ผมจำไม่ได้เลยครับ มันเป็นภาษาอาหาร 5555
1. เป็นเหมือนแครกเกอร์บางกรอบ กลิ่นเครื่องเทศแบบอินเดียค่อนข้างแรง ผมไม่ชอบเท่าไหร่
2. เหมือนทาร์ตชีส อร่อยครับ
3. เหมือนผักดอง เค็มๆ ไม่ชอบครับ แหะๆ
4. ข้างในเป็นไข่นกกะทาเหลวๆ และเย็นๆ =.= ไม่ค่อยชอบเหมือนเดิมครับ
สำหรับรสชาติอาหารเป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ครับ คนอื่นอาจจะชอบก็ได้ หรือผมไม่มี taste เองครับ
เมนูที่ 1: Maquereau De Ligne (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐)
เป็นปลา Mackerel (ชื่อคุ้นๆปะ เหมือนที่อยู่ในปลากระป๋องอะ) แต่ปลาเขามี Story และมาจากฝรั่งเศสจ้าา อร่อยมากกกกกกกกก ผมชอบมาก ซอสตรงกลางก็อร่อย ผักข้างๆ ชื่อว่า Fennel เหมือนผักกาดดอง หวานๆ หน่อย แต่อร่อยกว่ามาก
เมนูที่ 2: Crevette Carabinieros De Mediterranee (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐⭐)
กุ้ง Carabinieros จากเมดิเตอร์เรเนียน มาไกลมาก วิธีการทำก็ไม่ธรรมดา เทน้ำแร่ลงบนหินร้อน (หินไรซักอย่าง แต่ไม่ใช่หินทั่วไปอะ แล้วค่อยไปผ่านกุ้งอีกที) เนื้อกุ้งดีงามมากกกกกก เด้ง หนึบ บอกไม่ถูกเพราะไม่เคยกินกุ้งที่ให้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความสุขประมาณ 80% กินกับซอสพริกหยวกมั้ง แล้วก็ Green melon หวานๆ อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เมนูที่ 3: Caviar ET Oursin (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐)
ซุปมันฝรั่งเข้มข้น มีความมัน โรยหน้าด้วย Caviar และด้านล่างเป็นไข่หอยเม่นจาก Hokkaido จานนี้ก็อร่อยมาก แต่โดยส่วนตัวจะเลี่ยนๆ หน่อยถ้าทานเยอะ ไข่หอยเม่นหวานแบบธรรมชาติ คาเวียร์เค็มๆ
เมนูที่ 4: Lotte DE Ligne (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐)
ปลา Monkfish ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ฐานข้างล่างเป็นผักโขม ผสมสมุนไพรอะไรบางอย่างผมจำไมไ่ด้ ราดด้วยน้ำซอส ที่ทำจากส่วนประกอบของตัวปลาเอง ใช้เวลาเคี่ยวนานถึง 24 ชั่วโมง เนื้อปลาออกแนวหนึบๆ หนึบแต่ไม่เหนียว งงปะ หนึบกว่าปลาที่เคยกินมาทั้งหมด แต่พอเข้าปากแล้วอร่อยมากเลย น้ำราดค่อนข้างเค็ม ผักโขมข้างล่างกับสมุนไพรอร่อยดี แต่กลิ่นคาวปลาก็พอสมควรเหมือกันนะ
เมนูที่ 5: Foie Gras DE Canard (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐⭐)
นี่คือตับห่านที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา ไม่รู้จะบรรยายยังไง คือทุกอย่างมันพอดีมาก ไม่มันจนเกินไป กลิ่นการจี่กระทะก็หอม รสชาติตับก็แบบดีงาม ละลายในปาก อร่อยมากกกกกกก น้ำซอสก็ดีงาม
เมนูที่ 6: Pigeon Mieral DE Bresse (ความอร่อย ⭐⭐)
จริงๆ ในเมนูที่ 5 สามารถเลือกได้ว่าจะทานเนื้อลูกวัว หรือทานเมนูนี้ แต่ผมไม่กินเนื้อเลยต้องทานอันนี้โดยปริยาย จานนี้เป็นเนื้อนกพิราบ แต่ไม่ใช่นกพิราบแบบสนามหลวงนะ ไม่ต้องกลัว สามารถเลือกความสุกของอาหารได้ ผมเลือกไปแบบ Medium Well บอกตรงๆ กลัวกินไม่ได้ T_T
พออาหารมา ลองชิมดูเท่านั้นแหละ รสชาติเหมือนตับไก่ ผสมเลือด T_T คือกลิ่นคาวเลือด และกลิ่นเนื้อนกแรงมาก ผมกินแทบไม่ได้ ยกให้แฟนหมดเลยครับ แต่แฟนบอกว่าก็ใช้ได้นะ ไม่อยากโทษว่าอาหารไม่อร่อยนะ ผมว่าผมอาจจะไม่มี taste จริงๆ แหละ
เนื่องจากผมไม่ได้เลือกทานชีส ทำให้มีแค่ 7 เมนูนะครับ
เมนูที่ 7: Souffle Au Cassis (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐⭐)
มาถึงของหวานแล้ว จานนี้จะเป็นไอศครีม Buckwheat คือรสชาติเหมือนไอศครีม Vanilla home made นะ แล้วในไอศครีมก็จะมีเจ้าเม็ด Buckwheat กรุบๆ มันอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกก เราขอไอศครีมเพิ่มอีกลูก ขอได้นะ 5555 กินคู่กับซูเฟร่ ฟินมากกกกกกกกกกกกก
เมนูปิดท้าย: เป็น Complimentary ขนมคล้ายเค้กมะนาว เนื้อแน่น เคลือบน้ำตาล ทานคู่กับแยม Blue berry
เมนูสุดท้ายจริงๆ: Complimentary Chocolate
มันอร่อยมากกกกกกกก ขอทุกรสเลย ขอแบบไม่อาย เพราะมันอร่อย 555
เนื่องจากร้านอาหารมืดมาก ผมถ่ายยังไงก็ไม่เห็น Chocolate ขอหาภาพแทนนะครับ
ขอบคุณรูปจาก
https://www.bangkokriver.com/event/le-normandies-new-spring-menu/
5. Budget ที่ต้องเตรียมในการไปทานอาหาร
หากไป 2 คน ถ้าแบบ Basic สุดคือสั่ง 2 Courses ก็ชุดละ 6800++ ไม่รวมน้ำครับ ก็เตรียมใจเลย 15,000-17,000 บาท ในมื้อนี้
6. บรรยากาศร้านและการบริการ
เอาเป็นว่าที่นี่บริการดีที่สุดตั้งแต่เราเคยทานอาหารมา พนักงานเยอะ ดูแลทั่วถึง พนักงานบริการเป็นผู้ชายทั้งหมด แปลกใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร ทุกคนใส่สูท และเอี๊ยมแบบสุภาพมาก พนักงานทุกคนมีการพูดคุยให้เกิดความผ่อนคลาย Service mind ของพนักงานคือไม่รู้ว่าฝึกยังไงให้ได้แบบนี้ ทุกคนดูกระตือรือร้นมาก แต่เราว่าการที่มันทางการเกินไป ทำให้เกร็งนิดๆ ไม่เหมือน Lord jim's (อีกห้องอาหารของโรงแรมที่จะดูสบายๆ กว่าพอสมควร) ที่นี่ take วิวแม่น้ำอลังการ มีโต๊ะอยู่แค่ประมาณ 30 โต๊ะ
แต่!!! มื้อ Dinner ไฟมืดไปมาก ถ่ายรูปอาหารไม่สวยเลย
7. การทาน การใช้ช้อนและมีด
ที่นี้ไม่ต้องเกร็งเรื่องนี้เลยเพราะพนักงานจะคอยเคลียร์อาหาร เคลียร์จานและวางช้อนส้อมให้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ (อย่างที่กล่าวไปข้างต้น) ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหยิบช้อนตั้งแต่จากวงนอก ถึงชั้นในสุด เอาเป็นว่าเขาวางอะไรให้ ก็ใช้อันนั้นได้เลยครับ
8. เวลาในการทานอาหาร
สำหรับมื้อ Dinner เผื่อเวลาไว้เลยครับ ประมาณ 3 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เพราะเขาต้องหารให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศ รอบตัวคุณ อาหารจะค่อยๆ เสิร์ฟมาทีละจานจนกว่าจะครบทั้ง 7 หรือ 8 เมนู และยังมีอาหารว่างเช่นขนมปัง ของหวานแทรกเป็นช่วงๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบครับ ใช้เวลากับคนที่คุณรักให้เต็มที่ครับ
จบแล้วครับ ยาวมาก 5555 แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ขอบคุณ Mandarin Oriental Bangkok มากๆ ที่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังกับการบริการเลย
#MOBangkok
ฝากเพจเล็กๆ ที่พวกเราตั้งใจทำกันไว้ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/kinpaijodpai/
[CR] ประสบการณ์ Fine Dining ที่ Le Normandie โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok
และขอฝากเพจเล็กๆ ที่พวกเราตั้งใจทำกันไว้ด้วยนะครับ https://www.facebook.com/kinpaijodpai/
เริ่มเลยดีกว่า กับสิ่งที่คุณควรทราบก่อนไปทาน ลองดูว่าการทาน Fine dining ที่ยังเป็นอาหารฝรั่งเศสอีก จะยากหรือเกร็งมั้ย ลองอ่านดูนะครับ ^-^
1. The history of "Le Normandie" และตำแหน่งที่ตั้งของร้านอาหาร
ห้องอาหารนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1958 เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสแบบ Fine dining และที่สำคัญได้รับ 2 Michelin stars ในไทยมีอยู่เพียงแค่ 4 ร้านที่ได้ระดับ 2 ดาว ถือว่าไม่ธรรมดา ร้านอาหารตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ของโรงแรม โดยจะเป็นตึกเดียวกับ The Author's Lounge โดยในชั้น 5 ทั้งชั้นจะเป็นห้องอาหารนี้เพียงร้านเดียวครับ เมื่อมาถึงชั้น 5 พนักงานจะมาต้อนรับเราอย่างดี และพาเราไปนั่งที่โต๊ะครับ
ภาพที่ 1: บรรยากาศในร้านอาหารที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่สมัยที่ฝั่งคลองสาน ยังไม่มีคอนโดครับ
ขอบคุณภาพจาก Facebook: Le Normandie
ภาพที่ 2: บรรยากาศร้านอาหารในปัจจุบันครับ
ขอบคุณภาพจาก Facebook: Le Normandie
ห้องอาหารจะแบ่งเวลาการเปิดเป็น 2 ช่วงครับ คือ Lunch (12PM) และ Dinner (7PM) โปรดสำรองที่นั่งก่อนทั้ง 2 เวลาครับ เพื่อได้โต๊ะที่ติดกระจก
สำหรับครั้งนี้เราเลือกไปทานแบบ Dinner ครับ
2. อะไรคือ Fine dining
ร้านอาหาร Fine Dining นำเสนออาหารคุณภาพสูงที่สุด มักมีบรรยากาศที่เป็นทางการและบริการด้วยเมนูที่มีคุณภาพที่สูงกว่าร้านทั่วไป ในส่วนของเครื่องดื่มจะให้บริการด้วยไวน์คุณภาพสูงและมีให้เลือกมากกว่า นอกจากนี้ยังมักมีกฏข้อบังคับในเรื่อง เครื่องแต่งกายที่เรียกว่า dress code อีกด้วย
ภาพที่ 3 บรรยากาศโต๊ะอาหารและวิว ริมหน้าต่าง
ขอบคุณภาพจาก http://www.bangkok.com/magazine/le-normandie.htm
นี่คือบริการพื้นฐาน เมื่อไปทานอาหาร Fine Dining ที่ Le Normandie นะครับ
- บริการนำไปส่งยังโต้ะอาหาร จัดการเครื่องใช้บนโต้ะให้เหมาะสมกับผู้ทาน รวมถึงการเลื่อนเกาอี้ให้กับผู้ทานเข้าไปนั่ง (จานและช้อนจะไม่เกะกะบนโต๊ะเลย)
- บริการนำทางไปยังห้องน้ำหรือที่ล้างมือ (อันนี้แปลกดี แต่พาไปจริงๆ)
- บริการจัดเรีองเครื่องใช้และเก็บสิ่งของบนโต้ะในระหว่างการเปลี่ยนรายการอาหารบนโต้ะ (โต๊ะไม่เคยรกอย่างที่บอก 55)
- บริการเก็บและพับผ้าเช็ดปากหากผู้ทานลุกจากโต้ะ เพื่อเตรียมให้ผู้ทานใช้ได้สะดวกเมื่อกลับมารับประทานอาหารต่อ (อันนี้ปกติ)
- บริการให้ข้อมูลและแนะนำรายละเอียดของอาหารแต่ละรายการโดยไม่มีการอ่านจากลิส (อันนี้ชอบนะ มันดูมี Story ของอาหาร และที่มา เพลินมาก)
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก http://thegreatgastro.com/th/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB/
3. การแต่งกาย (Dress Code)
ผู้ชาย: ใส่สูท กางเกงขายาว งดรองเท้าผ้าใบ งดกางเกงยีนส์
ผู้หญิง: ใส่ชุดเรียบหรู ไม่จำเป็นต้องราตรียาว ไม่ได้ห้ามใส่กระโปรง กางเกงขายาวก็ได้ งดรองเท้าผ้าใบ งดกางเกงยีนส์ (ผู้หญิงจะดูสบายๆ กว่า แปลกดี)
4. Menu อาหาร
สำหรับใครที่มาทานครั้งแรกและอยากลองทานหลายๆ เมนู แนะนำให้ทานเป็น Course ในเมนูจะเขียนว่า Degustation menu หรือแปลตรงๆ ว่า เมนูเพื่อการลิ้มลอง อาหารก็จะจัดมาเป็นคำๆ แค่พอให้ลองลิ้มรสความอร่อย ก็จะประกอบด้วยอาหาร 8 อย่าง ตั้งแต่อาหารว่าง ไปจนถึง ของหวานกันเลย ซึ่งถ้าชอบรายการไหนเป็นพิเศษสามารถสั่งแยกจานมาได้นะ เป็นแบบ A la carte แต่สำหรับผมแล้ว 1 Course อิ่มแล้วครับ เชื่อเถอะ (ไม่อิ่มอาหารกินขนมปังเอาก็ได้ครับ 5555)
ภาพที่ 4: เมนู ณ เดือนกันยายน 2562
5. เริ่มทานอาหารกัน
ของว่างก่อนเริ่มทานอาหารจะมาวางที่โต๊ะเราแบบในรูป เรียกว่า Amuse-bouche (อามูส บุช)
ภาพที่ 5: Amuse-bouche
ไล่จากด้านบน จริงๆ เขาบอกทั้งหมดนะครับ ว่าเป็นอะไร ทำจากอะไร แต่ผมจำไม่ได้เลยครับ มันเป็นภาษาอาหาร 5555
1. เป็นเหมือนแครกเกอร์บางกรอบ กลิ่นเครื่องเทศแบบอินเดียค่อนข้างแรง ผมไม่ชอบเท่าไหร่
2. เหมือนทาร์ตชีส อร่อยครับ
3. เหมือนผักดอง เค็มๆ ไม่ชอบครับ แหะๆ
4. ข้างในเป็นไข่นกกะทาเหลวๆ และเย็นๆ =.= ไม่ค่อยชอบเหมือนเดิมครับ
สำหรับรสชาติอาหารเป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆ ครับ คนอื่นอาจจะชอบก็ได้ หรือผมไม่มี taste เองครับ
เมนูที่ 1: Maquereau De Ligne (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐)
เป็นปลา Mackerel (ชื่อคุ้นๆปะ เหมือนที่อยู่ในปลากระป๋องอะ) แต่ปลาเขามี Story และมาจากฝรั่งเศสจ้าา อร่อยมากกกกกกกกก ผมชอบมาก ซอสตรงกลางก็อร่อย ผักข้างๆ ชื่อว่า Fennel เหมือนผักกาดดอง หวานๆ หน่อย แต่อร่อยกว่ามาก
เมนูที่ 2: Crevette Carabinieros De Mediterranee (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐⭐)
กุ้ง Carabinieros จากเมดิเตอร์เรเนียน มาไกลมาก วิธีการทำก็ไม่ธรรมดา เทน้ำแร่ลงบนหินร้อน (หินไรซักอย่าง แต่ไม่ใช่หินทั่วไปอะ แล้วค่อยไปผ่านกุ้งอีกที) เนื้อกุ้งดีงามมากกกกกก เด้ง หนึบ บอกไม่ถูกเพราะไม่เคยกินกุ้งที่ให้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ความสุขประมาณ 80% กินกับซอสพริกหยวกมั้ง แล้วก็ Green melon หวานๆ อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เมนูที่ 3: Caviar ET Oursin (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐)
ซุปมันฝรั่งเข้มข้น มีความมัน โรยหน้าด้วย Caviar และด้านล่างเป็นไข่หอยเม่นจาก Hokkaido จานนี้ก็อร่อยมาก แต่โดยส่วนตัวจะเลี่ยนๆ หน่อยถ้าทานเยอะ ไข่หอยเม่นหวานแบบธรรมชาติ คาเวียร์เค็มๆ
เมนูที่ 4: Lotte DE Ligne (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐)
ปลา Monkfish ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ฐานข้างล่างเป็นผักโขม ผสมสมุนไพรอะไรบางอย่างผมจำไมไ่ด้ ราดด้วยน้ำซอส ที่ทำจากส่วนประกอบของตัวปลาเอง ใช้เวลาเคี่ยวนานถึง 24 ชั่วโมง เนื้อปลาออกแนวหนึบๆ หนึบแต่ไม่เหนียว งงปะ หนึบกว่าปลาที่เคยกินมาทั้งหมด แต่พอเข้าปากแล้วอร่อยมากเลย น้ำราดค่อนข้างเค็ม ผักโขมข้างล่างกับสมุนไพรอร่อยดี แต่กลิ่นคาวปลาก็พอสมควรเหมือกันนะ
เมนูที่ 5: Foie Gras DE Canard (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐⭐)
นี่คือตับห่านที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยกินมา ไม่รู้จะบรรยายยังไง คือทุกอย่างมันพอดีมาก ไม่มันจนเกินไป กลิ่นการจี่กระทะก็หอม รสชาติตับก็แบบดีงาม ละลายในปาก อร่อยมากกกกกกก น้ำซอสก็ดีงาม
เมนูที่ 6: Pigeon Mieral DE Bresse (ความอร่อย ⭐⭐)
จริงๆ ในเมนูที่ 5 สามารถเลือกได้ว่าจะทานเนื้อลูกวัว หรือทานเมนูนี้ แต่ผมไม่กินเนื้อเลยต้องทานอันนี้โดยปริยาย จานนี้เป็นเนื้อนกพิราบ แต่ไม่ใช่นกพิราบแบบสนามหลวงนะ ไม่ต้องกลัว สามารถเลือกความสุกของอาหารได้ ผมเลือกไปแบบ Medium Well บอกตรงๆ กลัวกินไม่ได้ T_T
พออาหารมา ลองชิมดูเท่านั้นแหละ รสชาติเหมือนตับไก่ ผสมเลือด T_T คือกลิ่นคาวเลือด และกลิ่นเนื้อนกแรงมาก ผมกินแทบไม่ได้ ยกให้แฟนหมดเลยครับ แต่แฟนบอกว่าก็ใช้ได้นะ ไม่อยากโทษว่าอาหารไม่อร่อยนะ ผมว่าผมอาจจะไม่มี taste จริงๆ แหละ
เนื่องจากผมไม่ได้เลือกทานชีส ทำให้มีแค่ 7 เมนูนะครับ
เมนูที่ 7: Souffle Au Cassis (ความอร่อย ⭐⭐⭐⭐⭐)
มาถึงของหวานแล้ว จานนี้จะเป็นไอศครีม Buckwheat คือรสชาติเหมือนไอศครีม Vanilla home made นะ แล้วในไอศครีมก็จะมีเจ้าเม็ด Buckwheat กรุบๆ มันอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกก เราขอไอศครีมเพิ่มอีกลูก ขอได้นะ 5555 กินคู่กับซูเฟร่ ฟินมากกกกกกกกกกกกก
เมนูปิดท้าย: เป็น Complimentary ขนมคล้ายเค้กมะนาว เนื้อแน่น เคลือบน้ำตาล ทานคู่กับแยม Blue berry
เมนูสุดท้ายจริงๆ: Complimentary Chocolate
มันอร่อยมากกกกกกกก ขอทุกรสเลย ขอแบบไม่อาย เพราะมันอร่อย 555
เนื่องจากร้านอาหารมืดมาก ผมถ่ายยังไงก็ไม่เห็น Chocolate ขอหาภาพแทนนะครับ
ขอบคุณรูปจาก https://www.bangkokriver.com/event/le-normandies-new-spring-menu/
5. Budget ที่ต้องเตรียมในการไปทานอาหาร
หากไป 2 คน ถ้าแบบ Basic สุดคือสั่ง 2 Courses ก็ชุดละ 6800++ ไม่รวมน้ำครับ ก็เตรียมใจเลย 15,000-17,000 บาท ในมื้อนี้
6. บรรยากาศร้านและการบริการ
เอาเป็นว่าที่นี่บริการดีที่สุดตั้งแต่เราเคยทานอาหารมา พนักงานเยอะ ดูแลทั่วถึง พนักงานบริการเป็นผู้ชายทั้งหมด แปลกใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร ทุกคนใส่สูท และเอี๊ยมแบบสุภาพมาก พนักงานทุกคนมีการพูดคุยให้เกิดความผ่อนคลาย Service mind ของพนักงานคือไม่รู้ว่าฝึกยังไงให้ได้แบบนี้ ทุกคนดูกระตือรือร้นมาก แต่เราว่าการที่มันทางการเกินไป ทำให้เกร็งนิดๆ ไม่เหมือน Lord jim's (อีกห้องอาหารของโรงแรมที่จะดูสบายๆ กว่าพอสมควร) ที่นี่ take วิวแม่น้ำอลังการ มีโต๊ะอยู่แค่ประมาณ 30 โต๊ะ
แต่!!! มื้อ Dinner ไฟมืดไปมาก ถ่ายรูปอาหารไม่สวยเลย
7. การทาน การใช้ช้อนและมีด
ที่นี้ไม่ต้องเกร็งเรื่องนี้เลยเพราะพนักงานจะคอยเคลียร์อาหาร เคลียร์จานและวางช้อนส้อมให้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ (อย่างที่กล่าวไปข้างต้น) ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหยิบช้อนตั้งแต่จากวงนอก ถึงชั้นในสุด เอาเป็นว่าเขาวางอะไรให้ ก็ใช้อันนั้นได้เลยครับ
8. เวลาในการทานอาหาร
สำหรับมื้อ Dinner เผื่อเวลาไว้เลยครับ ประมาณ 3 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เพราะเขาต้องหารให้คุณดื่มด่ำกับบรรยากาศ รอบตัวคุณ อาหารจะค่อยๆ เสิร์ฟมาทีละจานจนกว่าจะครบทั้ง 7 หรือ 8 เมนู และยังมีอาหารว่างเช่นขนมปัง ของหวานแทรกเป็นช่วงๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบครับ ใช้เวลากับคนที่คุณรักให้เต็มที่ครับ
จบแล้วครับ ยาวมาก 5555 แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ขอบคุณ Mandarin Oriental Bangkok มากๆ ที่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังกับการบริการเลย
#MOBangkok
ฝากเพจเล็กๆ ที่พวกเราตั้งใจทำกันไว้ด้วยนะครับ https://www.facebook.com/kinpaijodpai/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น