บทความตามใจฉัน “Genesis, The Rising of SEGA” Part 1

บทความตามใจฉัน “Genesis, The Rising of SEGA” Part 1

SEGA แรกเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1940s ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองในชื่อเต็ม Service Games โดยก่อตั้งขึ้นเพื่อทดแทน

บริษัท Standard Games ที่ผู้ก่อตั้งขายไปก่อนหน้านี้โดยธุรกิจหลักตอนนั้นคือการผลิตและติดตั้งเครื่องให้ความบันเทิงหยอดเหรียญในฐานทัพต่าง ๆ

ของอเมริกาโดยเครื่องนั้นมีชื่อว่า SEGA DIAMOND 3 STARหรือก็คือ SEGA Slot Machine นั้นเอง

ต่อมาได้ย้ายไปจดทะเบียนบริษัทที่ญี่ปุ่นในปี 1951 และควบรวมกับบริษัท

Rosen Enterprises ในปี 1965 ในชื่อ SEGA

ดูเครื่องและการใช้งานได้ที่

https://www.youtube.com/watch?v=5wuUEV_FqR8

ในปี 1973 SEGA เริ่มเข้าสู่ธุรกิจเกมอาเขตและเริ่มบุกตลาดเกมคอนโซลในปี 1982


เครื่องเกมคอนโซลของ SEGA เครื่องแรกคือ SG-1000

ออกวางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 1983 ที่ญี่ปุ่นโดยขายชนกับ Famicom ของ Nintendo ในวันเดียวกันเลยทีเดียว

ผลคือความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทำให้ SEGA ตัดสินใจทิ้งตลาดญี่ปุ่นไปบุกตลาดที่อื่นแทน

โดยออกแบบและปรับปรุง SG-1000 ใหม่เป็น SEGA MK3 และได้รับการรีโมเดลใหม่อีกครั้งเพื่อเป็นรุ่นส่งออกโดยใช้ชื่อการตลาดที่รู้จักกันแพร่หลายคือ

SEGA Master System

แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่านอกจากตลาดในญี่ปุ่นแล้ว

Famicom หรือ NES เป็นผู้ชนะและครองตลาดส่วนใหญ่ในโลกไว้ได้รวมถึงอเมริกาด้วย

ทำให้ Master System ขายได้เพียง ราว ๆ 1.5 ถึง 2 ล้านเครื่องที่อเมริกา

สาเหตุของความพ่ายแพ้ส่วนหนึ่งมากจากนโยบาย Game Exclusive 2 ปีที่ Nintendo บังคับใช้กับบริษัทเกมนั้นเอง

ขณะที่ตลาดในยุโรปและบราซิล Master System กลับขายดีโดยที่ยุโรปขายได้ 6.25 ล้านเครื่องและที่บราซิลขายได้ 8 ล้านเครื่อง


เพื่อหนีจากตลาดเครื่องเกม 8 bit ที่ Nintendo ครองอยู่ SEGA จึงใช้วิธีพัฒนาแผงวงจรเครื่องเกมอาเขตของตนให้เล็กลง

และเอามาสร้างเป็นเครื่องเกมคอนโซลรุ่นใหม่เพื่อชิงตลาดและฐานลูกค้าเกม 16 Bit ก่อน

ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องเกมที่ชื่อว่า SEGA Mega Drive ออกวางจำหน่ายที่ญี่ปุ่นเดือนตุลาคม 1988

สิ่งที่ผิดแผนคือบริษัทคู่แข่ง NEC ได้ส่งเครื่องเกมของตนที่ชื่อว่า PC Engine ออกวางจำหน่ายเพียง 2 สัปดาห์หลังจาก

Mega Drive วางจำหน่าย

PC Engine นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากในญี่ปุ่น ทิ้ง Mega Drive ไปหลายช่วงตัว

วิบากกรรมยังไม่หมดเท่านี้เมื่อ Super Mario 3 ที่ออกวางจำหน่ายเพียงสัปดาห์เดียวก่อนที่

Mega Drive จะวางจำหน่ายนั้นฮิตมากจนความต้องการที่จะซื้อเครื่องเกม 16 Bit จากผู้ที่มี Famicom ชะลอตัวลง

ทำให้ Mega Drive ที่โดนแซนวิสโดยเกม 8 bit และเครื่องเกม 16 bit ของคู่แข่งนั้นจืดจางเข้าไปอีก

SEGA จึงตัดสินใจใช้ท่าเดิมคือปรับปรุง Mega Driveและเอาไปเปิดตลาดที่ต่างประเทศโดยเลือกอเมริกาเป็นที่แรก

โดยใช้ชื่อการตลาดว่า SEGA Genesis ทำการตลาดและจัดจำหน่ายโดย SEGA of America (SoA)

จากความล้มเหลวของ Master System ประกอบกับตลาดในอเมริกาตอนนั้นยังไม่มีเครื่องเกม 16 Bit คู่แข่งในตลาดเลยทำให้

SEGA มุ่งมั่นที่จะแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องเกม 16 Bit ตัดหน้าคู่แข่งอย่าง NEC และ Nintendo ให้ได้


กลยุทธ์ที่ SoA ใช้ในการทำตลาดของ Genesis นั้นก็คือสร้างโฆษณาที่มีสโลแกนที่จำได้ง่ายและสื่อข้อความถึงผู้บริโภคได้ชัดเจน

ผลที่ได้คือตำนานสปอตโฆษณาทีวีที่โด่งดังมากพร้อมสโลแกนสุดติดหู

“Genesis Does What Nintendon't” หรือมักพูดกันติดปากสั้น ๆ ว่า “Genesis Does”

สามารถดูโฆษณาได้ที่ Link ข้างล่าง

https://www.youtube.com/watch?v=0Dw-O1JSFdM

จะสังเกตได้ว่าโฆษณานี้นั้นโจมตีไปที่คู่แข่งทางการค้าคือ Nintendo โดยตรง

ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าแปลกเพราะบริษัทเอเชียน้อยนักที่จะอนุมัติการทำโฆษณาโจมตีคู่แข่งแบบนี้

อาจจะเพราะโจมตีแค่เบาะ ๆ เลยให้ออกมาได้


กลยุทธต่อมาคือการนำนักกีฬาดังหรือคนที่มีชื่อเสียงในอเมริกา ณ ตอนนั้นมาใส่ในเกม เช่น

joe montana football ที่ไปเอา Madden NFL ของ EA มาดัดแปลงและใส่ joe montana ลงไปเป็นตัวละครในเกม

หรือ James 'Buster' Douglas Knockout Boxing ที่ไปเอา Final Blow ของ Taito มาใส่ตัวละคร Buster Douglas ลงไป

สองเกมนี้อาจจะไม่คุ้นในหมู่คนไทยนัก แต่ถ้าเป็น Michael Jackson's Moonwalker ละก็ หลาย ๆ คนที่เคยเล่น Mega Drive น่าจะเคยได้เล่นเกมนี้

และเชื่อว่าแทบไม่มีใครในไทยที่ไม่รู้จัก Michael Jackson

Game play ของ Michael Jackson's Moonwalker Genesis Ver ดูได้ที่ Link ข้างล่าง
https://www.youtube.com/watch?v=-N68qvYFpTA


 

Sega Genesis ออกวางจำหน่ายในอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคม 1989 โดยบริษัทแม่ SEGA of Japan (SoJ) ได้ตั้งเป้าไว้ว่า

Genesis จะต้องขายให้ได้ 1 ล้านเครื่องในปีแรกหลังวางจำหน่าย

ซึ่งจากคำให้สัมภาษณ์จาก CEO ของ SoA ในขณะนั้น Michael Katz (ไมเคิล คาทซ์)

ได้กล่าวไว้ว่าจำนวนเกมของ Genesis ในตอนนั้นยังน้อยอยู่มากเมื่อเทียบกับ NES ของ Nintendo ที่ครองตลาดอยู่ก่อนแล้ว

ทำให้ยอดขายของ Genesis ไม่เป็นไปตามที่ SoJ หวังไว้

ยอดขายในปีแรกทำได้เพียง 500,000 เครื่อง ครึ่งนึงจากที่ตั้งเป้าไว้เท่านั้น

สำหรับ SoJ แล้วมันไม่พอ

PC Engine ที่ชนะ Mega Drive และกำลังไปได้ดีในตลาดที่ญี่ปุ่นตามมาบุกตลาดที่อเมริกาไล่หลัง Genesis เพียง 2 สัปดาห์

Nintendo เจ้าตลาดเองยังไงก็ต้องออกเครื่องเกม 16 Bit สู่ตลาด จะเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น (SNES มาอเมริกาเมื่อเดือนสิงหาคม 1991)

SEGA จะต้องช่วงชิงตลาดส่วนใหญ่ในอเมริกามาให้ได้มากที่สุดก่อนที่คู่แข่งทั้งสองเจ้าให้ได้

SoJ จึงเริ่มมองหาคนที่จะมาแทน CEO คนเดิมของ SoA ซึ่ง Hayao Nakayama (ฮายาโอะ นากายาม่า)

CEO ของ SoJ ในขณะนั้นให้ความสนใจ Tom Kalinske(ทอม คาลินสกี) อย่างมาก


ทอมนั้นเป็นผู้บริหารธุรกิจที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในธุรกิจของเล่นอย่างมากและมีส่วนในการปรับปรุงและแก้ไขการออกแบบตัวละครและของเล่น

เพื่อให้ดึงดูดผู้บริโภคและเพิ่มยอดขายของเล่นได้มากขึ้น

ผลงานที่ดัง ๆ ก็เช่น ตุ๊กตาบาบี้, hot wheels

แต่ผลงานที่ติดปากและเป็นที่รู้จักกันดีแม้แต่ในกลุ่มคนไทยก็เช่น “ฮีแมน”

ไม่รู้จัก? งั้นถ้าผู้เขียนพูดประโยคนี้ล่ะ

“ฉัน-มี-พลัง”

คุ้น ๆ ไหม

สำหรับผู้ที่อายุน้อยเกินสามารถดูฉาก “ฉัน-มี-พลัง” ได้ใน Link ข้างล่าง

https://www.youtube.com/watch?v=4zIoElk3r2c

ในช่วงแรกของการออกแบบตัวละครนั้นฮีแมนมีรูปลักษณ์แบบคนเถื่อนมีผมสีดำและผิวสีแทนเข้ม

ทอมได้แนะนำให้ปรับการออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่ดูหมดจดขึ้น ผมให้เป็นสีบลอนและสีผิวให้เข้มน้อยลงแต่ยังอยู่ในโทนสีแทน

จากการให้สัมภาษณ์ของทอมในชั้นเรียนที่ Stanford university เค้ากล่าวว่าเค้ามีส่วนในการใส่ประโยค “ฉัน-มี-พลัง”

ลงไปในการ์ตูนด้วย


การพบกันของทอมและนากายาม่านั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์สำหรับทอม

โดยทอมเล่าว่าขณะนั้นเค้าลาพักร้อนอยู่ที่ฮาววาย กำลังนอนอยู่ชายหาดสบาย ๆ จู่ ๆ ก็มีเงาของคนคนหนึ่งมาทาบทับและทักทายเค้า

นากายาม่า นั้นเอง

มีข้อมูลเล่าว่านากายาม่าพยายามที่จะพบกับทอมหลายครั้งแล้ว

ครั้งล่าสุดที่ไปขอพบทอมคือที่บริษัทที่ทอมทำงานอยู่แต่ได้รับแจ้งว่าทอมไปพักร้อนที่ฮาววาย

เจ้าตัวเลยตีตั๋วไปหาทอมที่โน้นเสียเอง

ทอมเล่าว่านากายาม่าพูดชวนเค้าไปญี่ปุ่นประมาณว่า

“คุณจะไปญี่ปุ่นกับผมไหม ผมมีเทคโนโลยีเจ๋ง ๆ จะให้คุณดู”

ทอมในตอนนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรในใจแต่ก็ตอบรับคำเชิญเก็บของไปญี่ปุ่นทันที

ทอมได้เล่าว่านากายาม่าได้แสดงเทคโนโลยีของ Mega Drive ให้ทอมชมรวมถึงให้ได้เห็นเครื่องเกมมือถือรุ่นล่าสุดที่ยังไม่ออกสู่ตลาดในตอนนั้น

SEGA Game Gear

หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ทอมตัดสินใจลาออกจากบริษัทเดิมเพื่อไปรับตำแหน่ง CEO ของ SoA ในปี 1990

ไม่ทราบวันและเดือนที่แน่ชัดแต่คาดว่าน่าจะรับตำแหน่งในช่วงไตรมาสแรกของปี 1990


และที่นั้น เค้าได้พบกับเพชรที่ยังเจียรนัยไม่เรียบร้อย

ซึ่งต่อมาเพชรเม็ดงามนี้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก


to be continued in Part 2

ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ https://www.facebook.com/uptomejournal/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่