เรื่องที่เราจะเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องของหลวงน้าเราเอง เมื่อ 10 ปีที่แล้ว น้าชายของเรา ตัดสินใจบวชเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
เนื่องจากท่านไม่มีครอบครัว ครองตัวเป็นโสดและเมื่อท่านเลี้ยงดูเราจนเราแต่งงานมีครอบครัว ท่านไม่มีภาระใดๆแล้ว จึงขอบวชเพื่อส่งผลบุญกุศลให้ ตา กับ ยาย เราก็ร่วมอนุโมทนาบุญกับท่านด้วย หลังจากท่านบวช ท่านก็ได้ตัดสินใจไปจำพรรษา ณ วัดบ้านเกิด เป็นจังหวัดปริมณฑล แต่ติดแถบทางสุพรรณีบุรี ไม่ได้อยู่ในเมืองเจริญมากนัก บรรยากาศวัดในเวลากลางคืนจึงเงียบสงบมีเพียงเสียง จักจั่น จิงหรีด ร้องในเวลาพลบค่ำ เราเคยชวนท่านให้มาจำวัดใกล้ๆ กับที่เราอยู่ เพราะท่านมีโรคประจำตัว ท่านเป็นโรคเกาต์ เมื่อไหร่ที่อาการกำเริบก็จะปวดมาก โดยเฉพาะที่ข้อเท้า ท่านเป็นมากถึงกับเดินไม่ได้ก็เคย
แต่ท่านก็ปฎิเสธคำขอของเรา ท่านให้เหตุผลว่าท่านอยากใช้ชีวิตในบันปลายกับบรรยากาศบ้านเกิดมากกว่าย้ายไปอยู่ถิ่นอื่น ที่ผ่านมาท่านก็อยู่ถิ่นอื่นมานานแล้ว เมื่อท่านตัดสินใจอย่างนั้นเราจึงได้แต่ยอมรับเหตุผลของท่านและหมั่นมาเยี่ยมและพาท่านหาหมอเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ก็มีบ้างที่อาการของโรคกำเริบ วันหนึ่งเราลงไปเยี่ยมท่าน ท่านเดินออกมาจากห้องโดยลักษณะ ขากระเพก จึงได้ถามสารทุกข์สุกดิบกัน ท่านจึงเล่าเหตุการณ์ที่ท่านพบให้เราฟัง วัดนี้เป็นวัดที่มีพระจำพรรษาอยู่ไม่เยอะ พระพื้นที่ก็มีไม่กี่รูป ส่วนมากจะเป็นพระจากต่างจังหวัดเข้ามาขอจำพรรษาอยู่เป็นบางครั้งคราว กุฎิด้านหน้าวัดจึงเป็นพระพื้นที่
ที่จำพรรษา ส่วนกุฎิในป่าบริเวณวัดจะเป็นพระต่างถิ่น ช่วงนี้เป็นเวรตีระฆังวัดตอนเช้า แต่เป็นช่วงที่ท่านมีอาการป่วยด้วยโรคเกาต์ กำเริบ ปวดขาทำให้เดินลำบาก โดยจุดตีระฆังจะอยู่ที่ศาลาห่างจากกุฎิท่านประมาณ 300 เมตร แต่ท่านว่า ท่านก็เดินกระเพกไปตีระฆังทุกเช้ามืดมาแล้ว 2 วัน แต่เรื่องเกิด วันที่ 3 ท่านก็ตื่น และ ออกไปตีระฆังเหมือนเช่นเคย แต่ว่าวันนี้ ท่านยังเดินไม่ถึงศาลา ห่างอีกประมาณพอมองด้วยตาเห็น เพราะตรงศาลาจะมีไฟถนนดวงเล็กๆ ให้ความสว่างพอมองเห็นบริเวณรอบๆ ตรงข้างศาลามีต้นไม้ใหญ่ ที่ปลูกมานานมากแล้ว (เราเอง ก็เห็นต้นไม้ต้นนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ) ท่านเล่าว่า มีเงาลักษณะ
เหมือนคนต่ายลงมาจากต้นไม้ และวิ่งเข้าไปในศาลาและหยิบไม้ตีระฆัง จากนั้นก็วิ่งออกมาและไต่ขึ้นต้นไม้ไปแบบเดิม โดยไม่ได้หันมามองท่านเลย ระหว่างที่ท่านเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ดวงตาของท่านก็มองออกไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างศาลา เรามองตามออกไป ในเวลากลางวันก็คือต้นไม้ปกติที่ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร กับช่วยให้ร่มเงาบริเวณนั้น ด้วยความสงสัยว่าหลวงน้าท่านคิดอย่างไรตอนเจอจึงเอ๋ยปากถามท่านว่า แล้วหลวงน้ากลัวไหมค่ะ ท่านบอกว่าเวลานั้นท่านหันหลังเดินกลับกุฎิอย่างไว ลืมความเจ็บปวดขาไปชั่วขณะเลย เหตุการณ์เกิดใกล้มาก และเร็วมาก ตั้งตัว สงบจิตใจไม่ทัน จนเช้าหลังจากฉันอาหารเช้า
จึงได้แผ่เมตตา กรวดน้ำ ให้กับเค้า เค้าคงอยากได้บุญจึงลงมาช่วยพระท่าน หลังจากวันนั้นหลวงน้าก็ไม่ได้ไปตีระฆัง ท่านแรกเวรกับพระรูปอื่น จนท่านหายเจ็บขา ก็รับเวรตีระฆังเหมือนเดิม เรายังแกล้งแซวหลวงน้าว่ากลัวเค้าลงมาช่วยตีระฆังอีกหรือค่ะ ท่านบอกก็ใช่นะสิ รอหายก่อนเค้าจะได้ไม่ต้องห่วงพระ หลังจากสนทนากับหลวงน้า ก็ได้รู้ว่าเมื่อคนเรายังมีชีวิตอยู่ก็หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ทำบุญช่วยเหลือผู้ยากไร้ ตามกำลังของเรา เพราะเมื่อตายไป เราไม่สามารถทำอะไรที่เราอยากทำได้ ขนาดเค้าเป็นวิญณาญยังอยากสร้างบุญสร้างกุศล ขอให้วิญญาณดวงนั้นได้รับบุญกุศลที่หลวงน้าตั้งใจอุทิศให้ด้วยด้วยเทอญ สาธุ
ลงมาช่วยพระ
เนื่องจากท่านไม่มีครอบครัว ครองตัวเป็นโสดและเมื่อท่านเลี้ยงดูเราจนเราแต่งงานมีครอบครัว ท่านไม่มีภาระใดๆแล้ว จึงขอบวชเพื่อส่งผลบุญกุศลให้ ตา กับ ยาย เราก็ร่วมอนุโมทนาบุญกับท่านด้วย หลังจากท่านบวช ท่านก็ได้ตัดสินใจไปจำพรรษา ณ วัดบ้านเกิด เป็นจังหวัดปริมณฑล แต่ติดแถบทางสุพรรณีบุรี ไม่ได้อยู่ในเมืองเจริญมากนัก บรรยากาศวัดในเวลากลางคืนจึงเงียบสงบมีเพียงเสียง จักจั่น จิงหรีด ร้องในเวลาพลบค่ำ เราเคยชวนท่านให้มาจำวัดใกล้ๆ กับที่เราอยู่ เพราะท่านมีโรคประจำตัว ท่านเป็นโรคเกาต์ เมื่อไหร่ที่อาการกำเริบก็จะปวดมาก โดยเฉพาะที่ข้อเท้า ท่านเป็นมากถึงกับเดินไม่ได้ก็เคย
แต่ท่านก็ปฎิเสธคำขอของเรา ท่านให้เหตุผลว่าท่านอยากใช้ชีวิตในบันปลายกับบรรยากาศบ้านเกิดมากกว่าย้ายไปอยู่ถิ่นอื่น ที่ผ่านมาท่านก็อยู่ถิ่นอื่นมานานแล้ว เมื่อท่านตัดสินใจอย่างนั้นเราจึงได้แต่ยอมรับเหตุผลของท่านและหมั่นมาเยี่ยมและพาท่านหาหมอเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ก็มีบ้างที่อาการของโรคกำเริบ วันหนึ่งเราลงไปเยี่ยมท่าน ท่านเดินออกมาจากห้องโดยลักษณะ ขากระเพก จึงได้ถามสารทุกข์สุกดิบกัน ท่านจึงเล่าเหตุการณ์ที่ท่านพบให้เราฟัง วัดนี้เป็นวัดที่มีพระจำพรรษาอยู่ไม่เยอะ พระพื้นที่ก็มีไม่กี่รูป ส่วนมากจะเป็นพระจากต่างจังหวัดเข้ามาขอจำพรรษาอยู่เป็นบางครั้งคราว กุฎิด้านหน้าวัดจึงเป็นพระพื้นที่
ที่จำพรรษา ส่วนกุฎิในป่าบริเวณวัดจะเป็นพระต่างถิ่น ช่วงนี้เป็นเวรตีระฆังวัดตอนเช้า แต่เป็นช่วงที่ท่านมีอาการป่วยด้วยโรคเกาต์ กำเริบ ปวดขาทำให้เดินลำบาก โดยจุดตีระฆังจะอยู่ที่ศาลาห่างจากกุฎิท่านประมาณ 300 เมตร แต่ท่านว่า ท่านก็เดินกระเพกไปตีระฆังทุกเช้ามืดมาแล้ว 2 วัน แต่เรื่องเกิด วันที่ 3 ท่านก็ตื่น และ ออกไปตีระฆังเหมือนเช่นเคย แต่ว่าวันนี้ ท่านยังเดินไม่ถึงศาลา ห่างอีกประมาณพอมองด้วยตาเห็น เพราะตรงศาลาจะมีไฟถนนดวงเล็กๆ ให้ความสว่างพอมองเห็นบริเวณรอบๆ ตรงข้างศาลามีต้นไม้ใหญ่ ที่ปลูกมานานมากแล้ว (เราเอง ก็เห็นต้นไม้ต้นนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ) ท่านเล่าว่า มีเงาลักษณะ
เหมือนคนต่ายลงมาจากต้นไม้ และวิ่งเข้าไปในศาลาและหยิบไม้ตีระฆัง จากนั้นก็วิ่งออกมาและไต่ขึ้นต้นไม้ไปแบบเดิม โดยไม่ได้หันมามองท่านเลย ระหว่างที่ท่านเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ดวงตาของท่านก็มองออกไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างศาลา เรามองตามออกไป ในเวลากลางวันก็คือต้นไม้ปกติที่ไม่ได้ดูน่ากลัวอะไร กับช่วยให้ร่มเงาบริเวณนั้น ด้วยความสงสัยว่าหลวงน้าท่านคิดอย่างไรตอนเจอจึงเอ๋ยปากถามท่านว่า แล้วหลวงน้ากลัวไหมค่ะ ท่านบอกว่าเวลานั้นท่านหันหลังเดินกลับกุฎิอย่างไว ลืมความเจ็บปวดขาไปชั่วขณะเลย เหตุการณ์เกิดใกล้มาก และเร็วมาก ตั้งตัว สงบจิตใจไม่ทัน จนเช้าหลังจากฉันอาหารเช้า
จึงได้แผ่เมตตา กรวดน้ำ ให้กับเค้า เค้าคงอยากได้บุญจึงลงมาช่วยพระท่าน หลังจากวันนั้นหลวงน้าก็ไม่ได้ไปตีระฆัง ท่านแรกเวรกับพระรูปอื่น จนท่านหายเจ็บขา ก็รับเวรตีระฆังเหมือนเดิม เรายังแกล้งแซวหลวงน้าว่ากลัวเค้าลงมาช่วยตีระฆังอีกหรือค่ะ ท่านบอกก็ใช่นะสิ รอหายก่อนเค้าจะได้ไม่ต้องห่วงพระ หลังจากสนทนากับหลวงน้า ก็ได้รู้ว่าเมื่อคนเรายังมีชีวิตอยู่ก็หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ทำบุญช่วยเหลือผู้ยากไร้ ตามกำลังของเรา เพราะเมื่อตายไป เราไม่สามารถทำอะไรที่เราอยากทำได้ ขนาดเค้าเป็นวิญณาญยังอยากสร้างบุญสร้างกุศล ขอให้วิญญาณดวงนั้นได้รับบุญกุศลที่หลวงน้าตั้งใจอุทิศให้ด้วยด้วยเทอญ สาธุ