พระอาจารย์คำสุข ญาณสุโข
วัดป่าซับคำกอง จ.เพชรบูรณ์
...
พรรษาที่ ๒๗ หลวงปู่จำพรรษาที่ "วัดสีห์พนมประชาราม"
อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่เล่าว่า
อาจารย์บุญมา (พระอาจารย์บุญมา คัมภีรธมฺโม) ท่านไปหาเที่ยวภาวนา
บอกให้เราเฝ้าวัดแทน ปีนั้นจำพรรษาด้วยกันสามองค์ที่หนองกุง
(บ้านหนองกุง ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร) โยมเขาเกิดมาเห็นการเป็นอยู่ที่สันโดษ
เรียบร้อย เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงขอปรึกษาว่า
ใกล้จะออกพรรษาแล้วที่สำนักนี้มีเจ้าภาพกฐินและกำหนดการอย่างไร
มีพระจำพรรษาสามองค์จัดกฐินไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะทำบุญก็ทำบุญปกติ
ถวายทานธรรมดา รับรองได้อานิสงส์บุญแน่ๆ
แต่ก่อนนั้นภาวนาจิตมันรวมลงสมาธิ นรก สวรรค์ ถ้าสงสัยพระธรรมจะแก้ไขให้
เกิดสงสัยในอานิสงส์ของกฐินขึ้นมา กำหนดจิตให้มันรวมลง กำหนดพุทโธ ลมหายใจเข้าออก
มีสติจดจ่ออยู่อย่างนั้น ไม่ออกพิจารณาธาตุขันธ์ ลมมันอ่อนลงๆ
อุปมาเหมือนเครื่องบิน พอมันถึงเขตมันก็จะลงเอง จิตมันรวมแล้วแสดงออก
นึกอยากเห็น
"อานิสงส์กฐิน"
พอนึกเท่านั้นสาระจิตมันยวบ อึดใจเดียว ความเร็วและอำนาจกำลังของกระแสจิต
ไปยืนอยู่สนามลานกว้าง สุดลูกหูลูกตา ไม่มีขอบเขต
มองไปทางทิศตะวันออก เห็นกงจักรมีใบพัดหมุนอยู่ขนาดใหญ่เท่าตึกสองชั้น
มีคนคอยยืนเฝ้า ลักษณะคล้ายยามหรือทหารผู้คอยรักษาดูแลประจำหน้าที่เฝ้าอยู่
เขากำลังจะเข้ามาถามเรา แต่เราถามเขาก่อนว่า
"นี่เมืองอะไร? ใบพัดกงจักรนั่นหมายความว่าอย่างไร?"
เขาตอบอธิบายให้เข้าใจ ได้ความว่า
"ที่นี่ เมืองนี้ คืออานิสงส์ของกฐิน กงจักรนั้นเป็นกงจักรทิพย์
เสวยด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์บุญกุศลเทวดา อยากให้ร้อนก็ร้อน อยากให้เย็นก็เย็น
นี่แหละ อานิสงส์กฐินหมดทั้งแผ่นดินนี้เลย"
พอเข้าใจแล้วจิตถอนขึ้นมา พิจารณาใคร่ครวญดูอีก มันเหมือนสนามหลวงเมืองกรุงเทพ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ได้ปราสาทกี่โยชน์ กี่โยชน์ มีบริวารเป็นหมื่นๆพันๆก็คงเป็นแบบนี้แหละ
มาเกิดเหมือนในหลวง เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมบัติในประเทศไทยเป็นของพระองค์หมด
แต่
บุญกุศลจะส่งไปกี่ภพกี่ชาตินั้นก็ขึ้นอยู่กับการประกอบกระทำขึ้น คือ
บริสุทธิ์ทั้งผู้รับ ผู้ถวาย และของที่นำมาถวาย
...
ที่มา :
สารคดีเรื่องเล่าประวัติของหลวงปู่คำสุข ญาณสุโข
อานิสงส์กฐิน : หลวงปู่คำสุข ญาณสุโข
พระอาจารย์คำสุข ญาณสุโข
วัดป่าซับคำกอง จ.เพชรบูรณ์
...
พรรษาที่ ๒๗ หลวงปู่จำพรรษาที่ "วัดสีห์พนมประชาราม"
อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่เล่าว่า
อาจารย์บุญมา (พระอาจารย์บุญมา คัมภีรธมฺโม) ท่านไปหาเที่ยวภาวนา
บอกให้เราเฝ้าวัดแทน ปีนั้นจำพรรษาด้วยกันสามองค์ที่หนองกุง
(บ้านหนองกุง ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร) โยมเขาเกิดมาเห็นการเป็นอยู่ที่สันโดษ
เรียบร้อย เกิดเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงขอปรึกษาว่า
ใกล้จะออกพรรษาแล้วที่สำนักนี้มีเจ้าภาพกฐินและกำหนดการอย่างไร
มีพระจำพรรษาสามองค์จัดกฐินไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะทำบุญก็ทำบุญปกติ
ถวายทานธรรมดา รับรองได้อานิสงส์บุญแน่ๆ
แต่ก่อนนั้นภาวนาจิตมันรวมลงสมาธิ นรก สวรรค์ ถ้าสงสัยพระธรรมจะแก้ไขให้
เกิดสงสัยในอานิสงส์ของกฐินขึ้นมา กำหนดจิตให้มันรวมลง กำหนดพุทโธ ลมหายใจเข้าออก
มีสติจดจ่ออยู่อย่างนั้น ไม่ออกพิจารณาธาตุขันธ์ ลมมันอ่อนลงๆ
อุปมาเหมือนเครื่องบิน พอมันถึงเขตมันก็จะลงเอง จิตมันรวมแล้วแสดงออก
นึกอยากเห็น "อานิสงส์กฐิน"
พอนึกเท่านั้นสาระจิตมันยวบ อึดใจเดียว ความเร็วและอำนาจกำลังของกระแสจิต
ไปยืนอยู่สนามลานกว้าง สุดลูกหูลูกตา ไม่มีขอบเขต
มองไปทางทิศตะวันออก เห็นกงจักรมีใบพัดหมุนอยู่ขนาดใหญ่เท่าตึกสองชั้น
มีคนคอยยืนเฝ้า ลักษณะคล้ายยามหรือทหารผู้คอยรักษาดูแลประจำหน้าที่เฝ้าอยู่
เขากำลังจะเข้ามาถามเรา แต่เราถามเขาก่อนว่า
"นี่เมืองอะไร? ใบพัดกงจักรนั่นหมายความว่าอย่างไร?"
เขาตอบอธิบายให้เข้าใจ ได้ความว่า
"ที่นี่ เมืองนี้ คืออานิสงส์ของกฐิน กงจักรนั้นเป็นกงจักรทิพย์
เสวยด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์บุญกุศลเทวดา อยากให้ร้อนก็ร้อน อยากให้เย็นก็เย็น
นี่แหละ อานิสงส์กฐินหมดทั้งแผ่นดินนี้เลย"
พอเข้าใจแล้วจิตถอนขึ้นมา พิจารณาใคร่ครวญดูอีก มันเหมือนสนามหลวงเมืองกรุงเทพ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ได้ปราสาทกี่โยชน์ กี่โยชน์ มีบริวารเป็นหมื่นๆพันๆก็คงเป็นแบบนี้แหละ
มาเกิดเหมือนในหลวง เป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมบัติในประเทศไทยเป็นของพระองค์หมด
แต่ บุญกุศลจะส่งไปกี่ภพกี่ชาตินั้นก็ขึ้นอยู่กับการประกอบกระทำขึ้น คือ
บริสุทธิ์ทั้งผู้รับ ผู้ถวาย และของที่นำมาถวาย
...
ที่มา : สารคดีเรื่องเล่าประวัติของหลวงปู่คำสุข ญาณสุโข