https://ppantip.com/topic/39201654
Link ของตอนแรกครับ
นอกเหนือไปจากคำพูดที่ผมไม่เข้าใจนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมฉงนใจยิ่งกว่าคืออากัปกิริยาที่กลายเป็นต้อนรับขับสู้อย่างกระฉับกระเฉงของป้าเจ้าของร้าน
ไปๆมาๆแกบอกว่าแกเปลี่ยนใจแล้ว ตอนแรกฝนลงเม็ดตั้งใจจะกลับบ้านแต่ตอนนี้มีลูกค้าแล้วจะขออยู่ต่อ ไม่เช่นนั้นของที่เตรียมมาจะเสียหมด
แต่เมื่อมองเห็นหน้าแกถนัด ผมก็พบว่าสีหน้า ท่าทาง แววตาของแก คนละอย่างกับที่พูด มันไม่ใช่พ่อค้าแม่ขายที่ดีใจเวลาขายของได้เลย
อะไรไม่รู้ทำให้ผมเผลอคิดไปว่านี้มันลักษณะของญาติผู้ใหญ่ที่พบปะหน้าบุตรหลานคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานาน แล้วแกก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนเครือ
ที่สุดก็เจอ หลงทางมาเหรอลูก โถ ซื้ออาหารจากป้าแล้วจะเอาไปกินที่ไหนกัน มากินข้างในเพิงนี่ดีกว่าไหมไม่โดนฝนหรอกนั่งกินกันได้สบายๆ ลานนั่งก็ยกพื้นสูง น้ำท่วมไม่ถึง ไปเรียกเพื่อนๆในรถลงมาเถอะไป๋
สิ่งที่แกพูดราวกับมองเห็นปัญหาเฉพาะหน้าพวกเราในตอนนี้ ทำเอาผมกับเจ้าโรจน์นิ่งอึ้งด้วยความประหลาดใจ
แกคงจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไป เพราะแกรีบเสริมขึ้นทันทีว่า
ทางแถวนี้มีแต่ชาวบ้านใช้สัญจร ถ้าเป็นคนที่อื่นก็มีแต่หลงกันเข้ามาทั้งนั้นแหละ อย่าร่ำไรให้เพื่อนคอยนานเลย ท่าทางจะหิวกันแย่แล้ว ป้ามองจากตรงนี้ก็เห็นเพื่อนที่มาด้วยกันสามคนนั่งรออยู่ในรถ ไปบอกเพื่อนเลยว่าใกล้จะค่ำเต็มทีทางเส้นนี้ขืนขับต่อไปก็ไม่เจอร้านรวงอะไรหรอก มีแต่บ้านคนอยู่อาศัยไม่กี่หลังกับทางเปลี่ยวๆ
แต่เราสองคนไม่มีใครขยับตัวเพราะยังยืนงงกันอยู่ ดวงตาแกเกิดประกายขึ้นเล็กน้อยแล้วแกก็หันไปย้ำเสียงหนักๆกับเจ้าโรจน์ที่จับตามองแกอย่างสงสัย
ไปสิพ่อหนุ่ม เร็วๆ
น่าแปลกที่แกไม่ยักกะบอกผมแต่ไปบอกเจ้าโรจน์แทน แวบหนึ่งหน้าตาเจ้าโรจน์คล้ายคนเหม่อลอยตอนหันหลังวิ่งกลับไปที่รถท่ามกลางม่านฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก ขณะที่ผมกำลังจะทัดทานอะไรป้าแกก็คว้าข้อมือผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน
เข้าไปนั่งรอเพื่อนข้างในเถอะลูก ยืนอยู่ตรงชายคาฝนมันกระเซ็นใส่เดี๋ยวไม่สบาย
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของแกแฝงไปด้วยความห่วงใยเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งและโดยไม่ทันตั้งตัวแกก็ฉุดมือผมเดินเข้าไปในร้าน
คงจะเป็นด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางตะเวนเที่ยวทั้งวัน ทำให้ผมรู้สึกตัวเบาหวิวไม่อาจขัดขืนได้ จึงเดินตามแรงจูงของแกไปอย่างว่านอนสอนง่าย
แกพาผมเข้ามาข้างในตรงที่ลานแคร่กว้างยกสูงจากดินแล้วกดตัวผมเบาๆให้นั่งลงราวกับผู้ใหญ่ทำกับเด็ก ความรู้สึกกึ่งตี่นกึ่งฝัน อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมรู้สึกว่ามีคนรู้จักทำกับผมเช่นเดียวกันอย่างนี้มาก่อน เหมือนมันเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่ลางเลือนเหลือเกิน
และตาของผมคงจะพร่ามัวไปชั่วขณะ ในช่วงที่ป้าแกเดินไปยืนบังแสงไฟในร้านจังหวะพอดีผมมองไปแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่า. เงาร่างนั้นช่างคล้ายคลึงกับ
หน้ามืดหรือลูก นวลเอ๋ย เอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวพี่เอ็งหน่อย
ผมกลับคืนสติและเห็นภาพตรงหน้ากระจ่างเหมือนเดิม ป้าแกยังคงยืนตรงหน้าผมและมองมาอย่างเป็นห่วง ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเลยเฉไฉไปว่า
“ไม่ต้องห่วงครับป้า วันนี้ผมกับเพื่อนจะอุดหนุนป้าอย่างเต็มที่ รับรองไม่ขาดทุนแน่นอน”
ผมพูดอย่างมั่นใจ เพราะเจ้าโรจน์มันเหมือนคนท้องมาร กินจุแต่ไม่รู้ว่าเอาไปไว้ไหน รูปร่างยังคงผอมอยู่เหมือนเดิม ส่วนพี่จักรเองก็ใช่ย่อยจัดว่ากินเก่งอยู่เหมือนกัน บวกกับสองสาวนั้นจะกินมากน้อยได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่เพราะผมตั้งใจให้เงินป้าแกมากเกินค่าอาหารอยู่แล้ว เพื่อตอบแทนน้ำใจแก
พอได้ยินแทนที่จะดีใจป้าแกกลับมีสีหน้าเศร้าสลดลงแทน แกรีบหันหลังก้มหน้าเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างแล้วพูดขึ้นเบาๆ อย่างไม่หวังให้ผมได้ยิน
อย่าเลย ฉันได้มามากเกินพอจากเธอแล้ว
หูผมคงจะฝาดไป หรือมิเช่นนั้นแกคงหมายความว่าแกคงบวกค่าอาหารเต็มที่แน่ๆคืนนี้ อย่างไรก็ดีผมยินดีจ่าย แต่ความคิดผมต้องสะดุดลงเพราะเห็นน้องเกศกับน้องจอยเดินเอาเสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวแบ่งกันคลุมหัวเดินเข้ามาพอดี
คงไม่ต้องสงสัยว่าเสื้อที่เสียสละให้สาวๆกันฝนเป็นของใคร เพราะเจ้าตัวเดินเเปียกม่อล่อกม่อแล่ก
อย่างจงใจให้ดูน่าสงสารพร้อมเจ้าโรจน์ที่เปียกโชกพอๆกันตามเข้ามา
“เอ้ะ ข้างในกว้างดีนี่หว่า” พี่จักรเอ่ยขึ้นทันทีที่เข้ามา“ หลบฝนสบายๆเลย ตอนแรกนึกว่านั่งกินไปจะโดนฝนสาดไป”
เป็นครั้งแรกที่ผมมองสำรวจภายในอย่างใช้ความตั้งใจแล้วก็เห็นด้วยกับแก มองดูโครงสร้างในเชิงสถาปัตยกรรมแล้ว หลังคาสูงแหลมและลาดเอียงแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วแถมยังต่อปีกหลังคายื่นออกไปโดยใช้ไม้ค้ำอีก เป็นลักษณะกันแดด ลม ฝน ได้ดียกเว้นหลังคาจะรั่วเท่านั้น หรือไม่ฝนก็ตกมาแบบผิดธรรมชาติคือตกทะแยงมุมเข้ามาโดยประมาณ30 องศา คนข้างในถึงมีโอกาสเปียกได้
ทั้งหมดเดินมานั่งบนแคร่ยกพื้นทำด้วยไม้กระดานกันแล้ว ปรากฎว่าทุกคนนั่งกันได้อย่างสบายๆไม่อึดอัด คือต่อให้นั่งเหยียดแข้งเหยียดขากันอย่างไร้มารยาทก็ตาม เนื้อที่ก็ยังพอมีอยู่ พื้นไม้มียวบยาบนิดหน่อยเวลาขยับตัวแต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะทรุดฮวบลงไปแต่อย่างใด แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือฝนไม่โดนตัวเลยซักกระผีกทั้งๆที่กระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่ข้างนอกกระทบหลังคาและข้างฝาดังเกรียวกราว
พอนั่งลงได้พี่จักรก็เอื้อมมือมาตบบ่าผมพลางพูด
“แหมไอ้เสือ วาทศิลป์ดีนักนะน้อง มาพูดอีท่าไหนล่ะเจ้าของร้านถึงขนาดเปิดร้านให้อยู่ต่อหลบฝนเลยทีเดียว ส่วนไอ้โรจน์นี่พูดจาอะไรไม่รู้เรื่องตอนไปเรียกพี่กับน้องเกศน้องจอยลงจากรถท่าทางยังกับคนเมาไม่สร่าง พูดแต่ให้ลงมาๆไม่เลิก”
เจ้าโรจน์เอามือกุมขมับครุ่นคิดเหมือนกับมีอะไรจะพูด แต่ในที่สุดมันก็ตัดสินใจไม่พูดแล้วมันก็ล้วงขวดเหล้าที่พกติดตัวออกมาเปิดยกขึ้นดื่มเสียอย่างนั้น ทุกคนเห็นท่าทางมันก็ได้แต่งปลงไม่มีใครอยากห้าม
แล้วสิ่งที่ปรากฎต่อมาก็เหมือนแสงนวลแจ่มใสหยอกล้อแสงไฟเล่น เมื่อหญิงสาวคนนั้นดินนวยนาดเข้ามาหาผมพร้อมกับผ้าขนหนูในมือ ไม่ได้ยื่นให้เปล่าๆแต่ทำท่าจะเช็ดให้ด้วยต่อหน้าต่อสายตาใครๆ ทำให้ทุกคนต่างพากันมองตาค้าง
สีหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างเต็มล้นเมื่อมองหน้าผม ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสัมผัสของเธอช่างอ่อนโยน และละมุนคุ้นเคย จนกระทั่งผมแสดงอาการขัดขืนอย่างสุภาพนั่นแหละ เธอจึงได้หยุดความพยายามที่จะเช็คตัวผมต่อหน้าเพื่อนๆ
เริ่มรู้ตัวและแสดงทีท่าเขินอายเดินถอยห่างออกมาแล้วพูดเป็นภาษาคำเมืองว่า รอประเดี๋ยว จะไปนำอาหารมาให้ แล้วเธอก็เดินหันหลังไปยังบริเวณประกอบอาหารให้ลูกค้า
สายตาของทุกคนยังคงอยู่ที่ผม โดยเฉพาะพี่จักรที่มองผมดุจเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก ในที่สุดแกก็หัวเราะพรืดออกมาเบาๆด้วยเกรงใจว่าเจ้าของร้านจะได้ยิน
“ไอ้เรศ แกนี้มันร้ายเหลือเกินเข้ามาก่อนพวกเราได้ห้านาทีแกติดแล้วหรือว่ะ แหมทำลายสติถิโลกจริงๆ”
ใครต่อใครล้วนอมยิ้ม ยกเว้นน้องเกศที่เม้มริมฝีปากแน่น มองมาทางผมด้วยสายตาขุ่นๆแบบตัดพ้อ บางทีผมอาจจะคิดมากไปก็ได้เพราะเวลาผมมองไปทางเธออีกทีก็พบว่าเธอหันหน้าไปทางอื่นแล้วทำท่าปกติเหมือนเช่นเคย
และแล้วก็วกกลับเข้ามาจุดสำคัญคือ ตั้งแต่อนุญาตให้เราเข้ามานั่งในร้าน ยังไม่มีใครในคณะได้คุยกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะถึงเรื่องอาหารที่เราจะได้กินมื้อเย็นนี้เลย แม้กระทั่งผมที่ได้เข้ามาอยู่ในเพิงนี้เป็นคนแรกก็ไม่มีคำตอบ แต่ฉับพลัน
หญิงสาวคนนั้นกับป้าเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมกับไก่ย่างที่กรุ่นๆไอร้อนและความหอมสมุนไพร รวมถึงข้าวเหนียวที่ยังคงความนิ่มระอุไว้ ตามด้วยขนมจีนแกงเขียวไก่มาเสริฟให้ทุกคน น้ำแกงข้นคลั่กน่าอร่อย มะเขือลอยฟ่อง มีเนื้อไก่ติดกระดูกโปะมาเต็มที่แถมด้วยเลือดไก่
และที่เด็ดไปกว่านั้นคือเนื้อแห้งที่ดูเหมือนแดดเดียวโรยหน้าด้วยงากับลาบอะไรแห้งๆเช่นกันแต่ทว่าดูเครื่องเยอะดีตามแบบฉบับคนเหนือ
เนื้อแห้งและลาบปลา สูตรดั้งเดิมแท้ หวังว่าทุกคนคงชอบ กินกันให้อร่อยนะ
ป้าแกพูดเช่นนั้น แล้วหันตัวเดินไปทางหน้าร้านพร้อมกับหญิงสาวที่ยังไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคน แต่ถ้ามีใครสังเกตจะพบว่าสตรีต่างวัยทั้งสองปรายตามาทางผมบ่อยมาก เหมือนกับประเมินความพอใจในเรื่องรสชาติอาหารจากสีหน้าผม
คณะของเราชมเปาะไปตามๆกันถึงเรื่องรสชาติอาหารนอกจากคนเดียวคือน้องเกศที่กินแต่พอเป็นพิธีเท่านั้น พอพี่จักรคะยั้นคะยอให้กินต่อเธอก็ยิ้มแย้มแจ่มใสบอกว่าค่ะ แต่พอผมพูดบ้างสีหน้าเธอแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีตอบอย่างห้วนๆตามมารยาท
ติดฝนมรณะข้างทางตอนสอง(เกือบจบ)
Link ของตอนแรกครับ
นอกเหนือไปจากคำพูดที่ผมไม่เข้าใจนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมฉงนใจยิ่งกว่าคืออากัปกิริยาที่กลายเป็นต้อนรับขับสู้อย่างกระฉับกระเฉงของป้าเจ้าของร้าน
ไปๆมาๆแกบอกว่าแกเปลี่ยนใจแล้ว ตอนแรกฝนลงเม็ดตั้งใจจะกลับบ้านแต่ตอนนี้มีลูกค้าแล้วจะขออยู่ต่อ ไม่เช่นนั้นของที่เตรียมมาจะเสียหมด
แต่เมื่อมองเห็นหน้าแกถนัด ผมก็พบว่าสีหน้า ท่าทาง แววตาของแก คนละอย่างกับที่พูด มันไม่ใช่พ่อค้าแม่ขายที่ดีใจเวลาขายของได้เลย
อะไรไม่รู้ทำให้ผมเผลอคิดไปว่านี้มันลักษณะของญาติผู้ใหญ่ที่พบปะหน้าบุตรหลานคนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานาน แล้วแกก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนเครือ
ที่สุดก็เจอ หลงทางมาเหรอลูก โถ ซื้ออาหารจากป้าแล้วจะเอาไปกินที่ไหนกัน มากินข้างในเพิงนี่ดีกว่าไหมไม่โดนฝนหรอกนั่งกินกันได้สบายๆ ลานนั่งก็ยกพื้นสูง น้ำท่วมไม่ถึง ไปเรียกเพื่อนๆในรถลงมาเถอะไป๋
สิ่งที่แกพูดราวกับมองเห็นปัญหาเฉพาะหน้าพวกเราในตอนนี้ ทำเอาผมกับเจ้าโรจน์นิ่งอึ้งด้วยความประหลาดใจ
แกคงจะรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรไป เพราะแกรีบเสริมขึ้นทันทีว่า
ทางแถวนี้มีแต่ชาวบ้านใช้สัญจร ถ้าเป็นคนที่อื่นก็มีแต่หลงกันเข้ามาทั้งนั้นแหละ อย่าร่ำไรให้เพื่อนคอยนานเลย ท่าทางจะหิวกันแย่แล้ว ป้ามองจากตรงนี้ก็เห็นเพื่อนที่มาด้วยกันสามคนนั่งรออยู่ในรถ ไปบอกเพื่อนเลยว่าใกล้จะค่ำเต็มทีทางเส้นนี้ขืนขับต่อไปก็ไม่เจอร้านรวงอะไรหรอก มีแต่บ้านคนอยู่อาศัยไม่กี่หลังกับทางเปลี่ยวๆ
แต่เราสองคนไม่มีใครขยับตัวเพราะยังยืนงงกันอยู่ ดวงตาแกเกิดประกายขึ้นเล็กน้อยแล้วแกก็หันไปย้ำเสียงหนักๆกับเจ้าโรจน์ที่จับตามองแกอย่างสงสัย
ไปสิพ่อหนุ่ม เร็วๆ
น่าแปลกที่แกไม่ยักกะบอกผมแต่ไปบอกเจ้าโรจน์แทน แวบหนึ่งหน้าตาเจ้าโรจน์คล้ายคนเหม่อลอยตอนหันหลังวิ่งกลับไปที่รถท่ามกลางม่านฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก ขณะที่ผมกำลังจะทัดทานอะไรป้าแกก็คว้าข้อมือผมไว้แน่นราวกับกลัวว่าผมจะหนีไปไหน
เข้าไปนั่งรอเพื่อนข้างในเถอะลูก ยืนอยู่ตรงชายคาฝนมันกระเซ็นใส่เดี๋ยวไม่สบาย
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าน้ำเสียงของแกแฝงไปด้วยความห่วงใยเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งและโดยไม่ทันตั้งตัวแกก็ฉุดมือผมเดินเข้าไปในร้าน
คงจะเป็นด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางตะเวนเที่ยวทั้งวัน ทำให้ผมรู้สึกตัวเบาหวิวไม่อาจขัดขืนได้ จึงเดินตามแรงจูงของแกไปอย่างว่านอนสอนง่าย
แกพาผมเข้ามาข้างในตรงที่ลานแคร่กว้างยกสูงจากดินแล้วกดตัวผมเบาๆให้นั่งลงราวกับผู้ใหญ่ทำกับเด็ก ความรู้สึกกึ่งตี่นกึ่งฝัน อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมรู้สึกว่ามีคนรู้จักทำกับผมเช่นเดียวกันอย่างนี้มาก่อน เหมือนมันเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่ลางเลือนเหลือเกิน
และตาของผมคงจะพร่ามัวไปชั่วขณะ ในช่วงที่ป้าแกเดินไปยืนบังแสงไฟในร้านจังหวะพอดีผมมองไปแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่า. เงาร่างนั้นช่างคล้ายคลึงกับ
หน้ามืดหรือลูก นวลเอ๋ย เอาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวพี่เอ็งหน่อย
ผมกลับคืนสติและเห็นภาพตรงหน้ากระจ่างเหมือนเดิม ป้าแกยังคงยืนตรงหน้าผมและมองมาอย่างเป็นห่วง ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเลยเฉไฉไปว่า
“ไม่ต้องห่วงครับป้า วันนี้ผมกับเพื่อนจะอุดหนุนป้าอย่างเต็มที่ รับรองไม่ขาดทุนแน่นอน”
ผมพูดอย่างมั่นใจ เพราะเจ้าโรจน์มันเหมือนคนท้องมาร กินจุแต่ไม่รู้ว่าเอาไปไว้ไหน รูปร่างยังคงผอมอยู่เหมือนเดิม ส่วนพี่จักรเองก็ใช่ย่อยจัดว่ากินเก่งอยู่เหมือนกัน บวกกับสองสาวนั้นจะกินมากน้อยได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่เพราะผมตั้งใจให้เงินป้าแกมากเกินค่าอาหารอยู่แล้ว เพื่อตอบแทนน้ำใจแก
พอได้ยินแทนที่จะดีใจป้าแกกลับมีสีหน้าเศร้าสลดลงแทน แกรีบหันหลังก้มหน้าเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างแล้วพูดขึ้นเบาๆ อย่างไม่หวังให้ผมได้ยิน
อย่าเลย ฉันได้มามากเกินพอจากเธอแล้ว
หูผมคงจะฝาดไป หรือมิเช่นนั้นแกคงหมายความว่าแกคงบวกค่าอาหารเต็มที่แน่ๆคืนนี้ อย่างไรก็ดีผมยินดีจ่าย แต่ความคิดผมต้องสะดุดลงเพราะเห็นน้องเกศกับน้องจอยเดินเอาเสื้อแจ็คเก็ตตัวเดียวแบ่งกันคลุมหัวเดินเข้ามาพอดี
คงไม่ต้องสงสัยว่าเสื้อที่เสียสละให้สาวๆกันฝนเป็นของใคร เพราะเจ้าตัวเดินเเปียกม่อล่อกม่อแล่ก
อย่างจงใจให้ดูน่าสงสารพร้อมเจ้าโรจน์ที่เปียกโชกพอๆกันตามเข้ามา
“เอ้ะ ข้างในกว้างดีนี่หว่า” พี่จักรเอ่ยขึ้นทันทีที่เข้ามา“ หลบฝนสบายๆเลย ตอนแรกนึกว่านั่งกินไปจะโดนฝนสาดไป”
เป็นครั้งแรกที่ผมมองสำรวจภายในอย่างใช้ความตั้งใจแล้วก็เห็นด้วยกับแก มองดูโครงสร้างในเชิงสถาปัตยกรรมแล้ว หลังคาสูงแหลมและลาดเอียงแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วแถมยังต่อปีกหลังคายื่นออกไปโดยใช้ไม้ค้ำอีก เป็นลักษณะกันแดด ลม ฝน ได้ดียกเว้นหลังคาจะรั่วเท่านั้น หรือไม่ฝนก็ตกมาแบบผิดธรรมชาติคือตกทะแยงมุมเข้ามาโดยประมาณ30 องศา คนข้างในถึงมีโอกาสเปียกได้
ทั้งหมดเดินมานั่งบนแคร่ยกพื้นทำด้วยไม้กระดานกันแล้ว ปรากฎว่าทุกคนนั่งกันได้อย่างสบายๆไม่อึดอัด คือต่อให้นั่งเหยียดแข้งเหยียดขากันอย่างไร้มารยาทก็ตาม เนื้อที่ก็ยังพอมีอยู่ พื้นไม้มียวบยาบนิดหน่อยเวลาขยับตัวแต่ไม่มีความรู้สึกว่ามันจะทรุดฮวบลงไปแต่อย่างใด แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือฝนไม่โดนตัวเลยซักกระผีกทั้งๆที่กระหน่ำแบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่ข้างนอกกระทบหลังคาและข้างฝาดังเกรียวกราว
พอนั่งลงได้พี่จักรก็เอื้อมมือมาตบบ่าผมพลางพูด
“แหมไอ้เสือ วาทศิลป์ดีนักนะน้อง มาพูดอีท่าไหนล่ะเจ้าของร้านถึงขนาดเปิดร้านให้อยู่ต่อหลบฝนเลยทีเดียว ส่วนไอ้โรจน์นี่พูดจาอะไรไม่รู้เรื่องตอนไปเรียกพี่กับน้องเกศน้องจอยลงจากรถท่าทางยังกับคนเมาไม่สร่าง พูดแต่ให้ลงมาๆไม่เลิก”
เจ้าโรจน์เอามือกุมขมับครุ่นคิดเหมือนกับมีอะไรจะพูด แต่ในที่สุดมันก็ตัดสินใจไม่พูดแล้วมันก็ล้วงขวดเหล้าที่พกติดตัวออกมาเปิดยกขึ้นดื่มเสียอย่างนั้น ทุกคนเห็นท่าทางมันก็ได้แต่งปลงไม่มีใครอยากห้าม
แล้วสิ่งที่ปรากฎต่อมาก็เหมือนแสงนวลแจ่มใสหยอกล้อแสงไฟเล่น เมื่อหญิงสาวคนนั้นดินนวยนาดเข้ามาหาผมพร้อมกับผ้าขนหนูในมือ ไม่ได้ยื่นให้เปล่าๆแต่ทำท่าจะเช็ดให้ด้วยต่อหน้าต่อสายตาใครๆ ทำให้ทุกคนต่างพากันมองตาค้าง
สีหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกบางอย่างเต็มล้นเมื่อมองหน้าผม ทำไมผมถึงรู้สึกว่าสัมผัสของเธอช่างอ่อนโยน และละมุนคุ้นเคย จนกระทั่งผมแสดงอาการขัดขืนอย่างสุภาพนั่นแหละ เธอจึงได้หยุดความพยายามที่จะเช็คตัวผมต่อหน้าเพื่อนๆ
เริ่มรู้ตัวและแสดงทีท่าเขินอายเดินถอยห่างออกมาแล้วพูดเป็นภาษาคำเมืองว่า รอประเดี๋ยว จะไปนำอาหารมาให้ แล้วเธอก็เดินหันหลังไปยังบริเวณประกอบอาหารให้ลูกค้า
สายตาของทุกคนยังคงอยู่ที่ผม โดยเฉพาะพี่จักรที่มองผมดุจเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก ในที่สุดแกก็หัวเราะพรืดออกมาเบาๆด้วยเกรงใจว่าเจ้าของร้านจะได้ยิน
“ไอ้เรศ แกนี้มันร้ายเหลือเกินเข้ามาก่อนพวกเราได้ห้านาทีแกติดแล้วหรือว่ะ แหมทำลายสติถิโลกจริงๆ”
ใครต่อใครล้วนอมยิ้ม ยกเว้นน้องเกศที่เม้มริมฝีปากแน่น มองมาทางผมด้วยสายตาขุ่นๆแบบตัดพ้อ บางทีผมอาจจะคิดมากไปก็ได้เพราะเวลาผมมองไปทางเธออีกทีก็พบว่าเธอหันหน้าไปทางอื่นแล้วทำท่าปกติเหมือนเช่นเคย
และแล้วก็วกกลับเข้ามาจุดสำคัญคือ ตั้งแต่อนุญาตให้เราเข้ามานั่งในร้าน ยังไม่มีใครในคณะได้คุยกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะถึงเรื่องอาหารที่เราจะได้กินมื้อเย็นนี้เลย แม้กระทั่งผมที่ได้เข้ามาอยู่ในเพิงนี้เป็นคนแรกก็ไม่มีคำตอบ แต่ฉับพลัน
หญิงสาวคนนั้นกับป้าเจ้าของร้านก็กลับมาพร้อมกับไก่ย่างที่กรุ่นๆไอร้อนและความหอมสมุนไพร รวมถึงข้าวเหนียวที่ยังคงความนิ่มระอุไว้ ตามด้วยขนมจีนแกงเขียวไก่มาเสริฟให้ทุกคน น้ำแกงข้นคลั่กน่าอร่อย มะเขือลอยฟ่อง มีเนื้อไก่ติดกระดูกโปะมาเต็มที่แถมด้วยเลือดไก่
และที่เด็ดไปกว่านั้นคือเนื้อแห้งที่ดูเหมือนแดดเดียวโรยหน้าด้วยงากับลาบอะไรแห้งๆเช่นกันแต่ทว่าดูเครื่องเยอะดีตามแบบฉบับคนเหนือ
เนื้อแห้งและลาบปลา สูตรดั้งเดิมแท้ หวังว่าทุกคนคงชอบ กินกันให้อร่อยนะ
ป้าแกพูดเช่นนั้น แล้วหันตัวเดินไปทางหน้าร้านพร้อมกับหญิงสาวที่ยังไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสองคน แต่ถ้ามีใครสังเกตจะพบว่าสตรีต่างวัยทั้งสองปรายตามาทางผมบ่อยมาก เหมือนกับประเมินความพอใจในเรื่องรสชาติอาหารจากสีหน้าผม
คณะของเราชมเปาะไปตามๆกันถึงเรื่องรสชาติอาหารนอกจากคนเดียวคือน้องเกศที่กินแต่พอเป็นพิธีเท่านั้น พอพี่จักรคะยั้นคะยอให้กินต่อเธอก็ยิ้มแย้มแจ่มใสบอกว่าค่ะ แต่พอผมพูดบ้างสีหน้าเธอแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันทีตอบอย่างห้วนๆตามมารยาท