ชายวัยกลางคนนั่งเหม่อลอยมองสายฝนที่ตกโปรยปรายอยู่ที่ป้ายรถเมล์ สายฝนสาดกระเซ็นลงพื้นปูนเม็ดแล้วเม็ดเล่าหนักบ้างเบาบ้าง แต่ก็ไม่อาจกระชากชายผู้เหม่อลอยให้หลุดออกจากภวังค์ของเขาได้ เสียงลมหายใจเข้าออกที่แผ่วเบา คล้ายว่ามันไม่ได้วิ่งผ่านรูจมูกที่โด่งสันเข้ารูป หรือเป็นเพราะว่าไม่มีใครรวมทั้งแม่แต่ตัวเขาเองที่สนใจมัน
เวลาล่วงเลยผ่านแต่สายฝนก็ยังโปรยปรายอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด ชายวัยกลางคนคนเดิมยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแต่มีบางสิ่งเปลี่ยนไป เขาเริ่มจ้องมองไปรอบๆ จนพบว่ามีผู้คนมากมายหลายคน ต่างซ่อนกายเข้ามาหลบสายฝนที่โปรยปรายภายใต้หลังคาป้ายรถเมล์เดียวกับเขา ผู้คนที่หลากหลายทั้งเด็กหญิงตัวน้อย ที่มาพร้อมกับหญิงวัยไม่น่าเยื้องย่างเกินสามสิบ วัยรุ่นคู่รักที่ต่างคนต่างจับจ้องมองกล่องเล็กๆ ที่เรายังคงเรียกมันว่า “โทรศัพท์” ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้มันเพียงแค่การโทรหากันเพียงเท่านั้น คุณป้าหญิงชราผู้หอบหิ้วถุงพลาสติกที่บรรจุพืชผักผลไม้ และคับคล้ายคับคราว่าจะมีเนื้อสัตว์บางชนิดอยู่ในนั้นด้วย กับผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งลุยฝ่าสายฝนไปขึ้นรถเมล์ประจำทางที่พวกเขารอคอยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และตอนนี้พวกเขาได้จากไปแล้วท่ามกลางสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำ
เหมือนสายฝนสาดกระเซ็นมากระทบกาย ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอยหันหน้าคล้อยตาไปที่ต้นทางของสายน้ำที่สาดกระเด็น ก็พบเจอกับต้นทางการสาดกระเซ็นที่ไม่ได้มาจากเบื้องบน เพราะมันสาดกระเด็นมาจากการสะบัดเกือบสุดแรงของเจ้าสุนัขตัวใหญ่ไม่น้อย ที่เหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรต่างๆ รอบๆ ข้างตัวมันเลย
“แม่ๆ.. หมาตัวใหญ่ มันคงหนาวมากนะคะ” เสียงของเด็กหญิงที่นั่งห่างไปเพียงหนึ่งเก้าอื้ป้ายรถเมล์ดังขึ้น ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอยคล้อยหน้ากลับมามองตามเสียงน้อยๆ ของเธอ เขาพบสายตาที่ช่างไร้ซึ่งเดียงสา สายตาที่บ่งบอกได้ถึงความห่วงใยที่ช่างแสนบริสุทธิ์ ความคิดวูบหนึ่งผ่านเข้ามา ... เขาคิดถึงใครบางคน
สายตาของชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอย ณ ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาละสายตาจากเด็กน้อยและจ้องมองไปยังคุณแม่ผู้ดูช่างใจดีของเธอ เขาไม่ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่กำลังสนทนาโต้ตอบกับลูกรักของเธอมากนัก เมื่อสายฝนยังกระหน่ำทับเสียงของเธอและเด็กหญิงตัวน้อยไปเกือบหมดสิ้น ความสงสัยเริ่มเข้ามาแทรกอยู่ในความคิดของเขาทันที เมื่อภาพที่เห็นหลังจากการสนทนาของคนทั้งคู่เสร็จสิ้น หรือยังไม่เสร็จสิ้นก็ไม่อาจทราบ เมื่อหญิงสาวเริ่มโอบกอดเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมน้ำตาที่ไหลรินมาจนแปรอะเปื้อนใบหน้า เขาไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ภาพที่ชายผู้เคยนั่งเหม่อลอยเมื่อสักครู่นี้เห็น มันอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่น่าจะเป็นไปในความคิดของเขา ..ลูกน้อยที่น่ารักสดใส คงไม่ใช่สิ่งที่สร้างน้ำตา .. เขากระเถิบกายย้ายตัวไปนั่งที่เก้าอี้หนึ่งตัวที่ว่างอยู่อย่างไม่รู้ตัว เก้าอี้ที่เคยกั้นอยู่ระหว่างตัวเขาและเด็กหญิงตัวน้อย ตอนนี้มันไม่ได้ทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป
“คุณ.. โอเคมั้ยครับ” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้น พร้อมสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงบวกเข้ากับความสงสัย
“ไม่เป็นไรค่ะ.. ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าที่งุนงงเล็กน้อย ถึงบทสนทนาที่เริ่มต้นขึ้นจากชายแปลกหน้า พร้อมปล่อยลูกน้อยจากอ้อมกอด และเช้ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนแก้มของเธอออกในทันที
เธอดูสดใสดีนะครับ.. ลูกสาวของคุณ” ชายแปลกหน้ายังคงยิงคำภามใส่ โดยไม่ได้สนใจถึงความงุนงงของหญิงสาว พร้อมละสายตาหันหน้าไปส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อย
“ค่ะ.. เธอเป็นเด็กที่สดใส เธอเป็นดั่งดวงใจของดิฉันค่ะ” คำพูดที่อ่อนโยนที่กลมกลืนเข้ากับรอยยิ้มเล็กๆ ที่น่าจะมาจากความเขินอายเพราะไม่คุ้นเคยกับผู้ร่วมสนทนา แต่มันกลับเป็นคำตอบที่สร้างรอยยิ้มใหญ่ๆ ให้กับชายผู้เคยเหม่อลอยมากในตอนนี้ เขาไม่ได้ถามตัวเองถึงต้นเหตุของรอยยิ้มที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้บอกตัวเองให้รู้สึกดีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เพราะเขาเข้าใจดีว่ามันคงเป็นความรักที่บริสุทธิ์มากเพียงใด
ชั่วครู่ขณะรู้สึก.. เหมือนชีวิตได้ย้อนกลับไป นานมากเท่าไหร่เขาเองยังคงจำได้ เสียงหัวเราะของเด็กหญิงดังกึกก้องร้องเล่นอยู่ในหู เสียงหัวเราะร้องเรียกของหญิงสาว และ.. เสียงของตัวของเขาเอง เขาจำได้ดีแน่ๆ ถึงช่วงเวลานั้นเขามั่นใจ แต่เขากลับหลงลืมมันไปเพราะบางสิ่ง
“แม่.. แม่คะ.. เราไม่กลับบ้านหรอคะ ทำไมพ่อไม่มารับเราหล่ะ” เสียงของเด็กหญิงคนเดิมกระชากชายคนเดิมออกจาภวังค์อีกครั้ง
“รถน่าจะติดมากเพราะฝนตกนะคะ แต่เดี๋ยวคุณพ่อคงมาถึงแล้ว วันนี้เราจะไปหาคุณหมอใจดีของหนูไง จำได้ไหมคะ” คุณแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยตอบ ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ช่างโอนโยน
“อ่อ.. อืมม.. ทำไมเราต้องไปหาคุณหมอบ่อยๆ ด้วยหล่ะคะ” เด็กหญิงตัวน้อยถามต่อด้วยความสงสัย
“เพราะว่าหนูยังแข็งแรงไม่พอไงคะ คุณหมอใจดีจะทำให้หฯแข็งแรงๆ ขึ้นไง” คุณแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยตอบ พร้อมชูแขนเบ่งกล้ามให้ลูกน้อยมีรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอย ได้ยินบทสนทนาของหญิงสาวและเด็กน้อยอย่างชัดเจนถึงแม้ไม่ตั้งใจ ด้วยช่องว่างระหว่างเก้าอี้หนึ่งตัวนั้นได้จากไปแล้ว พลันตัดสินคิดคำตอบถึงรอยน้ำตาของหญิงสาวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานั้น ในใจที่อยากรู้คำตอบถึงแม้ว่าคำตอบนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตหรือการมานั่งเหม่อลอยตามลำพัง ณ ที่แห่งนี้เลยก็ตาม
“เอ่อ.. ขอโทษครับ จะเป็นการเสียมารยาทไปไหมครับ หากผมจะถามว่าหนูน้อยคนนี้เธอมีสุขภาที่ไม่ปรกติใช่ไหมครับ” ยังไม่ทันสิ้นห้วงความคิด ปากของหนุ่มนิรนามก้ทำงานทันที เขาเข้าใจดีว่าคำตอบที่ได้กลับมา อาจจะทำให้เขาเป็นคนไร้ซึ่งมารยาทในทันที แต่มันกลับเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เมื่อหญิงสาวกลับเผยรอยยิ้มจากๆ ที่ใบหน้า พร้อมตอบคำถามที่ชายวัยกลางคนที่เคยเหม่อลอยที่ตนไม่รู้จัก ดั่งว่าเธออยากให้เขาได้รับรู้ถึงบางสิ่ง
“ใช่ค่ะ.. เธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันในเด็กค่ะ” หญิงสาวหยุดคำพูดไว้แค่นั้น
“เสียใจด้วยนะครับ.. แต่เธอก็ดูแข็งแรงมากๆ เลยนะครับ” ชายแปลกหน้าเริ่มมีสีหน้าที่แปลกไป เขาไม่ได้รู้จักไอ้เจ้าโรคร้ายนี่อะไรมากนัก และเขาเองก็คงยังไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้ายังไงดี แต่คงไม่มีรอยยิ้มเล็ดรอดออกมาเป็นแน่ ความคิดบางอย่างกลับเข้ามาในสมอง ว่าโลกนี้คงหาบางอย่างที่สมบูรณ์สุขไม่ได้ง่ายๆ โชคชะตามักพาเรื่องราวและสิ่งที่ไม่ทันตั้งตัวมาพิสูจน์ชีวิตเสมอ
“ขอบคุณค่ะ.. “ หญิงสาวเผยรอยยิ้มมาให้เห็น “เธอจะไม่เป็นอะไรค่ะ ในเมื่อเรามีความหวัง และเราได้ตั้งใจพยายามต่อสู้กับมัน เราจะไม่มีวันพ่ายแพ้อย่างแน่นอนค่ะ” รอยยิ้มของหญิงสาวเริ่มมีมากขึ้น แต่กลับไม่ทำให้ชายแปลกหน้าคนเก่าผู้ร่วมเข้าวงสนทนามีปฏิกริยาที่ดีขึ้น คงไม่ใช่เพราะเธอหรือเด็กสาว แต่อาจเป็นเพราะความคิดบางอย่างของเขาเอง
“บางครั้ง.. ถ้าเรามีความหวัง และตั้งใจทำใจทำมันอย่างจริงจังแล้ว แต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้ ความหวังนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราหรือเปล่าครับ” ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวขึ้น นัยน์ตาที่เคยจับจ้องมองคู่สนทนากลับหลีกเลี่ยงหลบไปไม่เป็นดั่งเช่นเคย หญิงสาวลดรอยยิ้มของเธอลงพร้อมเอื้อมแขนและมือของเธอ ไปวางและกุมไว้ที่มือเล็กๆ ของเด็กหญิงตัวน้อย เด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ได้สนใจหรือเข้าใจบทสนทนา ระหว่างคุณแม่ของเธอและชายแปลกหน้าเลย เธอส่งยิ้มกว้างๆ ให้กับหญิงสาวที่เกาะกุมมือเธอไว้ หญิงสาวผู้ที่เกาะกุมมือเด็กหญิงตัวน้อย ก็ส่งรอยยิ้มที่มันช่างแฝงไปด้วยความสุขคืนกลับให้เธอด้วยเช่นกัน หญิงสาวหันหน้ากลับมามองชายวัยกลางคนที่เหมือนจะกลับไปอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
“ถ้าเรามีความหวัง แล้วตั้งใจทำมันจริงๆ ความหวังไม่มีทางกลับมาทำร้ายเราอย่างแน่นอนค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยความมั่นใจ พร้อมกระชากชายแปลกหน้าออกจากภวังค์อีกครั้ง
“ระหว่างทาง เราสามารถเก็บเกี่ยวความสุขมาได้เสมอ ก็ในเมื่อเราไม่รู้หรอกว่าปลายทางจะเป็นเช่นไร ระหว่างที่เราเดินไป เราก็ควรเดินไปอย่างมีความสุข ก็คงเหมือนตอนนี้ ฉันมีความหวัง.. และระหว่างที่ฉันจะทำความหวังของฉันให้เป็นจริง ฉันก็จะทำไปพร้อมกับการสร้างความสุขค่ะ” หญิงสาวเอ่ยต่อ โดยหวังจะให้ชายแปลกหน้าผู้เคยเหม่อลอยเข้าใจในบางอย่างเหล่านั้นที่เธอเอ่ย
รอยยิ้มแง้มกลับมาที่ใบหน้าชายผู้เคยเหม่อลอยอีกครั้ง เขาเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย และมองย้อนกลับมาที่ตัวของเขาเอง เมื่อเขามักตั้งความหวังและวิ่งตามมันจนสุดชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามที่เขาหวังไว้ เขาไม่เคยเก็บเกี่ยวความสุขหือเก็บเกี่ยวมันมาได้ไม่มากพอ เมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ ทุกอย่างจึงเหมือนจบสิ้น คล้ายร่วงหล่นตกไปที่ก้นเหว คงยากหากจะต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาใหม่
“คุณพ่อมาแล้ว..” เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยเจี่ยวแจ้วดังขึ้น เมื่อรถยนต์คันหนึ่งจอดเทียบชานชลาป้ายรถเมล์ ชายแปลกหน้าผู้เคยเหม่อลอยจึงรู้ในทันที ว่าการสนทนานี้คงต้องจบลงแล้ว เขาจึงหันหน้าไปส่งยิ้มเล็กๆ ให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นและหญิงสาวคู่สนทนา
“ขอให้ความหวังคุณเป็นจริง ขอให้เธอหายเป็นปกติ และขอให้คุณมีความสุขเป็นปกติ ขอบคุณนะครับ” ชายแปลกหน้ากล่าวกับหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มที่จริงใจ เธอยิ้มตอบและหยิบกระเป๋าของเด็กน้อยขึ้น เพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถยนต์ที่เทียบชานชลาป้ายรถเมล์คันนั้น
“ขอให้คุณพบความสุขเช่นกันนะคะ.. ฝนไม่ได้ตกทุกวันหรอกค่ะ” เธอหันมาพูดอีกครั้ง ก่อนที่จะพาเด็กหญิงตัวน้อย วิ่งลุยสายฝนที่ตอนนี้เริ่มเบาบางลงไปแล้ว และขึ้นรถยนต์ที่เคยจอดเทียบชานชลาป้ายรถเมล์เมื่อสักครู่นี้ ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวจนเลือนลางและจางหายไปจนสุดสายตา
ฝนไม่ได้ตกทุกวัน ก็คงจริงอย่างที่เธอว่า ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอยยังคงนั่งคิดถึงคำพูดทิ้งท้ายของหญิงสาว ผู้จูงมือเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งจากไป ก็ในเมื่อฝนไม่ได้ตก ฟ้าไม่ได้ร้องทุกวัน ทำไมฉันยังคงจำเสียงของมันได้ เรื่องร้ายๆ ที่นำพาความทุกข์ใจเข้ามา มันช่างกลบความสุขที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ได้อย่างแนบเนียน แถมยังคงฝากเสียงฝังความรู้สึกไว้ในความทรงจำเราได้อีกต่างหาก
“ทุกวัน .. ความสุข .. ส่งยิ้มให้ .. อยู่ที่ว่า .. วันนั้น .. ความเศร้า .. จะแสดงตัว .. รึเปล่า”
(จบตอน 1/3)
ยี่สิบแปดซี่
เรื่องสั้น : สี่โมงครึ่งถึงหกโมงเย็น.. ในวันที่ฝนตกหนัก
เวลาล่วงเลยผ่านแต่สายฝนก็ยังโปรยปรายอย่างไม่มีทีท่าที่จะหยุด ชายวัยกลางคนคนเดิมยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแต่มีบางสิ่งเปลี่ยนไป เขาเริ่มจ้องมองไปรอบๆ จนพบว่ามีผู้คนมากมายหลายคน ต่างซ่อนกายเข้ามาหลบสายฝนที่โปรยปรายภายใต้หลังคาป้ายรถเมล์เดียวกับเขา ผู้คนที่หลากหลายทั้งเด็กหญิงตัวน้อย ที่มาพร้อมกับหญิงวัยไม่น่าเยื้องย่างเกินสามสิบ วัยรุ่นคู่รักที่ต่างคนต่างจับจ้องมองกล่องเล็กๆ ที่เรายังคงเรียกมันว่า “โทรศัพท์” ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้มันเพียงแค่การโทรหากันเพียงเท่านั้น คุณป้าหญิงชราผู้หอบหิ้วถุงพลาสติกที่บรรจุพืชผักผลไม้ และคับคล้ายคับคราว่าจะมีเนื้อสัตว์บางชนิดอยู่ในนั้นด้วย กับผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งลุยฝ่าสายฝนไปขึ้นรถเมล์ประจำทางที่พวกเขารอคอยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และตอนนี้พวกเขาได้จากไปแล้วท่ามกลางสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำ
เหมือนสายฝนสาดกระเซ็นมากระทบกาย ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอยหันหน้าคล้อยตาไปที่ต้นทางของสายน้ำที่สาดกระเด็น ก็พบเจอกับต้นทางการสาดกระเซ็นที่ไม่ได้มาจากเบื้องบน เพราะมันสาดกระเด็นมาจากการสะบัดเกือบสุดแรงของเจ้าสุนัขตัวใหญ่ไม่น้อย ที่เหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรต่างๆ รอบๆ ข้างตัวมันเลย
“แม่ๆ.. หมาตัวใหญ่ มันคงหนาวมากนะคะ” เสียงของเด็กหญิงที่นั่งห่างไปเพียงหนึ่งเก้าอื้ป้ายรถเมล์ดังขึ้น ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอยคล้อยหน้ากลับมามองตามเสียงน้อยๆ ของเธอ เขาพบสายตาที่ช่างไร้ซึ่งเดียงสา สายตาที่บ่งบอกได้ถึงความห่วงใยที่ช่างแสนบริสุทธิ์ ความคิดวูบหนึ่งผ่านเข้ามา ... เขาคิดถึงใครบางคน
สายตาของชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอย ณ ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาละสายตาจากเด็กน้อยและจ้องมองไปยังคุณแม่ผู้ดูช่างใจดีของเธอ เขาไม่ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่กำลังสนทนาโต้ตอบกับลูกรักของเธอมากนัก เมื่อสายฝนยังกระหน่ำทับเสียงของเธอและเด็กหญิงตัวน้อยไปเกือบหมดสิ้น ความสงสัยเริ่มเข้ามาแทรกอยู่ในความคิดของเขาทันที เมื่อภาพที่เห็นหลังจากการสนทนาของคนทั้งคู่เสร็จสิ้น หรือยังไม่เสร็จสิ้นก็ไม่อาจทราบ เมื่อหญิงสาวเริ่มโอบกอดเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมน้ำตาที่ไหลรินมาจนแปรอะเปื้อนใบหน้า เขาไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ภาพที่ชายผู้เคยนั่งเหม่อลอยเมื่อสักครู่นี้เห็น มันอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่น่าจะเป็นไปในความคิดของเขา ..ลูกน้อยที่น่ารักสดใส คงไม่ใช่สิ่งที่สร้างน้ำตา .. เขากระเถิบกายย้ายตัวไปนั่งที่เก้าอี้หนึ่งตัวที่ว่างอยู่อย่างไม่รู้ตัว เก้าอี้ที่เคยกั้นอยู่ระหว่างตัวเขาและเด็กหญิงตัวน้อย ตอนนี้มันไม่ได้ทำหน้าที่นั้นอีกต่อไป
“คุณ.. โอเคมั้ยครับ” ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้น พร้อมสีหน้าที่แสดงความเป็นห่วงบวกเข้ากับความสงสัย
“ไม่เป็นไรค่ะ.. ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าที่งุนงงเล็กน้อย ถึงบทสนทนาที่เริ่มต้นขึ้นจากชายแปลกหน้า พร้อมปล่อยลูกน้อยจากอ้อมกอด และเช้ดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนแก้มของเธอออกในทันที
เธอดูสดใสดีนะครับ.. ลูกสาวของคุณ” ชายแปลกหน้ายังคงยิงคำภามใส่ โดยไม่ได้สนใจถึงความงุนงงของหญิงสาว พร้อมละสายตาหันหน้าไปส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อย
“ค่ะ.. เธอเป็นเด็กที่สดใส เธอเป็นดั่งดวงใจของดิฉันค่ะ” คำพูดที่อ่อนโยนที่กลมกลืนเข้ากับรอยยิ้มเล็กๆ ที่น่าจะมาจากความเขินอายเพราะไม่คุ้นเคยกับผู้ร่วมสนทนา แต่มันกลับเป็นคำตอบที่สร้างรอยยิ้มใหญ่ๆ ให้กับชายผู้เคยเหม่อลอยมากในตอนนี้ เขาไม่ได้ถามตัวเองถึงต้นเหตุของรอยยิ้มที่เกิดขึ้น เขาไม่ได้บอกตัวเองให้รู้สึกดีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เพราะเขาเข้าใจดีว่ามันคงเป็นความรักที่บริสุทธิ์มากเพียงใด
ชั่วครู่ขณะรู้สึก.. เหมือนชีวิตได้ย้อนกลับไป นานมากเท่าไหร่เขาเองยังคงจำได้ เสียงหัวเราะของเด็กหญิงดังกึกก้องร้องเล่นอยู่ในหู เสียงหัวเราะร้องเรียกของหญิงสาว และ.. เสียงของตัวของเขาเอง เขาจำได้ดีแน่ๆ ถึงช่วงเวลานั้นเขามั่นใจ แต่เขากลับหลงลืมมันไปเพราะบางสิ่ง
“แม่.. แม่คะ.. เราไม่กลับบ้านหรอคะ ทำไมพ่อไม่มารับเราหล่ะ” เสียงของเด็กหญิงคนเดิมกระชากชายคนเดิมออกจาภวังค์อีกครั้ง
“รถน่าจะติดมากเพราะฝนตกนะคะ แต่เดี๋ยวคุณพ่อคงมาถึงแล้ว วันนี้เราจะไปหาคุณหมอใจดีของหนูไง จำได้ไหมคะ” คุณแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยตอบ ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ช่างโอนโยน
“อ่อ.. อืมม.. ทำไมเราต้องไปหาคุณหมอบ่อยๆ ด้วยหล่ะคะ” เด็กหญิงตัวน้อยถามต่อด้วยความสงสัย
“เพราะว่าหนูยังแข็งแรงไม่พอไงคะ คุณหมอใจดีจะทำให้หฯแข็งแรงๆ ขึ้นไง” คุณแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยตอบ พร้อมชูแขนเบ่งกล้ามให้ลูกน้อยมีรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอย ได้ยินบทสนทนาของหญิงสาวและเด็กน้อยอย่างชัดเจนถึงแม้ไม่ตั้งใจ ด้วยช่องว่างระหว่างเก้าอี้หนึ่งตัวนั้นได้จากไปแล้ว พลันตัดสินคิดคำตอบถึงรอยน้ำตาของหญิงสาวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานั้น ในใจที่อยากรู้คำตอบถึงแม้ว่าคำตอบนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตหรือการมานั่งเหม่อลอยตามลำพัง ณ ที่แห่งนี้เลยก็ตาม
“เอ่อ.. ขอโทษครับ จะเป็นการเสียมารยาทไปไหมครับ หากผมจะถามว่าหนูน้อยคนนี้เธอมีสุขภาที่ไม่ปรกติใช่ไหมครับ” ยังไม่ทันสิ้นห้วงความคิด ปากของหนุ่มนิรนามก้ทำงานทันที เขาเข้าใจดีว่าคำตอบที่ได้กลับมา อาจจะทำให้เขาเป็นคนไร้ซึ่งมารยาทในทันที แต่มันกลับเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เมื่อหญิงสาวกลับเผยรอยยิ้มจากๆ ที่ใบหน้า พร้อมตอบคำถามที่ชายวัยกลางคนที่เคยเหม่อลอยที่ตนไม่รู้จัก ดั่งว่าเธออยากให้เขาได้รับรู้ถึงบางสิ่ง
“ใช่ค่ะ.. เธอเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันในเด็กค่ะ” หญิงสาวหยุดคำพูดไว้แค่นั้น
“เสียใจด้วยนะครับ.. แต่เธอก็ดูแข็งแรงมากๆ เลยนะครับ” ชายแปลกหน้าเริ่มมีสีหน้าที่แปลกไป เขาไม่ได้รู้จักไอ้เจ้าโรคร้ายนี่อะไรมากนัก และเขาเองก็คงยังไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้ายังไงดี แต่คงไม่มีรอยยิ้มเล็ดรอดออกมาเป็นแน่ ความคิดบางอย่างกลับเข้ามาในสมอง ว่าโลกนี้คงหาบางอย่างที่สมบูรณ์สุขไม่ได้ง่ายๆ โชคชะตามักพาเรื่องราวและสิ่งที่ไม่ทันตั้งตัวมาพิสูจน์ชีวิตเสมอ
“ขอบคุณค่ะ.. “ หญิงสาวเผยรอยยิ้มมาให้เห็น “เธอจะไม่เป็นอะไรค่ะ ในเมื่อเรามีความหวัง และเราได้ตั้งใจพยายามต่อสู้กับมัน เราจะไม่มีวันพ่ายแพ้อย่างแน่นอนค่ะ” รอยยิ้มของหญิงสาวเริ่มมีมากขึ้น แต่กลับไม่ทำให้ชายแปลกหน้าคนเก่าผู้ร่วมเข้าวงสนทนามีปฏิกริยาที่ดีขึ้น คงไม่ใช่เพราะเธอหรือเด็กสาว แต่อาจเป็นเพราะความคิดบางอย่างของเขาเอง
“บางครั้ง.. ถ้าเรามีความหวัง และตั้งใจทำใจทำมันอย่างจริงจังแล้ว แต่มันกลับไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้ ความหวังนั้นอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราหรือเปล่าครับ” ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวขึ้น นัยน์ตาที่เคยจับจ้องมองคู่สนทนากลับหลีกเลี่ยงหลบไปไม่เป็นดั่งเช่นเคย หญิงสาวลดรอยยิ้มของเธอลงพร้อมเอื้อมแขนและมือของเธอ ไปวางและกุมไว้ที่มือเล็กๆ ของเด็กหญิงตัวน้อย เด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ได้สนใจหรือเข้าใจบทสนทนา ระหว่างคุณแม่ของเธอและชายแปลกหน้าเลย เธอส่งยิ้มกว้างๆ ให้กับหญิงสาวที่เกาะกุมมือเธอไว้ หญิงสาวผู้ที่เกาะกุมมือเด็กหญิงตัวน้อย ก็ส่งรอยยิ้มที่มันช่างแฝงไปด้วยความสุขคืนกลับให้เธอด้วยเช่นกัน หญิงสาวหันหน้ากลับมามองชายวัยกลางคนที่เหมือนจะกลับไปอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
“ถ้าเรามีความหวัง แล้วตั้งใจทำมันจริงๆ ความหวังไม่มีทางกลับมาทำร้ายเราอย่างแน่นอนค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยความมั่นใจ พร้อมกระชากชายแปลกหน้าออกจากภวังค์อีกครั้ง
“ระหว่างทาง เราสามารถเก็บเกี่ยวความสุขมาได้เสมอ ก็ในเมื่อเราไม่รู้หรอกว่าปลายทางจะเป็นเช่นไร ระหว่างที่เราเดินไป เราก็ควรเดินไปอย่างมีความสุข ก็คงเหมือนตอนนี้ ฉันมีความหวัง.. และระหว่างที่ฉันจะทำความหวังของฉันให้เป็นจริง ฉันก็จะทำไปพร้อมกับการสร้างความสุขค่ะ” หญิงสาวเอ่ยต่อ โดยหวังจะให้ชายแปลกหน้าผู้เคยเหม่อลอยเข้าใจในบางอย่างเหล่านั้นที่เธอเอ่ย
รอยยิ้มแง้มกลับมาที่ใบหน้าชายผู้เคยเหม่อลอยอีกครั้ง เขาเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวเอ่ย และมองย้อนกลับมาที่ตัวของเขาเอง เมื่อเขามักตั้งความหวังและวิ่งตามมันจนสุดชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตามที่เขาหวังไว้ เขาไม่เคยเก็บเกี่ยวความสุขหือเก็บเกี่ยวมันมาได้ไม่มากพอ เมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ ทุกอย่างจึงเหมือนจบสิ้น คล้ายร่วงหล่นตกไปที่ก้นเหว คงยากหากจะต้องตะเกียกตะกายขึ้นมาใหม่
“คุณพ่อมาแล้ว..” เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยเจี่ยวแจ้วดังขึ้น เมื่อรถยนต์คันหนึ่งจอดเทียบชานชลาป้ายรถเมล์ ชายแปลกหน้าผู้เคยเหม่อลอยจึงรู้ในทันที ว่าการสนทนานี้คงต้องจบลงแล้ว เขาจึงหันหน้าไปส่งยิ้มเล็กๆ ให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนั้นและหญิงสาวคู่สนทนา
“ขอให้ความหวังคุณเป็นจริง ขอให้เธอหายเป็นปกติ และขอให้คุณมีความสุขเป็นปกติ ขอบคุณนะครับ” ชายแปลกหน้ากล่าวกับหญิงสาวพร้อมกับรอยยิ้มที่จริงใจ เธอยิ้มตอบและหยิบกระเป๋าของเด็กน้อยขึ้น เพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถยนต์ที่เทียบชานชลาป้ายรถเมล์คันนั้น
“ขอให้คุณพบความสุขเช่นกันนะคะ.. ฝนไม่ได้ตกทุกวันหรอกค่ะ” เธอหันมาพูดอีกครั้ง ก่อนที่จะพาเด็กหญิงตัวน้อย วิ่งลุยสายฝนที่ตอนนี้เริ่มเบาบางลงไปแล้ว และขึ้นรถยนต์ที่เคยจอดเทียบชานชลาป้ายรถเมล์เมื่อสักครู่นี้ ที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวจนเลือนลางและจางหายไปจนสุดสายตา
ฝนไม่ได้ตกทุกวัน ก็คงจริงอย่างที่เธอว่า ชายวัยกลางคนผู้เคยเหม่อลอยยังคงนั่งคิดถึงคำพูดทิ้งท้ายของหญิงสาว ผู้จูงมือเด็กหญิงตัวน้อยที่เพิ่งจากไป ก็ในเมื่อฝนไม่ได้ตก ฟ้าไม่ได้ร้องทุกวัน ทำไมฉันยังคงจำเสียงของมันได้ เรื่องร้ายๆ ที่นำพาความทุกข์ใจเข้ามา มันช่างกลบความสุขที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ได้อย่างแนบเนียน แถมยังคงฝากเสียงฝังความรู้สึกไว้ในความทรงจำเราได้อีกต่างหาก
“ทุกวัน .. ความสุข .. ส่งยิ้มให้ .. อยู่ที่ว่า .. วันนั้น .. ความเศร้า .. จะแสดงตัว .. รึเปล่า”
(จบตอน 1/3)
ยี่สิบแปดซี่