สมการแรงโน้มถ่วงโลก F = Gm1m2/r2 มีอายุ300กว่าปี ยังใช้ประโยชน์กับงานต่างๆในปัจจุบันได้อีกหรือ???

.           สมการแรงโน้มถ่วงโลก F = Gm1m2/r2  เป็นสมการจอมปลอม ใช้ไม่ได้กับดาวเทียมหรืออะไรทั้งนั้น

มันมีประวัติความเป็นมาอย่างนี้

.            ในสมัยนิวตันยังไม่มีการค้นพบธาตุโฮโดรเจน, ธาตุไนโตรเจน และธาตุฮีเลี่ยม ที่เบากว่าอากาศ  นิวตันเห็นแอปเปิ้ลตกลงมา จึงเหมาเข่งไปว่า ทุกสิ่งจะต้องตกลงมายังโลกหมด ถูกโลกดูดไว้  จากนั้นจึงทำการวัดความเร็ววัตถุที่ตกลงมาในระดับความสูงที่ในสมัยนั้นจะอำนวย เช่นตึกสูงหรือหน้าผา... เมื่อโยนวัตถุลงมาจากระดับความสูง10เมตร และแล้วก็พบว่า วัตถุจะเคลื่อนที่ลงด้วยความเร็ว  9.8 เมตรต่อวินาที เมื่อโยนวัตถุลงมาจากระดับความสูง20 เมตร 30 เมตร ก็พบว่าวัตถุจะเคลื่อนที่ลงด้วยความเร่ง 9.8เมตรต่อวินาทียกกำลังสอง ...ซึ่งหมายความว่าความเร็วของวัตถุจะเพิ่มขึ้นวินาทีละ  9.8 เมตรต่อวินาที จึงได้เขียนสูตร  F = mg  gคือความเร่งโน้มถ่วง (gravitationalacceleration) มีค่า 9.8เมตรต่อวินาทียกกำลังสอง
.            เพราะสมัยนิวตันไม่มีบอลลูนจึงไม่สามารถที่จะขึ้นไปทดลองหาค่าgในระดับที่สูงขึ้นกว่าที่เคยทดลอง นิวตันจึงได้แต่มโนไปว่าค่าความเร่งโน้มถ่วงนี้ไกลไปถึงจักรวาล  จากนั้นเขาก็มโนกฏความโน้มถ่วงสากลขึ้นว่า           " มวลวัตถุ 2 ก้อนใดๆจะออกแรงดึงดูดซึ่งกันและกันเสมอวัตถุมีมวลมามากย่อมมีแรงดึงดูดต่อวัตถุทีมีมวลน้อย และแปรผกผันกับกำลังสองของระยะทางระหว่างมวลทั้งสอง"  โดยมีสูตรว่า F = gm1m2/r2 
.            แต่เมื่อมีการพิสูจน์สูตรโดยเอาค่าg=9.8 มาใส่ในสมการ ปรากฏว่าไม่ตรงกับความเป็นจริง 
.            เพราะการลุกลี้ลุกลนรีบแสดงผลงาน จึงไม่ได้ตรวจตราให้รอบคอบ  ปรากฏว่าเมื่อมีการทดลองเอามวลขนาด1กิโลกรัมมาวางห่างกัน1เมตรไม่ได้เกิดแรงดึงดูดขนาด9.8นิวตันแต่อย่างใด
.            สมการที่ไม่ได้ผลนี้ ได้หายสาบสูญไปในวงการวิทยาศาสตร์ถึง100ปี..ต่อมา เฮนรี คาเวนดิช ขุดสมการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเอาค่าGใหม่มาใส่ที่มีค่า6.673×10^11 Nm^2/Kg^2. ซึ่งวิธีการหาค่าG นี้ อยู่ภายใต้วิทยาการที่ล้าสมัย ยังไม่รู้จักแม้พันธะไอออนิก จึงคิดไม่ถึงว่าอ๊อกไซค์ของตะกั่วนั้นมีขั้ว..และไม่มีเหตุผลที่บ่งบอกว่าค่านี้เป็นแรงดึงดูดของจักรวาลแต่อย่างใด  เพราะเมื่อเอาค่าGนี้มาแทนค่าในมวล2ก้อน ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความเป็นจริง

.            เป็นหลักทั่วไปที่ว่า ทฤษฏีเก่าทั้งหลาย เมื่อไม่มีทฤษฎีใหม่มาหักล้าง  ถึงแม้ว่าทฤษฎีนั้นขัดแย้งกับความเป็นจริง ทฤษฏีนั้นก็ยังคงอยู่

.            ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา. แทนที่ระเบิดนิวเคลียร์จะตกอยู่กับฝ่ายนาซี  แต่กลับตกอยู่กับฝ่ายสหรัฐ  ทั้งนี้เพราะความลับทางวิทยาศาสตร์รั่วไหล. 
.            หลังสงคราม.ทุกประเทศตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลที่จะทำให้ประเทศตนมีความได้เปรียบทั้งทางทหารและเศรษฐกิจจึงปกปิดเป็นความลับขั้นสุดยอด. 
.            รัฐเข้ามาควบคุมสื่อให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ...ผลงานทางวิทยาศาสตร์ขั้นสุดยอดไม่อาจลงตีพิมพ์ในวารสารเหมือนดังแต่ก่อนอีกแล้ว..ประเทศที่จะสร้างจรวดส่งดาวเทียมไปได้ต้องทดลองวิจัยด้วยตนเอง  บางประเทศใช้วิธีลัดด้วยการจารกรรมข้อมูล  เพราะฉะนั้นสูตรนิวตันอธิบายอะไรไม่ได้เลยในบรรยากาศที่สูงจากบอลลูนขึ้นไป

.            นี่ก็เป็นเวลานับ70ปีแล้ว วงการวิทยาศาสตร์ต้องมีข้อมูลใหม่ที่ต่างจาก70ปีก่อนมากมาย.. ลองคิดดูว่า การสร้างดาวเทียม การสร้างกล้องฮับเบิ้ล การสร้างจานรับสัญญาณขนาดยักษ์..ฯลฯ. ล้วนใช้งบประมาณมหาศาลนับแสนๆล้านดอลล่าร์. เมื่อพวกเขาได้ข้อมูลมาแล้ว  ถามว่ามีหรือที่จะแจกข้อมูลนั้นให้กับประเทศที่ไม่ลงทุนสักแดงเดียวฟรีๆ??. มีแต่จะปล่อยข้อมูลลวงออกมาเป็นระยะๆ

.            ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย ได้แต่ศึกษาข้อมูลเก่าๆเมื่อ300ปีก่อน ยังคงเข้าใจว่าโลกมีแรงดึงดูดอย่างงมงาย ไม่มีการทดลองวิจัยด้วยภูมิปัญญาของตนเอง จึงไม่มีทางที่สร้างจรวดส่งดาวเทียมได้ ยังหลงคิดว่าสูตรF = gm1m2/r2  คือสูตรที่ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่